ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 661 ฉันเต็มใจ
บทที่ 661 ฉันเต็มใจ
เมื่อเห็นว่าเขาตกลง เธอก็ดีใจเป็นอย่างมาก ตอบรับเบาๆและหอมไปที่แก้มของจิ้นเฟิงเฉิน
แล้วเถียนเถียนก็นอนซุกอยู่ที่อ้อมอกของจิ้นเฟิงเฉิน ผ่านไปสักพักก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ
มองดูใบหน้าของเธอเมื่อหลับนั้น ทำให้ในใจของจิ้นเฟิงเฉินมีความพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ความง่วงโจมตีเขา ทำให้จิ้นเฟิงเฉินผลอยหลับไปเช่นกัน
กลางดึก เมื่อเจียงสื้อสื้อลืมตาขึ้นมา รู้สึกสบายตัวมาก เธอเงยหน้าขึ้นดู ก็พบกับความอบอุ่นนั้น
พบว่าจิ้นเฟิงเฉินนั่งพิงอยู่ที่ข้างเตียง พลางกอดหนูน้อยราวกับตุ๊กตาอย่างนั้น
ทั้งสองนอนหลับสนิท เจียงสื้อสื้อจึงไม่เข้าไปทำลายบรรยากาศ
แสงอาทิตย์ส่องลงมาตรงหน้าจิ้นเฟิงเฉิน ภายใต้แสงแดดอ่อนนั้น ทำให้จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกอบอุ่น
เธอนอนซุกอยู่ในอ้อมอกของจิ้นเฟิงเฉิน ร่างเล็กของเธอ ดูหลับสบายมาก
เงาของร่างเขาที่สะท้อนลงบนกำแพง ราวกับเทพพิทักษ์อย่างนั้น
เจียงสื้อสื้อเห็นเช่นนั้น จึงหยิบเสื้อมาคลุมบนตัวทั้งสอง จากนั้นค่อยๆลงจากเตียง
เดินมาถึงหน้าห้องรักษาของเสี่ยวเป่า มองดูหนุ่มน้อยที่นอนอยู่บนเตียง เจียงสื้อสื้อก็รู้สึกเจ็บแปรบในใจ
เธออยากจะให้ตัวเองไปรับความเจ็บปวดนี้แทนเขาเสียจะดีกว่า
เจียงสื้อสื้อฟุบอยู่ที่หน้าประตู มองลอดผ่านหน้าต่าง สังเกตเหตุการณ์ในห้อง ไม่แม้แต่กะพริบตา
เธอพลันมีน้ำอุ่นๆไหลลงมาที่หางตาอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับมีอีกมือหนึ่งมาปาดน้ำตานั้นให้เธอ
เจียงสื้อสื้อหันกลับมามอง ไม่รู้ว่าจิ้นเฟิงเฉินมายืนอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่
เอาเสื้อคลุมของเขามาคลุมตัวเธอเอาไว้
“ผมเชื่อว่าเสี่ยวเป่าจะไม่เป็นอะไรนะ อย่ากังวลไปเลยสื้อสื้อ ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทนผ่านไปไม่ได้ เขาก็ไม่ควรจะเป็นลูกชายของผมแล้ว”
จิ้นเฟิงเฉินพูดพลางดึงเจียงสื้อสื้อเข้ามากอดเอาไว้
ณ ตอนนั้น เถียนเถียนวิ่งมาพอดี ลากมือของจิ้นเฟิงเฉินและเจียงสื้อสื้อ
พูดด้วยความออดอ้อน “แด๊ดดี้ หม่ามี๊ พวกเรามารอพี่ชายกันค่ะ หนูเชื่อว่าเดี๋ยวพี่ก็ตื่นขึ้นมา”
เมื่อเห็นท่าทางรู้เรื่องของเถียนเถียน เจียงสื้อสื้อก็ยิ้มพลางลูบหัวของเถียนเถียน แล้วกล่าวขึ้นด้วยความเอ็นดู “พวกเราด้วยกัน”
ฝู้จิงเหวินที่เห็นภาพนั้นอยู่ไกลก็รู้สึกขัดหูขัดตาเป็นอย่างมาก
