ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 546 สามปีผ่านไป
บทที่ 546 สามปีผ่านไป
จิ้นเฟิงเฉินใส่เสื้อสูทสีดำ สีหน้ายังคงเย็นชา สายตาก็ยังคงเคร่งขรึมแต่ดูอ่อนล้าบ้าง
แต่ก็ดูออก ว่าสภาพจิตใจเขาถือว่าดี
ในเวลาที่บรรดาหุ้นส่วนบริษัทต่างดีใจที่จิ้นเฟิงเฉินเดินออกมาจากความเศร้าโศกที่สูญเสียภรรยาไป เขาก็ประกาศสละตำแหน่ง ให้จิ้นเฟิงเหรานั่งตำแหน่งประธานแทน
“ความสามารถของเฟิงเหรา เดือนนี้มาเชื่อว่าทุกคนก็เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ให้เขามาแทนตำแหน่งผม เหมาะสมที่สุด
ผมเชื่อว่าเขาจะทำได้ดีกว่าผม ไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง มีใครคัดค้านไหมครับ?
หรือว่ามีตัวเลือกที่เหมาะสมกว่าเฟิงเหรา ก็เสนอออกมาได้”
ในที่ประชุมเงียบสงบ ไม่มีคนคัดค้าน
ราชสีห์ที่บาดเจ็บก็ยังคงเป็นราชสีห์ ในใจทุกคนก็ยังคงเกรงกลัวจิ้นเฟิงเฉินอยู่
อีกอย่างหุ้นส่วนจิ้นกรุ๊ป เกินครึ่งที่อยู่ในมือของตระกูลจิ้น
พวกเขาคัดค้านไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่าง เวลานี้จิ้นเฟิงเฉินก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
“ถ้าไม่มี ก็ตกลงตามนี้ ผมขอประกาศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ประธานจิ้นกรุ๊ปเปลี่ยนเป็นจิ้นเฟิงเหรา”
น้ำเสียงอันหนักแน่นนี้พูดจบ จิ้นเฟิงเหราก็ถูกยกขึ้นเป็นตำแหน่งประธาน ทุกคนปรบมือพร้อมกัน
ขณะที่เข้าลูกขึ้นมากล่าวคำปราศรัยการขึ้นตำแหน่งต่อหน้านักข่าว จิ้นเฟิงเฉินก็ลุกจากไป
ไม่มีใครขวางเขา และไม่มีคนกล้า
ภาพที่เขาเดินจากไปอย่างเงียบๆ ถูกนักข่าวสำนักหนึ่งถ่ายภาพไว้ เพยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต
ภาพใบนี้ กับจิ้นกรุ๊ปเปลี่ยนประธานบริษัทเป็นคุณชายรองตระกูลจิ้น กลายเป็นหัวข้อค้นหาอันดับหนึ่งไปทันที เป็นที่พูดคุยกันทั้งประเทศ
มีคนไม่น้อยที่ได้ยินข่าวเรื่องคุณหญิงตระกูลจิ้นตกทะแล เป็นหรือตายไม่มีใครรู้
เรื่องนี้เป็นข่าวขึ้นมา มีชาวเน็ตไม่น้อยที่พากันคาดเดา จิ้นเฟิงเฉินสูญเสียภรรยาไปจึงไม่มีใจในเรื่องงาน
และมีคนที่ไม่รู้เรื่อง แต่ได้รู้ข่าวจากอินเตอร์เน็ต
คนมากมาย พูดถึงเรื่องราวความรักของทั้งสอง ทำให้ผู้หญิงไม่น้อยที่รู้สึกซาบซึ้ง
เรื่องราวอันเศร้าโศกรวมกับรูปถ่ายด้านหลังที่ดูเสียใจอ้างว้าง ทำให้ผู้คนรู้สึกซาบซึ้งในความรักของพวกเขา
ทุกคนต่างซึ้งในรักแท้และรักจริงของผู้ชายคนนี้
