ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 680 พวกเราจะไปร่วมงานแต่งไหม
บทที่ 680 พวกเราจะไปร่วมงานแต่งไหม
แม่ฝู้ไม่อยากทำให้สถานการณ์ดูน่าเกลียดมากขึ้น จึงรีบช่วยคลี่คลายสถานการณ์
ยิ้มแล้วพูดกับจิ้นเฟิงเฉินว่า “คุณจิ้นคะ น้ำเสียงของจิงเหวินดูโผงผางเล็กน้อย หากทำให้คุณโกรธเคือง ฉันก็ขอโทษด้วยนะคะ หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
แม่ฝู้พูดออกมาขนาดนี้แล้ว จิ้นเฟิงเฉินย่อมไม่มีเหตุผลที่จะพูดอะไรต่อ
เขาพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา
พอเห็นว่าจิ้นเฟิงเฉินไม่ได้หาเรื่องต่อ แม่ฝู้ก็เหลือบมองฝู้จิงเหวินแวบหนึ่ง ส่งสัญญาณให้เขาหยุดได้แล้ว อย่าทำให้สถานการณ์มันน่าเกลียดเกินไป
ฝู้จิงเหวินยืนอยู่ตรงนั้นไม่พูดอะไรอีก
แม่ฝู้ยิ้มแล้วส่งคำเชิญออกมาอีกครั้ง “แน่นอนว่าการแต่งงานระหว่างสื้อสื้อกับจิงเหวินนั่นเป็นเรื่องจริง ถ้าคุณจิ้นมีเวลา ก็ต้องมาร่วมงานด้วยนะคะ”
ได้ยินเช่นนี้ จิ้นเฟิงเฉินก็เหลือบมองเจียงสื้อสื้ออย่างลึกซึ้ง สีหน้าไม่แสดงอารมณ์
เขายิ้มและพูดอย่างมีความนัยว่า “ถ้ามีเวลา ผมจะมาร่วมงานครับ”
เจียงสื้อสื้อก็เหลือบมองจิ้นเฟิงเฉินแวบหนึ่ง แววตาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
พอได้ยินจิ้นเฟิงเฉินพูดแบบนี้ ในใจของเธอก็รู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก
เขาอยากจะดึงมือออกจากมือของฝู้จิงเหวิน แต่ผู้ชายคนนี้มีแรงเยอะมาก
เธอกัดริมฝีปากไว้ เพื่อไม่ให้อารมณ์ภายในของเธอแสดงออกมา
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้พูดเรื่องนั้นออกมา เธอควรจะดีใจสิ แต่เธอกลับรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก
แต่ว่าอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ของเธอ จิ้นเฟิงเฉินสัมผัสไม่ได้
เขาก้มลงและจัดเสื้อผ้าเสี่ยวเป่าให้เรียบร้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและจูงมือของเสี่ยวเป่าและกล่าวคำลาอย่างสุภาพ
“ดึกมากแล้ว ผมกับเสี่ยวเป่าขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของคุณหญิงฝู้ด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจกันค่ะ” แม่ฝู้ยิ้มรักษามารยาทไว้
เสี่ยวเป่าเงยหน้ามองแดดดี๊แล้วหันไปมองเจียงสื้อสื้อ ดวงตาที่สวยๆ นั้นเต็มไปด้วยความอาวรณ์
“ลาก่อนนะครับหม่ามี๊ ต้องกินยาให้ตรงเวลานะครับ”
หัวใจของเจียงสื้อสื้ออบอุ่นมา เธอยิ้มและโบกมือลาเสี่ยวเป่า
“ลาก่อนนะเสี่ยวเป่า หม่ามี๊จะกินยาให้ตรงเวลา หนูต้องพักผ่อนให้ดีนะ”
เสี่ยวเป่ายิ้มตาเยิ้ม พยักหน้าอย่างจริงจัง จดจำคำพูดของเจียงสื้อสื้อไว้ในสมุดเล่มเล็กที่อยู่ในใจ
จากนั้นจิ้นเฟิงเฉินก็ละสายตาจากเจียงสื้อสื้อและจูงเสี่ยวเป่าขึ้นรถไป
แล้วผิดประตูรถ ขับรถออกไป
รถหรูสีดำกำลังขับเคลื่อนไปตามถนน เบาะหลังมีผู้ใหญ่และเด็กเล็กนั่งอยู่
ตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้ม ตัวใหญ่หน้าตาหล่อเหลาเอาการ พวกเขาเหมือนกันมากราวกับแม่พิมพ์แกะสลักออกมา
หลังจากที่เสี่ยวเป่าบอกลากับเจียงสื้อสื้อ เขาเศร้าใจเล็กน้อย
เขากอดรถไฟคันเล็กของตัวเองไว้ โดยไม่มีความเป็นประกายในดวงตาของเขาเลย
