ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 672 ไม่รบกวนให้คุณมาเป็นห่วง
บทที่ 672 ไม่รบกวนให้คุณมาเป็นห่วง
ฝู้จิงเหวินชะงักในใจ แต่ใบหน้าเขายังคงบีบรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา
เขาตบไปที่ไหล่ของเจียงสื้อสื้อและแสร้งทำเป็นไม่เป็นอะไร “เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว คุณจะเกรงใจผมทำไม? ผมเองก็คิดถึงเถียนเถียนมาก และผมควรจะไปกับคุณ อีกอย่างต้องขอบคุณประธานจิ้นอย่างดี ”
ถึงแม้เขาจะพยายามอดทน แต่ก็ห้ามไม่ได้ที่จะใส่น้ำเสียงกับคำว่าขอบคุณสองคำนี้ที่พูดออกมา
เจียงสื้อสื้อถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และตอบกลับอย่างอ่อนโยนว่า “ก็ได้”
ทั้งสองคนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปที่ลานจอดรถ เจียงสื้อสื้อถือกุญแจไว้กำลังจะขับรถ ฝู้จิงเหวินก็รับกุญแจมาอย่างเป็นธรรมชาติ
“หลายวันมานี้คุณก็เหนื่อยมากแล้ว คุณพักผ่อนก่อนเถอะ”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้าแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เธอเข้าไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับอย่างเชื่อฟัง และรีบไปสักพักหนึ่ง
แสงแดดบนท้องถนนนั้นไม่แยงตา แต่อารมณ์ของเธอเป็นเหมือนน้ำแข็งที่อยู่ในน้ำโค้ก มันลอยขึ้นลง ไม่ค่อยสงบมากนัก
ทั้งสองเงียบไปตลอดทาง ปล่อยให้เสียงเพลงไพเราะล่องลอยอยู่ในรถที่แคบๆ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเขามาถึงปลายทาง
ตอนที่เจียงสื้อสื้อลงจากรถ เขารู้สึกว่ายืนไม่อยู่และรู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย
ฝู้จิงเหวินมองไปที่เธอด้วยความกังวล เธอยิ้มและโบกมือแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไรหรอก เราไปรับเถียนเถียนกันเถอะ”
หลังจากที่ทั้งสองเคาะประตู พ่อบ้านก็พาพวกเธอเข้าไป
แต่พ่อบ้านเองก็เป็นคนฉลาด พอเห็นผู้ชายข้างๆ เจียงสื้อสื้อแล้ว ก็จงใจพาพวกเขาเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาวนอยู่หลายรอบ
คิ้วขอฝู้จินเหวินก็ขมวดเข้าหากัน ขณะนั้นฝีเท้าของพ่อบ้านก็หยุดลงที่หน้าประตูบานหนึ่ง
เมื่อเปิดประตูมา มันเป็นสระว่ายน้ำที่ร่มร้อนหรือจะบอกว่าเป็นบ่อน้ำพุร้อนคงเหมาะสมกว่า
สระว่ายน้ำเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดูกว้างใหญ่ แต่ไม่ลึก
เถียนเถียนเปลี่ยนชุดหงส์น้อยสีม่วง ดูเหมือนว่าจะกันน้ำเสียด้วย เธอหัวเราะคิกคักและกระพือในน้ำ
เสี่ยวเป่าไม่สามารถลงไปในน้ำได้เพราะแผลบาดที่ขา ได้แต่เล่นอยู่อีกด้านของสระว่ายน้ำ เขาบีบลูกเป็ดสีเหลืองเล่นอย่างตั้งใจ
ไม่มีเงาของจิ้นเฟิงเฉินอยู่ในสถานที่ แต่ก็มีแม่บ้านสองคนที่คอยดูแลอยู่ด้วย
ลูกเป็ดน้อยสีเหลืองลอยมาอย่างเงียบ ๆ เถียนเถียนคว้ามันมาแล้วโยนไปให้เสี่ยวเป่า จากนั้นก็ไปตบลูกโป่งที่ลอยอยู่บนน้ำ
เจียงสื้อสื้อเห็นเด็กน้อย ก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มที่อ่อนเพลียแต่หวานชื่นออกมา เธอย่อตัวลงและตบมือให้เถียนเถียน
