ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 725 เราคุยกันหน่อยไหม
บทที่ 725 เราคุยกันหน่อยไหม
เนื่องจากเรื่องของเมื่อคืนนี้ทำให้เขามีอารมณ์ซับซ้อนเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถึงมันสักคำ
เจียงสื้อสื้อยิ้มแล้วค่อยๆลุกขึ้นมา ถามว่า “พวกคุณมากันนานหรือยังคะ?”
เธอไม่ได้มองดูเวลาและไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว
หากว่าพวกเขารออยู่ที่นี่ตลอด เธอคงรู้สึกไม่สบายใจแน่
ฝู้จิงเหวินส่ายหน้าและตอบว่า “เพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่นี้เองครับ เดิมทีผมอยากให้คุณนอนต่ออีกสักหน่อย แต่ว่าเถียนเถียนไม่ทันระวังไปชนแก้วแตกจนได้……”
เถียนเถียนที่ถูกเรียกชื่อขึ้นมาก็ก้มหน้าลงเหมือนเด็กที่ทำผิด และเตรียมการถูกดุ
แต่เจียงสื้อสื้อกลับยิ้มขึ้นและยื่นมืออันเรียวงามของเธอลูบไปที่ศีรษะอันน้อยของเถียนเถียน
“เด็กๆก็แบบนี้แหละค่ะ ใครไม่เคยทำผิดกัน”
เมื่อสิ้นเสียง ฝู้จิงเหวินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเก็บเศษแก้วที่กระจายอยู่บนพื้น
หลังจากเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ฝู้จิงเหวินก็นั่งเงียบๆอยู่ในมุมห้อง มองไปยังเจียงสื้อสื้อและเถียนเถียน
เถียนเถียนลูบไล้ไปยังนิ้วมือเรียวงามของเจียงสื้อสื้อก่อนจะถามออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “หม่ามี๊คะ เมื่อไหร่เราจะไปบ้านแด๊ดดี้กัน? หนูคิดถึงพี่แล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจียงสื้อสื้อก็เม้มริมฝีปากของเธอ สายตามองไปยังฝู้จิงเหวินที่นั่งอยู่ข้างๆ
แต่สีหน้าของเขานั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ราวกับไม่ได้ยินคำถามเมื่อสักครู่
เธอไม่ตอบคำถามของเถียนเถียน และกลัวว่าฝู้จิงเหวินจะเข้าใจผิด
แม้ว่าการแต่งงานของพวกเขานั้นยกเลิกไปแล้ว แต่เธอก็ไม่ควรจะทำร้ายฝู้จิงเหวินจนเกินไป เนื่องจากเขานั้นดีกับตนและเถียนเถียนมากจากใจจริง
ในขณะที่เธอกำลังจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ฝู้จิงเหวินที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆก็ได้เปิดฉากขึ้นว่า “ช่วงนี้ดีขึ้นบ้างหรือเปล่า?”
เมื่อสักครู่ตอนที่เถียนเถียนพูดถึงจิ้นเฟิงเฉิน ลึกๆแล้วในแววตาเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและรังเกียจ หัวใจของเขารู้สึกอึดอัดอย่างมาก
และไม่อยากให้เถียนเถียนกับเธอสนทนากันถึงเรื่องนี้อีก
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องเมื่อสักครู่ เจียงสื้อสื้อก็ถอนหายใจออกมา
เธอเงยหน้าขึ้น สายตาประสานกับฝู้จิงเหวิน “อีกไม่กี่วันน่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้วค่ะ เพียงแต่ว่าบาดแผลอักเสบนิดหน่อย”
ฝู้จิงเหวินพยักหน้าเป็นความหมายว่าเข้าใจแล้ว
แต่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขายังคงมืดมนเหมือนมีหมอกเมฆบดบัง
เจียงสื้อสื้อไม่ได้สังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติไป และเถียนเถียนก็พูดคุยกับเธอไม่หยุด เธอจึงให้ความสำคัญมาที่เถียนเถียนมากกว่า
เมื่อเห็นสองแม่ลูกคุยกันอย่างสนุกสนาน ฝู้จิงเหวินนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ขึ้นมา ใจของเขาก็มีความรู้สึกถึงความเบื่อหน่าย
จึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ผมยังมีธุระ ขอตัวก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
เจียงสื้อสื้อตอบรับ จากนั้นพูดเสริมขึ้นมาว่า “ขับรถระวังด้วยนะคะ”
ฝู้จิงเหวินพยักหน้า เนื่องจากได้รับความเป็นห่วงเป็นใยจากเธอ มุมปากของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยอยิ้มขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
เมื่อเขากำลังจะเอื้อมมือไปจับเถียนเถียนเพื่อพาเธอกลับบ้าน คิดไม่ถึงว่าเถียนเถียนจะหลบเขาและพูดเสียงแข็งว่า “หนูไม่กลับบ้านกับแด๊ดดี้”
หลังจากนั้นเธอก็หันหน้าไปพูดกับเจียงสื้อสื้อว่า “หม่ามี๊คะ พวกเราจะไปบ้านแด๊ดดี้เมื่อไหร่?”
