ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 543 คงไม่คิดสั้นหรอกนะ
บทที่ 543 คงไม่คิดสั้นหรอกนะ
แสงที่แสบตาทะลุผ่านกระจกห้องเข้ามา ส่องอยู่บนใบหน้าอันซีดเซียวของจิ้นเฟิงเฉิน
พูดถึงเจียงนวลนวล เขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน แสดงให้เห็นถึงความเกลียดชัง
จิ้นเฟิงเหราเห็นสภาพแล้ว ในใจก็รู้สึกวุ่นวายไปหมด
เขาไม่สงสัยเลย หาเจียงนวลนวลเพื่อแก้แค้นให้พี่สะใภ้ กลายเป็นสิ่งที่พยุงเขาให้เดินต่อไปแล้ว
เวลานี้ เขารู้สึกตัวเองเห็นแก่ตัว อยากให้เจียงนวลนวลหลบได้นานๆ
แบบนี้ พี่ชายเขาจะได้มีสิ่งที่ต้องทำ พยายามมีชีวิตต่อไป
ยื่นมือไปจับไหล่ของจิ้นเฟิงเฉิน จิ้นเฟิงเหรามองใบหน้าที่ดูอ่อนเพลียของจิ้นเฟิงเฉิน พูดด้วยเสียงหนักใจ “วางใจเถอะพี่ คนของเรากำลังตามหาเจียงนวลนวลอยู่ ถ้ามีข่าวผมจะรีบแจ้งพี่ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรักษาตัวให้ขายดีก่อน”
น้ำเสียงของจิ้นเฟิงเหราค่อนข้างแหบ มองเขาด้วยความเป็นห่วง
เขากลัวว่าถ้าจิ้นเฟิงเฉินไม่กินไม่ดื่มอีกกี่วัน ร่างกายจะรับไม่ไหว
“วางใจได้ พี่ยังไม่ตายหรอก”
จิ้นเฟิงเฉินใบหน้าไร้ความรู้สึก
ในสายตาเขา แสงดาวตกร่วงไปหมดแล้ว น้ำเสียงมีแต่ความเย็นชา
ก่อนหาเจียงนวลนวลเจอ เขาไม่มีวันล้มแน่นอน
สื้อสื้อ……
เรียงชื่อเจียงสื้อสื้อในใจครั้งแล้วครั้งเล่า ในคอจิ้นเฟิงเฉินมีแต่รสชาติความขมขื่น
คอแสบร้อน แต่ก็เจ็บสู้แผลในใจไม่ได้
สูดหายใจเข้าลึกๆ จิ้นเฟิงเฉินเก็บสายตากลับมา ยึดคาง
พูดกับจิ้นเฟิงเหราด้วยน้ำเสียงสงบใจเย็น “สองวันนี้นายให้คนไปหาแถวเมืองที่ใกล้ชายหาด แล้วก็เรือที่ผ่านไปแถวนั้นในวันนั้น สืบถามข่าวดู”
น้ำเสียงเขามีความขอร้องอยู่บ้าง “เฟิงเหรา หาอีกหน่อยนะ บางที คนที่ผ่านไปแถวนั้นอาจจะช่วยสื้อสื้อไว้ก็เป็นไปได้”
เมื่อพูดถึงเจียงสื้อสื้อ ดวงตาเขาก็กะพริบ
เหมือนก้อนหินตกลงไปในแอ่งน้ำ น้ำกระเด็นขึ้น ไม่นานก็สงบเหมือนเดิม
จิ้นเฟิงเหราได้ยิน ก็รู้สึกน้ำตาคลอ
ที่จริงแล้ว เขาก็พอนึกออกว่าจิ้นเฟิงเฉินจะพูดแบบนี้
“รู้แล้วครับ เดี๋ยวผมจะสั่งไป ให้พวกเขาค้นหาต่อไป”
ถึงแม้ว่าหน่วยกู้ภัยจะถอนคนออกหมดแล้ว แต่หลายปีมานี้ตระกูลพวกเขามีฝึกคนออกมาไม่น้อย
เลือกคนออกมาบางส่วนเพื่อค้นหา เป็นเรื่องง่ายอยู่แล้ว
ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ แต่ก็ต้องทำ
