ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 547 ไม่เสียที่เป็นคนตระกูลจิ้น
บทที่ 547 ไม่เสียที่เป็นคนตระกูลจิ้น
จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกในลำคอมีรสชาติขมขื่น ยื่นมือไปจับข้างแผลของเสี่ยวเป่า “เจ็บไหม?”
เขาถามเสียงอ่อนโยน สายตามองลงไป อยู่ที่คิ้วของเสี่ยวเป่า
สามปีมานี้เสี่ยวเป่าโตขึ้นไม่น้อย สูงขึ้น หน้าตาก็เปลี่ยนไปบ้าง
ไม่รู้เพราะอะไร เขารู้สึกว่า คิ้วตายิ่งอยู่ยิ่งเหมือนสื้อสื้อ
บางครั้ง เขามองเห็นเงาสื้อสื้อในตัวเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าพยักหน้า ตอบอย่างน่าสงสาร “เจ็บ ไอ้ห่าลี่นั่น ใช้น้ำหนักตัวมันมากดผม ไม่อย่างนั้นผมชกมันล้มไปนานแล้ว”
เวลาเดียวกันยังขอความเห็นใจจากจิ้นเฟิงเฉิน สงสารส่วนสงสาร การสั่งสอนก็ต้องเข้มงวด
วินาทีต่อมา สายตาที่อ่อนโยนก็หายไป
จิ้นเฟิงเฉินใช้นิ้วดีดหน้าผากเขา แววตาแสดงความเข้มงวด “รู้ว่าเจ็บก็ดี รู้ไหมว่าพฤติกรรมวันนี้อันตรายแค่ไหน? พ่อส่งไปให้เล่นเบสบอลนี่ให้เอามาทำร้ายเพื่อนเหรอ?”
จิ้นเฟิงเฉินชักสีหน้า พูดต่อ “ลูกรู้ไหมว่าถ้าตีลงไปด้วยความเร็ว หนักขึ้นมาถึงตายได้ ถ้าหากฆ่าคนตาย ลูกต้องรับผิดชอบ ถ้าลูกโตกว่านี้ ก็ต้องติดคุก พ่อสอนมาอย่างนี้เหรอ?”
คำพูดที่จริงจังทำให้เสี่ยวเป่าสีหน้าก็เปลี่ยนไป ไม่กล้าล้อเล่นอีก
จับมือตัวเอง ก้มหน้าลง พูดด้วยเสียงหดหู่ “ขอโทษครับแดดดี๊ ผมผิดไปแล้ว แต่ผมไม่ได้จะฆ่าห่าลี่ ตอนที่ผมตีเขาผมควบคุมแรงตัวเอง เพราะฉะนั้นเขาแค่หัวโน ไม่ได้เป็นอะไรมาก ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
เห็นแบบนี้ จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า ลุกขึ้นไปหยิบกล่องยา
ช่วยล้างแผลบนหน้าผากของเสี่ยวเป่า จากนั้นก็ใช้ผ้าปิดแผล
ปิดกล่องยาแล้ว เขาพูดกับเสี่ยวเป่า “ถึงลูกจะยอมรับผิดแล้ว แต่เวลาทำผิดแค่ยอมรับผิดมันไม่พอ ไปยืนข้างผนัง อาหารเย็นวันนี้ก็ไม่ต้องกิน”
จิ้นเฟิงเฉินพูดจบ เสี่ยวเป่าหน้าเปลี่ยน ร้องอ้ากออกมา
“ไม่พอใจ?”