มองดูอาหารเสริมในมือ ในใจของฝู้จิงเหวินพลันรู้สึกแย่ขึ้นมา
เดิมเขายังเป็นห่วงเจียงสื้อสื้อ อยากถือจังหวะช่วงเปลี่ยนเวร มาดูแลเธอเสียหน่อย
แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน
แต่ไม่ว่าอย่างไรเจียงสื้อสื้อก็เป็นภรรยาของตนเอง เขาจะเข้าไปพูดอะไรนิดหน่อย คงจะไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม
ลังเลอยู่สักพัก ฝู้จิงเหวินจึงเดินเข้าไปหา
“สื้อสื้อ”
อยู่ๆมีเสียงดังขึ้นมา ทำให้ทุกคนในที่นั้นตกใจ
ผู้ชายตรงหน้ามองเธอด้วยแววตาตรวจสอบ เจียงสื้อสื้อถอยออกมาจากจิ้นเฟิงเฉินด้วยความรู้สึกฝืนๆ
พูดติดๆขัดๆ “เสี่ยวเป่ายังไม่พ้นขีดอันตราย ฉันก็เลย…”
“ไม่เป็นไร ผมไม่ถือสาเด็กน้อยหรอก แต่ผมก็ต้องขอเตือนคุณจิ้นที่อยู่ข้างๆคุณหน่อยนะ ว่าต้องเข้าใจในจุดยืนของตัวเอง อย่าลืมฐานะของตัวเอง”
คำพูดก่อนหน้านี้ของฝู้จิงเหวินดูอ่อนโยนมาก แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าจิ้นเฟิงเฉิน คำพูดของเขาก็ดูรุนแรงยิ่งขึ้น
จิ้นเฟิงเฉินได้ยินเช่นนั้น จึงเดินมายืนที่ด้านหลังของเจียงสื้อสื้อ และตอบกลับด้วยคำพูดที่รุนแรงเช่นเดียวกัน
“เช่นเดียวกันกับที่ผมเคยพูดกับคุณฝู้หลายรอบแล้ว ว่าคุณก็อย่าลืมสถานะตัวเอง”
เดิมทีจิ้นเฟิงเฉินโมโหเรื่องเสี่ยวเป่าอยู่แล้ว ฝู้จิงเหวินมาพอดี มาเป็นที่ระบายความโกรธของเขา”
มองชายหนุ่มทั้งที่ยืนจ้องหน้ากัน ทำให้เจียงสื้อสื้อไม่รู้จะทำอย่างไร
ในขณะที่บนอากาศเต็มไปด้วยระเบิดปรมาณูนั้น พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากไกลๆ
“เสี่ยวเป่าเป็นยังไงบ้าง?”
แม่จิ้นรีบวิ่งมาหยุดข้างๆจิ้นเฟิงเฉินด้วยความรีบร้อน
ข่าวที่เสี่ยวเป่าเกิดเรื่องนั้นดังไปถึงในประเทศ แม่จิ้นรู้สึกเหมือนกับฟ้าดินจะสลาย
ไม่พูดอะไรมากรีบลากพ่อจิ้นมาทันที
และลากสองจิ้นเฟิงเหราและภรรยาของเขามาด้วย พวกเขาต่างที่ท่าทีรีบร้อนเสียยิ่งกว่าอะไร
เสี่ยวเป่าเป็นที่รักของทุกคนในบ้านตระกูลจิ้น แล้วเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ก็ต้องแตกตื่นกันเป็นธรรมดา”
“แม่…”
จิ้นเฟิงเฉินกำลังจะตอบ แม่จิ้นก็ผลักเขาออก แล้วรีบเดินรุดเข้าไป
เมื่อเห็นบนร่างกายของเสี่ยวเป่าเต็มไปด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิต ในใจของแม่จิ้นแทบสลาย
ที่รักของเธอจะเจ็บปวดขนาดไหน…
น้ำตาไหลเอ่อออกมา แม่จิ้นไม่อาจต้านทานความเจ็บปวดนี้ได้
พ่อจิ้นรีบเข้าไปกอดแม่จิ้นเอาไว้ แล้วลูบที่หลังของเธอเบาๆ
