ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 727 ตกเหวลึก
บทที่ 727 ตกเหวลึก
ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองมาทางพวกเขาทั้งสองคนอย่างไม่ขาดสาย และบางครั้งยังมีคนชี้มาทางเขา ฝู้จิงเหวินมองข้ามพวกคนเหล่านั้นแล้วดึงคอเสื้อของไคทลินนาแรงขึ้นกว่าเดิม
แต่ไคทลินนากลับไม่ได้กลัวแม้แต่น้อย ตาของเธอมองไปทางฝู้จิงเหวินที่กำลังโมโหอย่างนิ่งเงียบ
การที่อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่านแบบนี้ยิ่งมีผลดีกับเธอ เนื่องจากในบางครั้งความรักก็เป็นเหมือนดาบคม
“ฝู้จิงเหวิน คุณคิดว่าคุณเป็นหมอก็จะหายาถอนพิษได้อย่างนั้นเหรอ ฉันคิดว่าทักษะทางการแพทย์ของคุณยังคงไม่ถึงขั้นนั้น คุณไม่มีแม้แต่ตัวอย่างยาซะด้วยซ้ำ จะไปค้นหายาแก้ได้อย่างไร อีกอย่างหนึ่งฉันผสมรวมเข้าไปกับยาแก้อักเสบ ดังนั้นยาชนิดนี้จึงไม่มีแม้แต่สีและกลิ่น
ต่อให้คุณพาเธอไปตรวจก็ไม่พบอะไรผิดปกติหรอก คุณไม่รู้จักส่วนผสมของยานั้นด้วยซ้ำ ดังนั้น…… คุณทำได้เพียงร่วมมือกับฉันซะ มีเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้เจียงสื้อสื้อรอดพ้นจากอันตรายได้”
ฝู้จิงเหวินผลักเธอออกจนเธอถอยหลังไปหลายก้าว เธอเก็บความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามเอาไว้ในใจ
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาและยิ้ม เธอยังไม่ทันจะพูดอะไร ฝู้จิงเหวินก็พูดขึ้นมาว่า
“การที่คุณพยายามขนาดนี้ก็เพื่อต้องการให้ผมทำความร่วมมือกับคุณเท่านั้นเหรอ? ความแค้นของคุณที่มีต่อจิ้นเฟิงเฉินนั้นฝักลึกขนาดไหนเชียว?” ฝู้จิงเหวินยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี เนื่องจากมองดูแล้วเธอไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับจิ้นเฟิงเฉินได้
ไคทลินนาเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้ตอบอะไรออกมา
เธอพูดประโยคที่ยังพูดไม่จบเมื่อสักครู่ต่อ “สิ่งที่ฉีดให้เธอนั้นแม้จะ…… ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ถ้าออกฤทธิ์ขึ้นมาแล้วก็จะทำให้คนคนนั้นรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น แต่ถ้าให้คุณเจียงกินยาตรงเวลาก็ไม่มีปัญหาอะไร ฉันว่า……”
เธอเอามือลูบผมแล้วเงยหน้ามอง เก็บเล่ห์เหลี่ยมเหล่านั้นไว้ในสายตาก่อนจะพูดต่อไปว่า “คุณฝู้คงจะทนเห็นคุณเจียงเจ็บปวดไม่ได้ใช่ไหมคะ”
เมื่อพูดจบกำปั้นของฝู้จิงเหวินก็กำแน่นขึ้นกว่าเดิมโดยอัตโนมัติ
มองดูแล้วผู้หญิงคนนี้เตรียมตัวมาก่อนแล้ว การที่อ้อมค้อมก่อนหน้านี้เพียงเพื่อต้องการให้เขายอมรับทำความร่วมมือกับเธอเท่านั้น
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขาโมโหที่สุดนั่นก็คือ ผู้หญิงคนที่เขาพยายามปกป้องดูแลอย่างดี กลับถูกคนอื่นวางยาได้ต่อหน้าต่อตา
ฝู้จิงเหวินพยายามเก็บความโมโหนั้นเอาไว้ และพยายามใช้ความรู้สึกนึกคิดที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยพูดขึ้นกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าว่า “นี่คุณกำลังข่มขู่ผมอย่างนั้นเหรอ?”