จิ้นเฟิงเฉินยักคิ้ว สายน่ามีความน่าเกรงขาม ร่างสูงยืนเหนือเสี่ยวเป่าเป็นเงาอยู่บนตัวเสี่ยวเป่า
เขารีบส่ายหัว จากนั้นก็ไปยืนข้างผนัง
มองตามหลังจิ้นเฟิงเฉิน เสี่ยวเป่าเบ้ปาก ไม่กล้าพูดอะไร
เดินไปถึงมุมห้องรับแขก เสี่ยวเป่ายืนร่างตรง
สองมือแบนชิดกับกางเกง ท่าทางเหมือนคนมีประสบการณ์
จิ้นเฟิงเฉินเห็นภาพแล้ว มุมปากโค้งขึ้น
เขาก้าวเท้าจะเดินจากไป ก่อนจากไปหันไปมองคนแก่ที่อยู่ด้านหลัง
เขาหันไปกำชับ “ลุง รบกวนดูเสี่ยวเป่าไว้ด้วยนะ อย่าให้หนีไปไหน”
พ่อบ้านมองเสี่ยวเป่าแล้วส่ายหัว รู้สึกสงสาร
ตอนนี้ได้ยินคำสั่งของจิ้นเฟิงเฉิน ก็รีบพยักหน้า “รู้แล้วครับ คุณชาย”
เสี่ยวเป่าที่อยู่มุมห้องได้ยินแล้ว ไม่ค่อยพอใจ
แดดดี๊ไม่เชื่อใจเขาเลย เขาไม่หนีไปไหนหรอก
พอจิ้นเฟิงเฉินขึ้นชั้นสองแล้ว พ่อบ้านก็รีบเดินไปหาเสี่ยวเป่า ช่วยเขาปัดฝุ่นบนตัวออก
แล้วสั่งคนให้ไปเอาน้ำมาช่วยเขาเช็ดหน้าเช็ดมือ
พ่อบ้านอดไม่ได้ที่จะบ่น “คุณชายน้อยนี่ซนอีกแล้ว วันนี้คุณชายได้รับโทรศัพท์ เรื่องที่บริษัทก็ไม่สนแล้ว รีบวิ่งไปที่โรงเรียน คุณชายน้อยยังแอบหนีออกมาจากโรงเรียนอีก ยังไปหลบตั้งนานกว่าจะกลับมา ถ้าไม่ใช่คุณชายให้คนตามอยู่ข้างหลัง ไม่รู้โดนใครหลอกไปแล้ว ห้ามทำแบบนี้อีก……”
ถึงปากจะบ่น แต่ในใจเป็นห่วงเสี่ยวเป่ามาก
“อืม รู้แล้ว ขอบคุณครับ”
เสี่ยวเป่ารู้สึกเหมือนเรื่องปกติ ไม่ได้รู้สึกว่าพ่อบ้านขี้บ่น ตั้งใจฟังจนจบแล้วยังปลอบเขา
ท่าทางเชื่อฟังแบบนี้พ่อบ้านดูแล้วก็รู้สึกสงสาร
คุณชายน้อยของเขา อายุน้อยๆก็รู้จักคิดแล้ว
“ช่างเถอะ ไม่พูดแล้ว ที่จริงแล้วคุณชายน้อยก็ไม่ได้ทำผิด……” เขาก็อดรู้สึกไม่ได้
คำพูดที่สองพ่อลูกพูดเมื่อกี้เขาก็ได้ยินกับหู
ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกสงสาร
สามปีนี้ จิ้นเฟิงเฉินดูแลเสี่ยวเป่า เป็นทั้งพ่อและแม่ ก็ไม่ง่ายเลย
หากไม่ใช่นิสัยเสี่ยวเป่าเป็นเด็กดีอยู่แล้ว คงทำให้จิ้นเฟิงเฉินลำบากไม่น้อย
เสี่ยวเป่าขยับไปพูดชิดหูพ่อบ้าน พูดอย่างจริงจัง “ใช่ไหมครับ ปู่ก็คิดอย่างนี้ใช่ไหม ผมจะบอกนะ เมื่อกี้ผมโกหกพ่อ ถ้าครั้งหน้าห่าลี่ยังมาล้อเรื่องแม่อีก ผมก็ยังจะต่อยเขา แต่ไม่ใช้ไม้เบสบอล”
พูดจบ เสี่ยวเป่าก็เอามือไว้ที่เอว ท่าทางไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน
