ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 602 ผมปวดใจนะ
บทที่ 602 ผมปวดใจนะ
ตอนที่ส้งหวั่นชีงซื้อโจ๊กกลับมา พบว่าเจียงสื้อสื้อกลับไปแล้ว
ห้องผู้ป่วยสีขาวสะอาดตาเหลือเพียงสองพ่อลูกเท่านั้น
จิ้นเฟิงเฉินยืนอยู่ที่หัวเตียง แสงไฟสีขาวส่องกระทบมาบนคิ้วของเขาเกิดเป็นเงา
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มองดูเขาตอนนี้รู้สึกอ้างว้างและเงียบเหงา
เหมือนความเงียบสงบที่เกิดขึ้นหลังจากสิ้นสุดการโวยวาย มองไปแล้วเขาดูไม่มีพลังงานเหลืออยู่เลย
ขวดน้ำเกลือของเสี่ยวเป่าใกล้จะหมดแล้ว เจ้าหนูน้อยนอนหลับอยู่บนเตียง
แต่เป็นเพราะเจียงสื้อสื้อไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย มองออกว่าเขานอนกระสับกระส่าย คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันคล้ายกับกำลังฝัน
“ไม่ต้องกลัวนะครับ แดดดี๊อยู่ตรงนี้”
จิ้นเฟิงเฉินลูบไปที่มือของเขาเบาๆ เพื่อกล่อมเสี่ยวเป่าที่กำลังตกอยู่ในความฝัน
สภาพของสองคนพ่อลูกช่างน่าเวทนา
ส้งหวั่นชีงผลักประตูเข้าไปเบาๆแต่เสียงฝีเท้าของเธอก็ดึงสติของจิ้นเฟิงเฉินกลับคืนมา
เธอเอ่ยถามด้วยเสียงอันเบาว่า “พี่สื้อสื้อกลับไปแล้วเหรอคะ?”
จิ้นเฟิงเฉินลุกขึ้นยืน พยักหน้าและเก็บความคิดในใจเอาไว้
ส้งหวั่นชีงมองไปยังจิ้นเฟิงเฉินแล้วถามอย่างระมัดระวังว่า “พี่คะ พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เมื่อเห็นว่าจิ้นเฟิงเฉินนิ่งเงียบไป ส้งหวั่นชีงจึงได้ปลอบโยนเขาว่า “พี่สื้อสื้อจะต้องมาใหม่แน่นอนค่ะ”
จิ้นเฟิงเฉินตอบรับว่า “อืม” อยู่ในลำคอ
เมื่อเห็นท่าทีของส้งหวั่นชีงที่เป็นห่วงเขา จิ้นเฟิงเฉินจึงได้ตอบอย่างนุ่มนวลว่า “ผมไม่เป็นไร”
เสียงอันเยือกเย็นของเขา ดังกังวานขึ้นท่ามกลางห้องผู้ป่วยอันเงียบสงัดอีกครั้งว่า “นี่ก็เย็นมากแล้วคุณกลับไปเถอะผมอยู่ที่นี่คนเดียวก็พอ”
ส้งหวั่นชีงพยักหน้าแล้วยื่นโจ๊กในมือส่งให้เขา
“ถ้าเสี่ยวเป่าตื่นแล้วอย่าลืมป้อนโจ๊กนี้ให้เขานะคะ ตอนที่ร่างกายยังไม่แข็งแรงทางที่ดีควรจะกินอาหารเบาๆ ฉันซื้อมาพร้อมพวกคุณสองคนกินคุณเองก็ต้องกินบ้างนะคะ”
“ขอบคุณมาก”
จิ้นเฟิงเฉินยื่นมือเข้ามารับไป
ส้งหวั่นชีงมองดูแล้วที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีเธอคอยช่วยเหลือจึงได้เตรียมตัวลุกจากไป
“ผมไปส่งนะ”
จิ้นเฟิงเฉินเดินออกมาข้างนอกพร้อมกับเธอ
และตรงทางเดิน ก็พบเข้ากับจิ้นเฟิงเหรา
เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วรีบเดินตรงเข้ามา
บริษัทภายในประเทศประสบปัญหานิดหน่อย จิ้นเฟิงเหราจึงได้เดินทางไปจัดการ
เมื่อทั้งสามคนพบหน้ากัน จิ้นเฟิงเหราก็ถามด้วยความกังวลว่า “พี่ครับ เสี่ยวเป่าเป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อพูดจบเขาก็มองไปยังทางห้องผู้ป่วยและกำลังจะเดินเข้าไป แต่กลับถูกจิ้นเฟิงเฉินรั้งเอาไว้
จิ้นเฟิงเฉินพูดด้วยเสียงอันเบาว่า “เสี่ยวเป่านอนหลับไปแล้ว น่าจะไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ที่นี่ผมอยู่คนเดียวก็พอแล้วพวกคุณกลับโรงแรมไปเถอะ”
“แต่ว่า……”
จิ้นเฟิงเหราคล้ายกับกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่มือของจิ้นเฟิงเฉินวางน้ำหนักลงบนบ่าของเขา
จิ้นเฟิงเฉินกระซิบที่ข้างหูเขาว่า “ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น พวกคุณมาฮันนีมูนกัน จะให้อยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไง?”