คำว่าแด๊ดดี้ทั้งสองครั้งที่เจ้าหนูน้อยพูดออกมา แต่ความหมายมันไม่เหมือนกัน ทำให้หัวใจของฝู้จิงเหวินรู้สึกอึดอัด
เถียนเถียนกะพริบตากลมๆของเธอ แววตาสีดำเป็นประกาย
เมื่อเจียงสื้อสื้อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มของเธอก็แข็งทื่อทันที เธอทำได้เพียงหัวเราะกลบเกลื่อนแต่ไม่ได้ตอบอะไร
“ถ้าอยากจะไป ไว้เดี๋ยวแด๊ดดี้พาไปนะ” ฝู้จิงเหวินพูด
เขาจะไม่ทำแบบที่จิ้นเฟิงเฉินกล่าวหาว่ากักตัวเจียงสื้อสื้อและเถียนเถียนเอาไว้ข้างกายไม่ให้อิสระกับพวกเธอ
เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนั้นเดิมทีก็ค่อนข้างละเอียดอ่อนอยู่แล้ว หากเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นในตอนนี้ก็คงเป็นปัญหาที่เขา
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันให้จิ้นเฟิงเฉินมารับเธอไปดีกว่า คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
เจียงสื้อสื้อพูดออกไปเบาๆ แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงขาวซีด
เมื่อฝู้จิงเหวินได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและมองดูสีหน้าของเธอ ในใจของเขาก็รู้สึกว้าวุ่น
แต่ว่าเจียงสื้อสื้อไม่ได้สังเกตอะไรมากนัก เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือและโทรหาจิ้นเฟิงเฉิน
วินาทีต่อมาสายก็ถูกรับขึ้น มือของฝู้จิงเหวินกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
ในขณะที่เจียงสื้อสื้อเอ่ยปากพูดขึ้น เขาก็ก้าวขาออกไปอย่างรวดเร็ว
ไม่มีใครทันสังเกตเห็นความเศร้าหมองบนใบหน้าเขา แต่ไคทลินนาที่หลบซ่อนอยู่ในมุมมืด มองเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีทีเดียว
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ? ไม่สบายตรงไหน?”
น้ำเสียงของจิ้นเฟิงเฉินดูแหบแห้งดังขึ้นข้างหูของเธอ คำถามสองคำถามถูกพูดออกมาติดๆกัน
เนื่องจากกลัวว่าเขาจะคิดว่าเธอเป็นอะไรไป ดังนั้นจึงได้รีบพูดว่า “ไม่ใช่หรอกค่ะ พอดีว่าเถียนเถียนมาที่นี่ เธออยากจะไปเที่ยวที่บ้านคุณ คุณมารับเธอหน่อยได้ไหมคะ?”
เมื่อพูดจบปลายทางก็ตอบรับว่า “อืม” จากนั้นก็ตามด้วยเสียงวางสาย
เมื่อเห็นว่าหน้าจอโทรศัพท์เป็นสีดำไปแล้ว เจียงสื้อสื้อก็หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ตอนนี้เถียนเถียนถอดรองเท้าและปีนขึ้นมาบนเตียงเข้ามาอยู่ในผ้าห่มของเจียงสื้อสื้อ
“หม่ามี๊คะ ทำไมหม่ามี๊ไม่อยู่กับแด๊ดดี้ล่ะคะ?”