จิ้นเฟิงเฉินเอนกายพิงที่นั่งไว้ ขาเรียวยาวของเขายืดออก ร่างกายท่อนบนผอมบางสวมเสื้อเชิ้ต
แบรนด์หรูหรา
อาจเป็นเพราะว่าร้อน เขาใช้มือที่ผอมเรียวเห็นกระดูกปลดกระดุมเสื้อออกเผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าที่ยั่วยวน
จิ้นเฟิงเฉินสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ดิ่งลงของเสี่ยวเป่า ก้มหน้าลงมองดูศีรษะของเขา เอ่ยปากถามเขาว่า “หนูเศร้าเหรอ”
เสี่ยวเป่าเงยหน้ามองจิ้นเฟิงเฉินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่พูดอะไร ก้มหน้าลงแล้วเล่นรถไฟเล็กๆ ต่อ
เขาชำเลืองมองที่รถไฟเล็ก ๆ ในมือของเสี่ยวเป่าและกล่าวว่าเบา ๆ “กลับไปจะซื้อชุดรถไฟคอลเลคชั่น’เมืองเหล็ก’ให้ทั้งเซตเลย”
เสี่ยวเป่าเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาที่มองคนโง่เง่า มือน้อยๆ ของเขาค้นหาในกระเป๋าเป้สะพาย แล้วเจอบัตรสีดำหนึ่งใบ
ใช้น้ำเสียงแบบประธานจอมเผด็จการกล่าวว่า “ผมมีเงิน 10 ล้านในบัตรนี้ พ่อไม่ต้องซื้อให้ครับ”
เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนใช้เงินปิดปาก จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกแปลกใหม่ละเอียดอ่อนมาก
แต่ไม่นาน เขาก็รู้สึกตัวและกล่าวราวกับจงใจพูดว่า “ฉันให้นายได้อีกสิบล้านนะ”
เสี่ยวเป่าไม่สนใจเงิน10 ล้านที่ได้มาอย่างง่ายดาย เขาเก็บบัตรสีดำและรถไฟเล็ก ๆ ของเขากลับไป แล้วถือกระเป๋าเป้สะพายเล็ก ๆ ของเขาไว้
ถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หม่ามี๊จะแต่งงานกับลุงคนนั้นเหรอครับ? พวกเราจะไปงานแต่งเขากันเหรอ?”
เสี่ยวเป่าที่อายุเท่านี้ยังไม่เข้าใจเรื่องระหว่างผู้ใหญ่ พอคิดว่าต่อไปเจียงสื้อสื้อจะมีลูก ไม่ใช่หม่ามี๊ของเขาอีกต่อไป เสี่ยวเป่ารู้สึกเสียใจมาก
จิ้นเฟิงเฉินลูบหัวเสี่ยวเป่า ริมฝีปากโค้งขึ้นยิ้ม “เป็นไปได้ยังไง”
เขาตบมือจิ้นเฟิงเฉินที่ลูบหัวเขาออก ดวงตาดำคล้ำของเสี่ยวเป่ากลอกไปมา มองจิ้นเฟิงเฉินอย่างสงสัย รอคำอธิบายจากเขา
อาจเป็นเพราะอุณหภูมิบนรถค่อนข้างต่ำ ลมหายใจของจิ้นเฟิงเฉินดูเย็นชาเป็นพิเศษ
เขาเอ่ยปากแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “หม่ามี๊จะเป็นของเราเท่านั้น ฉันจะไม่ปล่อยหม่ามี๊ให้ลุงคนอื่นๆ”
เสี่ยวเป่าครุ่นคิดแล้วกล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมก็ไม่ต้องการให้หม่ามี๊เป็นหม่ามี๊ของคนอื่น แต่หม่ามี๊เป็นของเถียนเถียนได้”
เขามีเป้าหมายว่าจะเป็นพี่ชายที่ดี
จิ้นเฟิงเฉินชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง แล้วตอบรับ
“อืม”
ทางฝั่งตระกูลฝู้ หลังจากจิ้นเฟิงเฉินพาเสี่ยวเป่าออกไปแล้ว บรรยากาศของคนที่เหลืออยู่นั่นน่าอึดอัดใจมาก
เจียงสื้อสื้อดึงมือออกจากมือของฝู้จิงเหวิน และบอกว่าไม่ค่อยสบาย แล้วเดินขึ้นห้องไป
แม่ฝู้เทชาให้พ่อฝู้หนึ่งแก้ว เพราะรู้ว่าพ่อฝู้กำลังอดทนเก็บอารมณ์ความโกรธไว้
พ่อฝู้ดื่มชาไปหลายคำด้วยสีหน้าสงบนิ่ง จึงได้ประเมินพฤติกรรมที่วู่วามในเมื่อสักครู่ของฝู้จิงเหวิน “นายใจร้อนเกินไป เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของนายอยู่ นายคิดที่จะสู้กับจิ้นเฟิงเฉินใช่ไหม? ปกติฉันสอนนายว่าอย่างไร?”