ขณะที่กำลังจะพูด เสียงผลักประตูก็ดังขึ้น
เห็นจิ้นเฟิงเฉินสวมชุดอยู่บ้านเดินเข้ามา เสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายพาดไว้ตรงข้อศอก สวมนาฬิกาคริสตัลแท้ไว้บนข้อมือ แล้วถือถาดไว้
เจียงสื้อสื้อกวาดตามองไป ของที่อยู่บนถาดก็คงเป็นพวกเค้กช็อกโกเลตและผลไม้ปั่น
เถียนเถียนเห็นเขาแล้วก็ร้องว่า “แด๊ดดี๊ หม่ามี๊มาเที่ยวหาเราแล้ว!” ขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
จิ้นเฟิงเฉินได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มแล้วโยนของเล่นที่กลิ้งไปริมสระน้ำให้เถียนเถีฉลาม
คำเรียกที่เถียนเถียนใช้เรียกจิ้นเฟิงเฉิน ฝู้จิงเหวินฟังแล้วรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มอยู่ในหู
เขาไอและขัดจังหวะบรรยากาศที่อ่อนโยนราวกับครอบครัวนี้ไป และพูดอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณที่คุณช่วยดูแลเถียนเถียนนะครับ”
มือที่ยกถาดไว้ของจิ้นเฟิงเฉินหยุดชะงัก ราวกับเพิ่งเห็นคนคนนี้ เขายิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างยั่วยุ
“นี่จะพูดว่าขอบคุณได้อย่างไร? เถียนเถียนเป็นลูกสาวของผม ควรจะเป็น’ไม่รบกวนให้คุณมาเป็นห่วง’สิที่ถูกต้อง”
คำพูดของเขาสุภาพแต่ซ่อนเข็มไว้ ฝู้จิงเหวินขมวดคิ้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาทำตามคำพูดที่ว่าสุภาพบุรุษจะไม่ลงมือกัน เขาอยากจะต่อยใบหน้าที่น่ารังเกียจนี้ลงไปในน้ำจริงๆ
อาจจะเพราะอารมณ์ที่ร้อนขึ้นมา ฝู้จิงเหวินรู้สึกว่าที่นี่ร้อนเล็กน้อย เขาอดไม่ไหวจึงคลายกระดุมออกหนึ่งเม็ด
จากนั้นจึงเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชาว่า “ลูกที่ผมกับสื้อสื้อเลี้ยงดูมา ไม่ทราบว่าไปเป็นลูกสาวของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมหวังว่าคุณจิ้นจะไม่บ้าจนถึงจุดที่พูดอะไรไม่คิดและจำคนอื่นมั่วๆ ไปทั่วนะครับ”
จิ้นเฟิงเฉินไม่โกรธแต่กลับยิ้มออกมา แล้วส่งถาดที่ถือไว้ให้แม่บ้าน
เขาเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ แล้วพูดอย่างเชื่องช้าว่า “คุณคิดให้ดีนะ ว่าที่นี่คือบ้านของผม ส่วนเถียนเถียนเป็นลูกของใคร ใครบางคนก็รู้อยู่แก่ใจ ถ้าเกิดว่าชอบหลอกตัวเองจริงๆ ผมไม่รังเกียจที่จะเป็นคนที่ตีระฆังจนทำให้คุณตื่นขึ้นมานะครับ”
เสี่ยวเป่าที่อยู่ข้างๆ เห็นสลัดแอปเปิลบดที่เขาชอบ เขาก็ตักขึ้นมาหนึ่งช้อนใหญ่ๆ
จากนั้นก็หันหน้าไปถามน้องสาวว่าอยากกินไหม เถียนเถียนก็พยักหน้าทันที
แม้ว่าทางผู้ใหญ่จะดูตึงเครียดกันมาก แต่เด็กจะรู้สึกตัวได้อย่างไรกัน พวกเขาสนใจแต่เล่นให้สนุกก็เท่านั้นเอง
จิ้นเฟิงเฉินหยุดไปชะงักพักหนึ่ง แล้วก้มหน้าลงอย่างยั่วยุ
เถียนเถียนคิดว่าเขาอยากจะกินแอปเปิลบด เธอจึงตักขึ้นมาหนึ่งช้อนและป้อนเข้าปากเขา
ฝู้จิงเหวินสำลักและรู้สึกอับอายเล็กน้อย แต่เขายังคงอดทนไว้และไม่แสดงมันออกมา
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มมุมตา แล้วพูดยั่วยุต่อว่า “เถียนเถียน เป็นลูกของผมกับสื้อสื้อ คุณเป็นหมอ หรือว่าต้องดูผลตรวจดีเอ็นเอถึงจะยอมเชื่อเสียที?”