ชาวเน็ตต่างพากันให้ความเห็น หวังว่าจิ้นเฟิงเฉินจะเข้มแข็ง……
สองวันนี้ แม่จิ้นทยอยเก็บของให้จิ้นเฟิงเฉินกับเสี่ยวเป่า
คนทั้งครอบครัวต่างรักษาเวลาสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยหัน
วันที่สอง พวกเขากินข้าวกันนอกบ้าน สิ่งที่ดีคือในใจเขามีเรื่องที่ต้องทำแล้ว จิ้นเฟิงเฉินสีหน้าก็ดีขึ้นเยอะ
ไม่ได้ซึมเศร้าเหมือนก่อนแล้ว คนในครอบครัวก็มีรอยยิ้มขึ้นบ้าง
แต่เวลาที่มีความสุขมันสั้นนัก แค่พริบตาสามวันก็ผ่านไปแล้ว ถึงวันที่จิ้นเฟิงเฉินกับเสี่ยวเป่าเดินทางไปต่างประเทศแล้ว
คนทั้งตระกูลจิ้น รวมตัวกันที่ห้องรับแขกแต่เช้า ในใจทุกคนต่างมีความเศร้าที่ต้องจากกัน
สนามบินเมืองเป่ย เสียงประกาศเครื่องบินลงจอดและบินออกดังมาไม่ขาดสาย
แม่จิ้นมองเสี่ยวเป่าอย่างไม่ห่วงใย น้ำตาคลอ
“เสี่ยวเป่า ไปถึงต่างประเทศแล้ว ต้องเชื่อฟังคำพูดแดดดี๊ ดูแลตัวเองและแดดดี๊ดีๆนะ”
เธอย่อตัวลง ครั้งแล้วครั้งเล่า ลูบใบหน้านุ่มๆของเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าจับมือของแม่จิ้นไว้อย่างเชื่อฟัง พูดปลอบเธอ “คุณย่า ผมรู้ครับ”
อยู่ที่สนามบินนานมาก พ่อจิ้นโบกมือ พูดขึ้นด้วยเสียงใจเย็น “พอแล้ว เครื่องบินจะออกแล้ว เฟิงเฉินกับเสี่ยวเป่าต้องเข้าไปแล้ว”
“คุณย่า คุณปู่ ผมจะคิดถึงทุกคนนะครับ”
แล้วหอมแก้มพ่อจิ้นแม่จิ้น เสี่ยวเป่าโบกมือลาอย่างเสียดาย
“เด็กดี……”
แม่จิ้นพยักหน้า
มองดูทั้งสองคนลากกระเป๋ายิ่งเดินยิ่งไกล พ่อจิ้นโอบไหล่แม่จิ้น
เธอเริ่มกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ น้ำตาไหลพรากลงมา
ก็ไม่ลืมที่จะกำชับให้จิ้นเฟิงเฉินอยู่ต่างประเทศต้องโทรศัพท์กลับมาบ่อยๆ
ไม่นาน เครื่องบินลำสีขาวก็บินสู่บนท้องฟ้า ปีกเครื่องบินบินโค้งอยู่บนท้องฟ้า
นำพาผู้โดยสารบนเครื่องบินไปสู่ต่างประเทศที่ห่างไกล……
สามปีผ่านไป แสงอร่ามยามเย็น ส่องไสวอยู่กลางเมืองปารีส ยิ่งทำให้เมืองนี้ดูโรแมนติก
ในคฤหาสน์แห่งหนึ่ง การก่อสร้างในรูปแบบวัง
ในสวยมีกระถางดอกไม้รูปทรงสวยงามตระหง่านตา เต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์
ท่ามกลางแสงยามเย็น ย้อมเป็นสีแดง ทำให้บรรยากาศรอบด้านดูอบอุ่น
เห็นแต่เด็กผู้ชายคนหนึ่ง สวมหมวกเบสบอล ใส่เสื้อกีฬา ในมือจับไม้เบสบอลไว้
โน้มตัวลง แอบเข้ามาจากข้างนอกอย่างระมัดระวัง
เขาเปิดประตูบ้าน มองเข้าไปข้างใน
ทางเดินยาว ไม่มีคนใช้อยู่ เขาแอบดีใจ รีบเข้าไป แล้วปิดประตู