ฝู้จิงเหวินรู้ว่าเขาใจร้อนเกินไป ถ้ามองในแง่การแสดงออกของเมื่อสักครู่นี้ จะเป็นที่พูดคุยของคนอื่นได้
เขายอมรับความผิดพลาดของเขาและกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมคิดไม่รอบคอบเองครับ พ่อครับ ผมผิดไปแล้ว”
พ่อฝู้ทำเสียงหึออกทางจมูก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฝู้จิงเหวินรู้สึกลำบากใจ
เขารู้จักลูกชายของตนดี ปกติทำงานอะไรเขายังมีความใจเย็นมีสติอยู่ ครั้งนี้เกรงว่าคงเป็นเพราะถูกจิ้นเฟิงเฉินกระตุ้นถึงได้เสียสติไป
“เอาล่ะ ถ้านายรู้ตัวว่าผิดก็พอแล้ว แล้วคราวหน้าอย่าลืมว่าอย่าพูดอะไรโดยไม่คิด”
“อืม”
ฝู้จิงเหวินตอบ
เจียงสื้อสื้อที่กลับห้องไปรู้สึกสับสนมาก ตอนที่เธออาบน้ำให้เถียนเถียน เห็นได้ชัดว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“อ๊า หม่ามี๊คะ น้ำร้อนจังค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงอุทานของเถียนเถียน เจียงสื้อสื้อจึงจะรู้สึกตัว รีบเอามือลองอุณหภูมิของน้ำ ร้อนมากจริงๆ
เธอมองเถียนเถียนด้วยความรู้สึกผิดและกล่าวว่า “เถียนเถียน ขอโทษนะคะ หม่ามี๊ประมาทเอง เจ็บตรงนี้ไหม?”
แขนของเถียนเถียนนั้นแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นเช่นนี้เจียงสื้อสื้อก็รู้สึกผิดมาก
เห็นอารมณ์ของเจียงสื้อสื้อไม่ค่อยดี เถียนเถียนพูดด้วยความรู้ความว่า “หม่ามี๊ไม่เป็นไรนะคะ แค่หม่ามี๊เป่าให้หนูหนูก็หายแล้ว”
เจียงสื้อสื้อได้ยินเช่นนี้ก็รีบทำตาม
“ได้ค่ะ หม่ามี๊เป่าให้เถียนเถียนนะ”
หลังจากที่กล่อมหนูน้อยหลับลง ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว
เจียงสื้อสื้อค่อยๆ เดินออกจากห้องไปอย่างเบามือ แล้วยืนอยู่หน้าประตูฝู้จิงเหวิน
เธอกัดริมฝีปากสีชมพูของเธอเบา ๆ และสงสัยว่าเธอควรจะใช้โอกาสนี้เพื่อพูดเรื่องราวให้มันชัดเจนหรือไม่
เธอยังไม่ทันได้เคาะประตู ฝู้จิงเหวินที่อยู่ไกลๆ ก็เดินตรงเข้ามา
ฝู้จิงเหวินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเจียงสื้อสื้อปรากฏตัวที่นี่
“สื้อสื้อ เกิดอะไรขึ้น? ”
หลังจากพูดจบ เจียงสื้อสื้อก็เดินตามเขาเข้าไปในห้อง
เจียงสื้อสื้อมองไปที่ฝู้จิงเหวินด้วยดวงตาที่สับสน
“เรื่องของเรา…….เราหาเวลาคุยกับพ่อแม่ให้ชัดเจนเถอะ ยื้อต่อไปแบบนี้คงไม่ใช่วิธีที่ดี”