เขาถามออกมาด้วยความโมโหว่า “ยาแก้พิษอยู่ไหน ”
ไคทลินนาไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอยืนอยู่ตรงหน้าเขาใช้แววตาอันเยือกเย็นมองไปยังผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า
ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่เวลาที่เธอจะขอร้องให้ฝู้จิงเหวินทำความร่วมมือด้วย
แต่เป็นฝู้จิงเหวินต่างหากที่กำลังจะติดเบ็ด
หลังจากถามอยู่หลายครั้งแต่ในที่สุดก็ไม่ได้รับคำตอบ
“คุณหูหนวกหรือไง ผมถามคุณอยู่ว่ายาแก้พิษอยู่ที่ไหน”
“ไม่มี”
ไคทลินนาทำสีหน้านิ่งแล้วตอบว่า “ยานี้ท่านศาสตราจารย์เป็นคนคิดค้นขึ้นมา ถ้าคุณต้องการยาแก้พิษก็ต้องเข้าร่วมมือกับพวกเรา”
เมื่อเห็นท่าทางของฝู้จิงเหวินเมื่อสักครู่ น้ำเสียงของเธอก็ไม่ได้ดูออดอ้อนเหมือนเมื่อสักครู่แล้ว แต่กลับกลายเป็นหยอกเล่นกับเขา
เมื่อได้ยินดังนั้น กำปั้นที่ฝู้จิงเหวินกำเอาไว้ก็เพิ่มแรงเข้าไปอีก ดวงตาอันมืดมนของเขาอยากจะฉีกผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้านี้ให้เป็นเสี่ยงๆ
วินาทีต่อมา เขาก็ได้เริ่มลงมือจริงๆ
ในขณะที่ไคทลินนายังไม่ทันได้ตั้งตั จึงได้ถูกเขาบีบข้อมือเอาไว้
“คุณทำอะไรน่ะ ” จู่ๆก็ถูกเขาเข้ามาบีบไว้ จึงทำให้ไคทลินนา ตกใจจนเอ่ยถามขึ้น
หลังจากที่เธอพยายามดิ้นรนอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากว่าแรงผู้ชายกับแรงผู้หญิงยังคงมีความแตกต่างกันบ้าง
ฝู้จิงเหวินไม่ได้สนใจกับการพยายามดิ้นหนีของไคทลินนาและคำถามของเธอ แต่กลับลากเธอเข้าไปในมุมมืดด้านหลังโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วและหยุดฝีเท้าลง จากนั้นผลักเธอออกไปอย่างแรง
แต่ไคทลินนาเคยถูกฝึกฝนมาก่อน เธอกลิ้งไปกับพื้น 2-3 ตลบแล้วหยุดลงอย่างมั่นคง สายตาแหลมคมของเธอจ้องไปทางฝู้จิงเหวิน
ดวงตาของทั้งสองคนประสานกันท่ามกลางอากาศ ซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธ
ในสมองของฝู้จิงเหวินนึกถึงคำพูดที่พูดออกมาเมื่อสักครู่ สีหน้าเขาก็มืดมนลงจนน่ากลัว มือทั้งสองข้างที่วางไว้ตรงลำตัวก็กำหมัดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ไคทลินนา สังเกตถึงการกระทำทุกอย่างของฝู้จิงเหวิน เมื่อเห็นเขาปล่อยหมัดออกมาเธอก็รีบหลบไป
ความรวดเร็วราวกับสายลม ทำให้ผมของเธอปลิวไสว
เธอยกมือขึ้นกำข้อมือของฝู้จิงเหวินเอาไว้ และใช้พลังก้าวออกไป
ฝู้จิงเหวินตีลังกาข้ามร่างของเธอและกลิ้งอยู่บนพื้นหนึ่งตลบก่อนที่จะย่อตัวลงเพื่อควบคุมไม่ให้เกิดอาการมึนหัวจากการหมุนตัวเมื่อสักครู่
วินาทีต่อมาเขาก็ลุกขึ้นยืน และเข้าไปบีบคว้าข้อมือไคทลินนาเอาไว้ ดวงตาแดงก่ำของเขา ยื่นหน้าเข้าไปพูดข้างๆหูไคทลินนาพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ว่า “ถ้าศาสตราจารย์ของพวกคุณมียาแก้ ก็ไปเอาที่เขามา ไม่อย่างนั้นแขนข้างนี้ของคุณคงจะหักแน่”
พูดจบไคทลินนาก็ยิ้มขึ้นมาอย่างไม่ได้เกรงกลัว
“อย่างนั้นเหรอคะ?”