เมื่อพูดจบก็มองไปยังส้งหวั่นชีงที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขาเท่าไหร่นัก
หลังจากตบลงบนไหล่ของจิ้นเฟิงเหราเบาๆ แล้วจิ้นเฟิงเฉินก็ปฏิเสธออกมาว่า “เอาล่ะ ถ้าจะมาเยี่ยมผู้ป่วยค่อยมาเยี่ยมวันหลังแล้วกัน วันนี้พาส้งหวั่นชีงกลับไปก่อน ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตไม่ไปส่งพวกคุณแล้วนะ”
เมื่อพูดจบเขาก็เดินกลับไปที่ห้องผู้ป่วย
หลังจากที่เขาเดินจากไปแล้ว ส้งหวั่นชีงก็ก้าวเข้ามาคล้องแขนของจิ้นเฟิงเหราเอาไว้
ดวงตาของเธอมองไปตามแผ่นหลังของจิ้นเฟิงเฉินแสงไฟสลัวทำให้ภาพที่ปรากฏขึ้นดูหดหู่
เธอลดสายตาลงแล้วรู้สึกได้ถึงความเศร้าโศก
ความคิดถึงนั้นเมื่อถึงเวลากลางคืนก็ยากที่จะปกปิดเอาไว้ได้
มันท่วมท้นออกมาราวกับน้ำพุที่ไม่อาจควบคุมได้
เป็นความรู้สึกที่ต้องการจะต่อต้านแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
หลังเดินออกมาจากโรงพยาบาล จิ้นเฟิงเหรามองเห็นสีหน้าอันเศร้าสร้อยของส้งหวั่นชีงท่ามกลางแสงจันทร์
ใบหน้าอันซีดเซียวเต็มไปด้วยความเศร้าโศก มันดูช่างเดียวดายยิ่งกว่าแสงจันทร์เสียอีก
จิ้นเฟิงเหราโอบเอวของเธอเอาไว้แน่น เขาสังเกตได้ว่าอารมณ์ของเธอไม่ปกติ จึงได้ลดสายตาลงมองเธอแล้วถามขึ้นว่า “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?ทำไมไม่พูดอะไรเลยไม่สบายตรงไหน?”
ส้งหวั่นชีงไม่ได้ตอบ จิ้นเฟิงเหราคิดว่าส้งหวั่นชีงรู้สึกผิดหวังที่วันนี้เขาไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนเธอในช่วงฮันนีมูน
เขาจึงรีบชูสามนิ้วขึ้นแล้วสาบานว่า “พรุ่งนี้ผมสัญญาว่าจะปิดโทรศัพท์และไม่สนใจเรื่องของบริษัทแล้วจะอยู่เป็นเพื่อนคุณทั้งวันเลย”
ส้งหวั่นชีงส่ายหัวด้วยความขบขัน เธอรู้ว่าจิ้นเฟิงเหราเข้าใจผิดไป
เธอจึงตื่นขึ้นจากความคิดแล้วดึงมือจิ้นเฟิงเหรามาพูดเบาๆ ด้วยความอ่อนโยนว่า “ฉันไม่ได้เสียใจเพราะเรื่องนี้ค่ะ”
“แล้วคุณเป็นอะไรล่ะ?”