ศีรษะอันน้อยน้อยๆของเถียนเถียนเอนเข้ามา ดวงตากลมโตจ้องไปทางเจียงสื้อสื้อ
เมื่อได้ยินคำถามนั้นมือของเจียงสื้อสื้อที่ถือโทรศัพท์มือถืออยู่ก็บีบแรงขึ้น
“เพราะว่าตอนนี้หม่ามี๊ไม่สบาย แด๊ดดี้ก็ไม่สบายนะคะ ถ้าคนป่วยสองคนอยู่ด้วยกันคงจะวุ่นวาย อีกอย่างแด๊ดดี้ก็มีธุระของตัวเองที่ต้องทำ”
เธอหาข้ออ้างพูดออกมา
ความจริงบางเรื่องเธอรู้อยู่คนเดียวก็พอแล้ว เธอไม่อยากให้เด็กๆต้องมารับรู้ด้วย ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดเงาไว้ในใจตั้งแต่ยังเล็ก
เมื่อเถียนเถียนได้ยินคำพูดของเจียงสื้อสื้อ เธอก็ตอบรับเพียงว่า “อ้อ” แต่ไม่ได้ถามอะไรอีก
ฝู้จิงเหวินเดินออกจากห้องผู้ป่วยไปก็ตรงไปยังลิฟต์ เขารู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่จึงได้เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ไคทลินนาที่อยู่ด้านหลังก็รีบก้าวตามเขาไป แต่ยังคงรักษาระยะห่างจากเขา
เมื่อเดินไปถึงมุมตึก ฝู้จิงเหวินก็หยุดฝีเท้าลงทันที
ดวงตาลึกล้ำและทำเสียงอันเยือกเย็นของเขาพูดขึ้นว่า
“ออกมา”
เมื่อได้ยินดังนั้นไคทลินนาก็ตกใจ คิดไม่ถึงว่าฝู้จิงเหวินจะเห็นเธอ ดูแล้วเขาพอมีความสามารถอยู่บ้าง
เพราะว่าไม่มีช่องทางที่เธอจะแอบซ่อนได้ จึงค่อยๆเดินออกไปและยิ้มขึ้น
ไคทลินนาเอ่ยทักทายอย่างกระตือรือร้นว่า “คุณฝู้ สวัสดีค่ะ”
แต่แววตาของเธอช่างมองอย่างลึกซึ้ง
ฝู้จิงเหวินขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วพิงไปที่กำแพงก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “คุณแอบตามผมมาทำไม?”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของเขา ไคทลินนาทำได้เพียงแค่ยิ้ม ชุดสีขาวสะอาดตาของพยาบาลเผยให้เห็นหุ่นของเธอ
ผิวพรรณก็ดูขาวผ่องมากขึ้น แต่น้ำเสียงของเธอกลับดูสบายๆแล้วตอบว่า “คุณฝู้จะพูดอย่างนี้ได้ยังไงกันคะ ฉันแอบตามคุณซะที่ไหน? โรงพยาบาลใหญ่ขนาดนี้ฉันเองก็แค่จะขึ้นลิฟต์เหมือนกัน บังเอิญได้พบกับคุณเข้า ทำไมคุณคิดว่าฉันแอบตามคุณมา หรือว่าคุณจะคิดอะไรกับฉัน?”
เมื่อพูดจบ คิ้วของฝู้จิงเหวินก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน
“ผมไม่มีเวลาจะมาพูดอ้อมค้อมกับคุณ ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวก่อน”
เมื่อเห็นฝู้จิงเหวินกำลังจะเปิดประตูลิฟต์และเดินเข้าไป ไคทลินนาจึงได้พูดขึ้นว่า “เรามาคุยกันหน่อยไหมคะ?”
ประโยคนี้ทำให้ฝู้จิงเหวินรู้สึกสนใจขึ้นมา ขาข้างที่ก้าวเข้าไปในลิฟต์กลับก้าวออกมา
“พวกเรามีอะไรต้องคุยกันหรือครับ?”
คนที่อยู่ตรงหน้านี้เขาไม่รู้จัก คาดว่าคงไม่ใช่เรื่องอาการของเจียงสื้อสื้อ
ถ้าอย่างนั้น……
ลางสังหรณ์ที่คลุมเครือเช่นนี้ผุดขึ้นในใจของเขา
“จื่อเฟิง คิดว่าฉันคงไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้สินะ”
ตอนที่พูดคำว่าจื่อเฟิงออกมา มือของไคทลินนากอดอกเอาไว้ สายตาของเธอจ้องไปยังฝู้จิงเหวิน และสังเกตท่าทางของทุกอิริยาบถของเขา
เมื่อได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจื่อเฟิง คิ้วของฝู้จิงเหวินก็แทบจะเข้ามาชนกัน