เธอตั้งใจทำเสียงสูงในท้ายประโยค
จากนั้นเธอก็ตีลังกาถอยหลังไป ทำให้ฝู้จิงเหวินเบิกตากว้าง
เขาคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงอย่างไคทลินนานี้จะมีร่างกายและความสามารถที่แข็งแกร่ง
เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม
หลังการต่อสู้กันไปมาหลายครั้งแต่ทั้งสองก็ยังคงเสมอเท่าเทียมกัน
และพอจะมองออกถึงความสามารถของฝ่ายตรงข้าม
แม้ว่าในเรื่องของพละกำลังนั้นไคทลินนาจะเสียเปรียบบ้างเล็กน้อย แต่ความว่องไวของเธอมากกว่าฝู้จิงเหวินเยอะทีเดียว
เนื่องจากการต่อสู้เมื่อสักครู่ ตอนนี้หน้าอกของทั้งสองคนกระเพิ่มขึ้นลงจากความเหนื่อยหอบและหายใจไม่เป็นจังหวะ
ผ่านไปสองนาที ไคทลินนาทำท่าทางผ่อนคลายลง เธอเดินยิ้มไปทางฝู้จิงเหวิน
“พวกเราจะมาต่อสู้กันไปให้เปลืองพลังงานทำไมคะ เพียงแค่คุณยอมทำความร่วมมือกับพวกเรา ฉันสัญญาว่าจะไม่ให้เจียงสื้อสื้อต้องทรมานใดๆ แต่ถ้าคุณยังยืนยันไม่ให้ความร่วมมือกับพวกเราแล้วละก็……ฉันเองก็หมดปัญญาเหมือนกัน”
เธอเดินส่ายหัวและหันหลังจากไป
ฝู้จิงเหวินยังคงยืนอยู่ที่เดิม สายตาอันเยือกเย็นของเขามองตามหลังไคทลินนา
มือข้างซ้ายกุมหน้าอกไว้เนื่องจากบาดเจ็บจากการต่อสู้เมื่อสักครู่ จนกระทั่งร่างของไคทลินนาเดินหายไปจากสายตา ฝู้จิงเหวินถึงได้ก้าวขาเดินจากไปเช่นกัน
เธอและจื่อเฟิงใช้ทุกวิถีทางมาจัดการเพื่อต้องการผลประโยชน์ส่วนตัว ผู้หญิงแบบนี้อันตรายเกินไป
หากว่าทำความร่วมมือกับพวกเขาจะต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
ไม่อย่างนั้นอาจจะตกไปในหลุมพรางได้
หลังจากขับรถมาถึงบ้าน ฝู้จิงเหวินก็นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ห้องรับแขก
ตอนนี้มีเส้นทาง 2 สายทอดยาวอยู่ตรงหน้าเขา เส้นทางหนึ่งคือการที่เขาเจาะเลือดเจียงสื้อสื้อด้วยตนเองและนำไปเปรียบเทียบกับเลือดของคนปกติเพื่อคิดหาวิธีการถอนยาแก้พิษ
ทางที่สองก็คือการร่วมมือกับไคทลินนา
ทั้งสองทางนี้แม้จะอันตรายมาก เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าไวรัสนั้นจะแฝงอยู่ในร่างกายคนเราได้นานเท่าไหร่และจะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไร
ต่อให้ทำความร่วมมือกับไคทลินนาและได้รับยาแก้พิษมาแล้วอาจจะสามารถผ่อนปรนความเจ็บปวดได้เพียงระยะหนึ่ง อาจไม่สามารถทำลายไวรัสที่อยู่ในเลือดของเธอได้
อีกทั้งเขานั้นไม่เชื่อว่าไคทลินนาจะนำยาที่สมบูรณ์แบบมาให้กับเขา
เขาเอามือกุมศีรษะของตัวเองด้วยความปวดหัว และหรี่ตาลง
ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ดวงตาแหลมคมมองไปด้านหน้าคล้ายกับกำลังเหม่อลอยหรือคิดบางสิ่งอยู่
จู่ๆเขาก็ลุกขึ้นและก้าวเดินลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
เขาสามารถเลือกที่จะทดลองทั้งสองทางได้ ถ้าหากว่าเส้นทางแรกไม่เป็นผลก็ลองเดินเส้นทางที่สอง
เนื่องจากเขาก็เป็นหมอเหมือนกัน เขาไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีอะไรที่มาขัดขวางเขาได้
หลังจากขึ้นนั่งบนรถแล้วเขาก็ติดเครื่องยนต์และมุ่งหน้าออกไป
เพื่อเป็นการไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เขาเร่งเครื่องรถยนต์ในความเร็วสูงสุดและไม่รู้ว่าผ่าไฟแดงไปกี่แห่งต่อกี่แห่ง