หลังวันนั้น ตระกูลจิ้นก็ให้คนออกไปค้นหาในทะเลละแวกนั้น รวมถึงเกาะใกล้เคียง
พวกเขาเอารูปถ่ายของเจียงสื้อสื้อไปถามชาวประมงแถวนั้น แต่ว่า ไม่มีคนเคยเห็นเจียงสื้อสื้อเลย
รวมถึงเมืองใกล้เคียงก็ไม่เว้น ขอให้เป็นสถานที่จิ้นเฟิงเฉินวงมา พวกเขาก็ไปถามหมด
แต่ว่า วันเวลาผ่านไปทุกวัน ก็ไม่มีข่าวคราวของเจียงสื้อสื้อเลย
ความเศร้าโศกรอบล้อมอยู่ในตระกูลจิ้นยิ่งอยู่ยิ่งหนัก ครอบครัวที่เต็มไปด้วยความสุขเหลือแต่ความเงียบสงบ
เรื่องของเจียงสื้อสื้อกลายเป็นหัวข้อที่พูดกันไม่ได้
วันนี้ จิ้นเฟิงเฉินกลับมาจากการไปค้นหาที่เมืองใกล้เคียง
เดินเข้าบ้าน เขาก็ก้มหน้า เดินอย่างไร้เรี่ยวแรงเดินกลับห้องนอน
เข้าไปแล้วก็ล็อกตัวเองไว้ในห้อง ไม่พูดอะไรสักคำ
แม่จิ้นมองลูกชายคนโตเดินลับไปจากมุม สายตาก็ดูหดหู่
เธอถอนหายใจ หันกลับไปถามจิ้นเฟิงเหราที่กลับมาพร้อมกัน
“เป็นยังไงบ้าง? วันนี้มีอะไรคืบหน้าไหม?”
คำถามนี้เธอต้องถามทุกวัน ถามมาเป็นร้อยครั้ง
จิ้นเฟิงเหราส่ายหัว เขากดนิ้วที่ขมับ สายตามีความเจ็บปวด “ถ้ามี พี่ก็คงไม่มีสีหน้าแบบนี้”
แม่จิ้นได้ยินแบบนี้ ก็ส่ายหัวอย่างผิดหวัง
ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว พวกเขาต้องอยู่ท่ามกลางความหวังและความผิดหวังแบบนี้ทุกวัน
ทุกครั้งที่ขึ้นไปบนเกาะหนึ่ง ผ่านไปเมืองหนึ่ง ต่างตั้งความหวังไว้แล้วก็ต้องผิดหวัง
ความรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้กดทับประสาทของพวกเขา จนจะระเบิดแล้ว
แม่จิ้นไม่กล้าคิดเลย เธอยังรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้ แล้วลูกชายเธอจะเจ็บปวดขนาดไหนที่ต้องผ่านเรื่องแบบนี้ทุกวัน
“เฟิงเหรา ลูกว่า สื้อสื้อยังมีโอกาสมีชีวิตอยู่ไหม?” แม่จิ้นพูดทั้งตาแดง เสียงสะอื้น ถามคำถามที่อยู่ในใจ
สายตาจิ้นเฟิงหรามีความสิ้นหวัง มองไปชั้นบนโดยไม่ตอบอะไรเลย
ไม่กี่วินาที เขาส่ายหัวด้วยความรู้สึกหนักใจ
เกิดเรื่องมาหนึ่งเดือนแล้ว ถ้าความหวังตอนแรกเปรียบเทียบเป็นดาวยามค่ำคืน ตอนนี้ ความสว่างของดาวดวงนี้ก็มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแล้ว
มันมืดมนจนทำให้คนมองไม่เห็นแสงสว่าง
แม่จิ้นได้ยินแล้วก็เม้มปาก น้ำตาไหลเต็มหน้า
แต่เธอก็ยังถามอย่างไม่ยอมแพ้ “บางที อาจจะมีคนมีน้ำใจช่วยสื้อสื้อไว้ก็ได้”