ขอบตาของเขาเริ่มแดงก่ำ ที่เสี่ยวเป่าประสบครั้งนี้ เขาที่เป็นคุณปู่ รู้สึกเหมือนถูกมีดแทง
เมื่อเห็นสองตายายมีท่าทีที่เป็นห่วงอย่างมาก จิ้นเฟิงเฉินจึงพูดขึ้น “แม่ อย่ากังวลไป เสี่ยวเป่าพ้นขีดอันตรายแล้ว ตอนนั้นเพราะสื้อสื้อรีบมาให้เลือดอย่างทันท่วงที ถ้าไม่ได้เธอช่วยเอาไว้ คิดว่าเสี่ยวเป่าน่าจะจากไปตั้งนานแล้ว”
แม่จิ้นได้ยินเช่นนั้นก็รีบซับน้ำตา แล้วเดินไปหาเจียงสื้อสื้อ
ดึงมือของเธอมากุมเอาไว้ กล่าวด้วยความรู้สึกขอบคุณ “สื้อสื้อ ครั้งนี้หนูช่วยชีวิตเสี่ยวเป่าเอาไว้ ฉันไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรดี”
พูดจบ แม่จิ้นก็ก้มลง รู้ว่าเธอกำลังจะทำอะไร เจียงสื้อสื้อจึงรีบจับเธอเอาไว้”
พูดด้วยความเกรงใจ “คุณแม่ ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ แม่ทำแบบนี้หนูคงไม่อาจรับไว้ได้ แล้วอีกอย่างหนูก็ชอบเสี่ยวเป่าด้วย เสี่ยวเป่าเป็นเด็กดี แล้วเขายังเรียกหนูว่าหม่ามี๊ด้วย ยังไงซะหนูก็ต้องช่วยเขาค่ะ”
พูดจบ จิ้นเฟิงเฉินกระแอมตอบกลับทีหนึ่ง
จากนั้นก็พูดขึ้น “พูดแบบนี้ แสดงว่าเธอยอมรับเป็นหม่ามี๊ของเสี่ยวเป่าแล้วสินะ? เสี่ยวเป่าตื่นขึ้นมาคงจะดีใจน่าดู”
เจียงสื้อสื้อได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดง ผู้ชายคนนี้บิดเบือนความหมายที่เธอพูด
ณ ตอนนี้ ฝู้จิงเหวินเหมือนกับเป็นเพียงคนนอกเท่านั้น มองดูครอบครัวพวกเขารักใครกลมเกลียวกัน ก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้
จิ้นเฟิงเหราเห็นฝู้จิงเหวินมองด้วยแววตาศัตรู จึงรีบเดินมาบังทุกคนเอาไว้
พูดขึ้นด้วยความเป็นมิตร “คุณฝู้ครับ ขอบคุณมากนะครับที่มาเยี่ยมเสี่ยวเป่า”
จิ้นเฟิงเหรายืนบังสายตาของฝู้จิงเหวินที่แสดงความไม่พอใจนั้น แต่เหตุการณ์ก็ไม่อาจทำให้พูดอะไรได้มาก
สุดท้ายเขาก็เดินจากไปด้วยความโกรธ
ลูบมือเย็นเฉียบของเจียงสื้อสื้อ แม่จิ้นพูดขึ้นด้วยความอ่อนโยน “สื้อสื้อ ครั้งนี้หนูเป็นผู้มีพระคุณต่อชีวิตของพวกเราทั้งบ้าน ครอบครัวจิ้นติดค้างบุญคุณเธอ หลังจากนี้หากต้องการอะไร ให้รีบบอกได้เลยนะ”
เมื่อเห็นแม่จิ้นเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ เจียงสื้อสื้อก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร จึงตอบกลับเพียง “ไม่เป็นอะไรจริงๆค่ะ คุณแม่ หนูเต็มใจ ทำแบบนี้เกรงใจหนูเกินไปแล้ว ที่หนูช่วยเสี่ยวเป่าก็ไม่ได้หวังอะไรค่ะ”
จิ้นเฟิงเหราที่อยู่ข้างๆพูดเสริม “พี่สะใภ้… ไม่สิ พี่สื้อสื้อ ยังไงก็รับคำขอบคุณจากคุณแม่เถอะครับ ไม่อย่างนั้นแม่คบจะไม่สบายใจ”