พ่อบ้านหัวเราะออกมา ยื่นมือลูบผมดกดำของเสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่ารักแม่ขนาดนี้เหรอ”
“แน่นอน บนโลกนี้ผมรักแม่ที่สุดเลย เมื่อก่อนแม่ก็ชอบจับหัวผมแบบนี้ แต่ตอนนี้แม่ไม่อยู่แล้ว……”
เสี่ยวเป่าหรี่ตาลง ขยับตัวชิดมืออันอบอุ่นของพ่อบ้าน พูดไปแล้ว สายตาก็เริ่มดูหดหู่ลง
เจียงสื้อสื้อสำคัญกับพ่อลูกคู่นี้ขนาดไหน เขาเห็นอยู่ในสายตา
เขามองเสี่ยวเป่าอย่างเป็นห่วง กลัวเขาคิดถึงเจียงสื้อสื้อแล้วจะเสียใจ
กำลังจะปลอบเขา เสี่ยวเป่ากลับเงยหน้าหัวเราะ ใบหน้าอันใสซื่อกลับมาสดใสอีกครั้ง
“แต่สักวันแม่ต้องกลับมาแน่นอน แดดดี๊ก็คิดแบบนี้ ผมเชื่อเขา”
เขากำหมัดแน่น สายตาเชื่อมั่น
สีหน้าแบบนี้ก็ทำให้พ่อบ้านคล้อยตาม ไม่รู้เพราะอะไร ใจเขาก็รู้สึกดีขึ้น
ถ้าคุณหญิงบ้านนี้อยู่ด้วย จะดีแค่ไหน……
ชั้นสอง จิ้นเฟิงเฉินกำลังตั้งใจทำงานของบริษัท มีข้อความเด้งออกมาหน้าจอ
จิ้นเฟิงเหราโทรวิดีโอมา
เขาใช้เมาส์กดตกลง
ครู่เดียว หน้าจิ้นเฟิงแหราก็ปรากฏอยู่บนหน้าจอ มองซ้ายมองขวา
มองไปสักครู่ จิ้นเฟิงเหราพึมพำขึ้น “เอ๋ พี่ เสี่ยวเป่าละ ทำไมไม่เห็นหลานชายผม?”
จิ้นเฟิงเฉินไม่อยากแม้แต่ลืมตา พูดขึ้นเสียงเรียบ “ทำโทษยืนชิดผนังอยู่ชั้นล่าง”
จิ้นเฟิงเหราได้ยิน ก็รีบร้องขึ้นมาเสียงดัง
ยังดี จิ้นเฟิงเฉินปรับเสียงลดก่อนแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้แก้วหูแตก
“โหดเกินไปไหม เสี่ยวเป่าที่น่าสงสาร ทำอะไรผิด พ่อบังเกิดเกล้าถึงทำแบบนี้ น่าส่งสาร……”
จิ้นเฟิงเหราพูดไปบีบน้ำตาไป ถ้าคนไม่รู้เห็นคงนึกว่าจิ้นเฟิงเฉินทารุณเด็ก ใส่ร้ายแบบน้ำหูน้ำตามาพร้อมกัน
“วันนี้เขาใช้ไม้เบสบอลตีเพื่อน”
ได้ยินแล้วจิ้นเฟิงเฉินก็กลอกตาใส่ ตอบคำถามเขาเสียงเย็นชา สายตายังคงจ้องอยู่ที่เอกสารบนโต๊ะ
“แค๊ก” จิ้นเฟิงเฉินหน้าอึ้งไปทันที เอามือลูบจมูก
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องปรับทัศนคติหน่อย ใช้ความรุนแรงได้ยังไง ไม่เสียที่เป็นคนตระกูลจิ้น…..เอ่อ ผมไม่ได้พูดอะไรเลย”
พูดจบ จิ้นเฟิงเฉินก็ใช้สายตาเย็นเฉียบมองไป จิ้นเฟิงเหราทำท่าปิดปาก
จิ้นเฟิงเหรารีบเปลี่ยนเรื่อง ขมวดคิ้วถาม “พี่ ทางโน้นน่าจะถึงเวลากินข้าวแล้ว ทำไมยังทำงานอีก”