จิ้นเฟิงเหราเอามือขึ้นเกาหัวด้วยความสงสัย เขาไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไร
วันนี้เขาน่าจะไม่ได้ทำเรื่องอะไรให้ภรรยาของเขาเสียใจนี่นา
หรือเป็นเพราะเรื่องของพี่ใหญ่กับพี่สื้อสื้อ
ส้งหวั่นชีงพิงศีรษะของเธอลงบนไหล่ของจิ้นเฟิงเหราเธอหลับตาลงช้าๆ
เธอมองไปยังเงาของทั้งสองคนที่กระทบลงบนพื้น น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนเป็นต่ำทุ้มโดยไม่รู้ตัว
“ฉันรู้สึกว่าโชคชะตาช่างเล่นตลกกับเราจริงๆ เรื่องเมื่อสามปีก่อนนั้นพวกเราทุกคนคิดว่าพี่สื้อสื้อ ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
มีเพียงพี่ใหญ่เท่านั้นที่ไม่เชื่อ เขาตามหาพี่สื้อสื้อมาอยู่สามปี และในสามปีนั้นก็ทุกข์ทรมานมาก กว่าจะหาเธอพบไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่สุดท้ายแล้วพี่สื้อสื้อกลับจำเขาไม่ได้
ทุกครั้งที่ฉันเห็นพี่สื้อสื้อปฏิบัติต่อพี่ใหญ่เหมือนคนแปลกหน้าฉันก็รู้สึกอึดอัดใจมาก……”
ทุกคนจำได้ดีว่าจิ้นเฟิงเฉินนั้นรักเจียงสื้อสื้อ
มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่จำอะไรไม่ได้
จิ้นเฟิงเหราได้ยินดังนั้นก็เงียบไปเช่นกัน
เขาลูบไปยังแขนอันเย็นเยือกของส้งหวั่นชีง แล้วตาของเขาก็มืดมนลง
เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนี้
ความทุกข์ทรมานของจิ้นเฟิงเฉินนั้นเขาเองก็รู้ดี แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับทั้งสองคน
เรื่องของความรู้สึกนั้น คนนอกได้แต่มองดูไม่อาจเอื้อมมือเข้าไป
เขาขยับร่างกายแล้วหันส้งหวั่นชีงเข้ามาตรงหน้า จากนั้นโอบกอดเธอ
เขาจูบลงบนหน้าผากของเธอ แล้วใช้น้ำเสียงปลอบโยนเธอเบาๆว่า “ไม่เป็นไรครับไม่ต้องกังวลไปนะ พี่ผมและพี่สะใภ้จะต้องกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งแน่ พวกเขาสองคนผ่านเรื่องราวด้วยกันมาตั้งมากมาย หากไม่ใช่ความตายมาพรากจาก ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรสามารถแยกพวกเขาออกจากกันได้”
จิ้นเฟิงเหราพยายามพูดออกมาเบาๆเพื่อที่จะทำให้สถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้น
ส้งหวั่นชีงเงยหน้าขึ้นและมองเห็นดวงตาอันแน่วแน่ของจิ้นเฟิงเหรา อารมณ์ของเธอก็คล้อยตามเขา
จิ้นเฟิงเหรามองดูเธอด้วยความตั้งใจแล้วพูดด้วยความรักว่า “พี่สะใภ้เพียงแค่จำอะไรไม่ได้แค่ตอนนี้ไม่ใช่ตลอดไปสักหน่อย
ในเมื่อตอนนี้พวกเราหาเธอพบแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอครับ ดังนั้นคุณอย่าทำท่าทางแบบนี้สิ ผมปวดใจนะครับ”
เขาเดาออกว่าทำไมส้งหวั่นชีงจึงได้โศกเศร้าเช่นนี้
นั่นเป็นเพราะเธอจินตนาการเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง ถึงได้รู้สึกไม่มั่นคงในอนาคต
น้ำเสียงอันต่ำทุ้มของเขาคล้ายกับเครื่องดนตรี ที่ทำให้ใจเต้นรัวจากนั้นค่อยๆสงบลง
หลังจากนั้นไม่นานส้งหวั่นชีงก็เงยหน้าแล้วยิ้มขึ้น
“ค่ะ คุณพูดถูก”
เธอซบอยู่ในอ้อมแขนของจิ้นเฟิงเหราแล้วรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของเขา
เธอขยับริมฝีปากแล้วกระซิบเบาๆว่า “พวกเราเองก็จะต้องก้าวต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคุณห้ามลืมฉันเด็ดขาด”
เธอยอมรับว่าความสัมพันธ์ของจิ้นเฟิงเฉินและเจียงสื้อสื้อนั้นทำให้เธออดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเธอและจิ้นเฟิงเหรา