ฝู้จิงเหวินถูกคำพูดของจิ้นเฟิงเฉินยั่วยุจนโกรธ เขากําหมัดแน่น
เมื่อเห็นว่าการต่อสู้ครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น เสียงเตือนในใจเจียงสื้อสื้อก็ดังขึ้น เธอรีบดึงเขาไว้ และพูดเกลี้ยกล่อมว่า “พอแล้ว วันนี้พวกเรามารับเถียนเถียนกลับบ้านนะ”
เมื่อเจียงสื้อสื้อพูดประโยคนี้ ฝู้จิงเหวินก็ใจเย็นลง
เขาพยายามระงับความโกรธไว้ และบีบรอยยิ้มออกมาและยื่นมือออกไปหาเถียนเถียน
“เถียนเถียน กลับบ้านกับแด๊ดดี๊นะ”
เถียนเถียนประคองชามไว้ รู้สึกงุนงงเล็กน้อย แล้วมองไปทางจิ้นเฟิงเฉินแล้วถามขึ้นมาว่า “แด๊ดดี๊คะ หนูกำลังจะออกไปจากที่นี่แล้วใช่ไหมคะ?”
เมื่อปฏิบัติต่อลูกสาว จิ้นเฟิงเฉินอ่อนโยนมาก
เขาก้มลงและจูบไปที่แก้มขวาของเธอและพูดเบา ๆ ว่า “เพราะตอนนี้หม่ามี๊คิดถึงหนูมาก จะรับหนูกลับไปอยู่ด้วยชั่วคราว ถ้าหนูเชื่อฟัง พอแด๊ดดี๊มีเวลาก็จะไปหาหนูนะ โอเคไหม?”
เถียนเถียนได้ยินเช่นนี้ก็กลอกตาไปมา ตอนนี้จิตใจที่เล็กๆ ของเธอยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมแด๊ดดี๊และหม่ามี๊ที่เธอชอบกลับไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้
แต่เมื่อมองไปที่ฝู้จิงเหวินที่ยังคงยื่นมืออยู่ ดวงตาของเขาเหมือนจะเสียใจเล็กน้อย
เมื่อคิดว่าฝู้จิงเหวินเองก็เป็นแด๊ดดี๊ของเธอเช่นกัน เถียนเถียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยื่นมือน้อยๆ ออกไป
เมื่อเห็นฝู้จิงเหวินอุ้มเธอออกมาจากสระน้ำ เจียงสื้อสื้อก็หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหยดน้ำบนตัวเธอให้แห้ง
เถียนเถียนเหลือบมองไปทางของเสี่ยวเป่า และตะโกนว่า “พี่ชายคะ หนูไปแล้วนะถ้ามีเวลาหนูจะมาเล่นกับพี่นะ”
เสี่ยวเป่าโตกว่าเธอมาก ย่อมรู้ความไม่น้อย
สำหรับเรื่องที่วุ่นวายของเหล่าผู้ใหญ่ เขาเองก็เข้าใจอย่างงุนงง
แต่เมื่อเห็นน้องสาวสุดที่รักกำลังจะจากไป หัวใจเขาก็เศร้าเล็กน้อย
เขาเดินไปหาเถียนเถียน แล้วหยิบจี้หงส์เล็ก ๆ ออกจากกระเป๋ากางเกงที่เปียกโชก
พูดอย่างขมขื่นใจว่า “น้องสาว ของชิ้นนี้เป็นสิ่งที่หนูชอบ พี่มอบให้หนู ต่อไปต้องมาเที่ยวหาพี่นะ”
เถียนเถียนพยักหน้าอย่างแรง แล้วดึงตัวออกจากอ้อมกอดของฝู้จิงเหวิน
เด็กสองคนกอดกันสักพัก ก่อนจะแยกจากกันอย่างอาลัยอาวรณ์
ฝู้จิงเหวินรู้สึกหนักใจเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางที่ไม่อยากจะแยกกันของเขาสองคน