“ถึงจะเป็นแบบนี้ มันก็เป็นไปได้ยาก พี่สะใภ้ถูกคนช่วยแล้ว ทำไมยังไม่กลับมาหาพี่กับเสี่ยวเป่า? นี่มันไม่ปกติ” จิ้นเฟิงเหราตอบด้วยรอยยิ้มที่อ่อนล้า
ความหนักแน่นของเขาทำให้ความหวังสุดท้ายของแม่จิ้นต้องจบไป เขารู้ว่าคำพูดมันโหดร้าย แต่คือความจริง
ตัวเขาเองยังคิดแบบนี้ พี่ชายเขาต้องคิดได้นานแล้ว เพียงแค่ยังไม่อยากยอมรับความจริงเท่านั้น
“ช่างเถอะ คงเป็นเพราะครอบครัวเราไม่มีบุญ” น้ำตาไหลพรากลงมาบนหน้า แม่จิ้นพูดอย่างหมดหวัง
แล้วเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอเช็ดน้ำตา พูดกับจิ้นเฟิงเหรา “เรื่องของบริษัท ลูกก็คอยดูแลหน่อย พี่ชายลูกไม่รู้ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะดีขึ้น เห้อ……”
แม่จิ้นมองไปทางห้องนอนด้วยสีหน้าเจ็บปวด ในใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ผมรู้ครับ แม่วางใจได้” จิ้นเฟิงเหราตอบอย่างหนักแน่น
ในเดือนนี้ เขาถูกบังคับให้โตขึ้นเยอะมาก
ไม่มีจิ้นเฟิงเฉินคอยช่วยเขาขวางไว้ เรื่องแต่ละวันกดทับเขาจนหายใจไม่ได้ แต่ก็เป็นการฝึกฝนเขาอีกแบบหนึ่ง
เย็นวันนั้น ประตูห้องจิ้นเฟิงเฉินยังคงปิดแน่น แม่จิ้นจึงต้องใช้จิ้นเฟิงเหรา “ลูกไปดูหน่อยซิ เฟิงเฉินเขาอยู่ห้องคนเดียว แม่ไม่ไว้ใจ”
จิ้นเฟิงเหราพยักหน้า ขึ้นไปเคาะประตูห้องจิ้นเฟิงเฉิน
เคาะไปหลายครั้งก็ไม่มีเสียงตอบรับ เขาหมวดคิ้วแน่น
“พี่ แม่ให้เรียกพี่ไปกินข้าว”
จิ้นเฟิงเฉินก็ไม่มีเสียงตอบรับ
ยื่นมือไปเปิดประตู กลับพบว่าประตูถูกล็อกจากด้านใน จิ้นเฟิงเหรารู้สึกตกใจ คิดไปในทางไม่ดี
เขาเริ่มใช้แรงตบประตู เรียกเสียงดัง “พี่ พี่ทำอะไรอยู่ รีบเปิดประตู”
เสียงตบประตูดึงดูดความสนใจของแม่จิ้น เธอรีบวิ่งขึ้นไป ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
จิ้นเฟิงเหราบอกสถานการณ์ แม่จิ้นก็ยิ่งกังวล “แย่แล้ว พี่ชายลูกจะคิดสั้นไหม?”
ในเดือนนี้ จิ้นเฟิงเฉินไม่ยอมให้ใครเข้าไปในห้องเลย บอกว่าจะทำลายสิ่งที่เจียงสื้อสื้อทิ้งไว้ให้เขา
พวกเขาก็รู้ดี จิ้นเฟิงเฉินตอนนี้ค่อนข้างถลำลึกอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง ก็ปล่อยเขาเป็นของเขาไป
แต่หลายวันมานี้ สภาพจิตใจของเขายิ่งอยู่ยิ่งไม่ค่อยดี คนก็ดูโทรมไปมาก
พวกเขาต่างเป็นห่วงจิ้นเฟิงเฉินอยู่ในสถานที่มีแต่ความทรงจำและกลิ่นอายของสื้อสื้อ เขาจะคิดสั้นได้