เดินเข้าไปในห้องรับแขก อย่างวางใจ เดินไปไม่กี่ก้าวก็เห็นเงาคนอยู่บนโซฟา
สีหน้าเด็กผู้ชายเริ่มเปลี่ยนไป กดหมวกต่ำลง หันหลังจะเดินจากไป
“หยุด”
เสียงเคร่งขรึมดังขึ้นจากข้างหลัง น้ำตามเย็นชาเล็กน้อย
เด็กน้อยสะดุ้ง เตรียมจะวิ่ง
เสียงเหมือนปีศาจดังขึ้นจากข้างหลัง “จิ้นเป่ยเฉิน อย่าให้พูดรอบสองนะ มานี่”
เสี่ยวเป่าได้ยินแล้วสีหน้าผิดหวัง แต่ก็หันกลับไป
ยิ้มให้จิ้นเฟิงเฉิน “แดดดี๊ อย่าโกรธซิครับ ผมอธิบายได้”
ผู้ชายตรงหน้าก็คือจิ้นเฟิงเฉิน
สามปีผ่านไป ใบหน้าจิ้นเฟิงเฉินไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ ยังคงหล่อเหลา แต่มีความหนักแน่นยิ่งขึ้น แต่ก็มีความเย็นชากว่าเดิม
เขามองรอยแผลบนใบหน้าของเสี่ยวเป่า คิ้วก็ขมวดเข้าหากัน
“พูดมา ครั้งนี้ทำไมถึงเกิดเรื่องอีก ทำไมโรงเรียนถึงโทรมาฟ้อง?”
ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความจริงจัง
คิดถึงเรื่องที่เกิดวันนี้ เสี่ยวเป่าก็เบ้มาก
เขาเดินเข้าไป นั่งที่ข้างจิ้นเฟิงเฉิน สายตามีความโมโห
“วันนี้ที่สนามแข่งบอล ห่าลี่แข่งสู้ผมไม่ได้ เขาก็เริ่มหัวเราะเยาะผมว่าไม่มีแม่ ผมบอกเขาว่าผมมี แต่เขาก็ยังชวนเพื่อนๆมาว่าผมเป็นลูกไม่มีแม่ ผมโมโห เลยใช้บอลตีหน้าเขา”
ขณะที่เสี่ยวเป่าพูด ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธ
สองสามประโยชน์ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
จิ้นเฟิงเฉินมองหน้าเสี่ยวเป่า ความโมโหในใจก็ดับไปแล้ว สายตาก็มีความหนักใจ
ในสามปีนี้ นิสัยเสียวเป่าเปลี่ยนไปบ้าง ที่โรงเรียนครูบอกว่าเขาเข้ากับเพื่อนนักเรียนไม่ได้ ทะเลาะกันบ่อยๆ
ตอนแรกเขาก็คิดว่าไม่มีอะไร แต่พักหลังเริ่มเยอะขึ้น เขาไม่สังเกตก็ไม่ได้
ถามเสี่ยวเป่าอย่างจริงจัง ว่าทำไมถึงต้องทะเลาะชกต่อยกับเพื่อน เด็กคนนี้ก็ๆไม่ยอมพูด
ครั้งหนึ่งเขาโกรธมาก เสี่ยวเป่าถึงร้องไห้บอกเขา เพราะเพื่อนในชั้นเรียนด่าเขาไม่มีแม่
เวลานั้นจิ้นเฟิงเฉินเหมือนถูกมีดแทงเข้าไปในใจ กอดเสี่ยวเป่าอย่างห่วงใย วันที่สองก็เปลี่ยนโรงเรียนให้เสี่ยวเป่าทันที
แต่ที่โรงเรียนใหม่ ก็ยังคงมีปัญหาเดิมอีก
ครั้งนี้ ก็เพิ่งเปิดเทอมไม่นาน ครูของเสี่ยวเป่าก็โทรมาฟ้องแล้ว
เสี่ยวเป่าเป็นเด็กดี ปกติไม่ลงมือกับใครก่อน แต่แม่เป็นจุดอ่อนของเขา
ถึงเขาไม่พูด แต่จิ้นเฟิงเฉินรู้
เสี่ยวเป่าก็เหมือนเขา ในสามปีนี้ ทุกวินาที พวกเขาไม่เคยลืมเจียงสื้อสื้อเลย