ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 752 แม้แต่คุณก็ไม่มีปัญญาใช่ไหม
บทที่ 752 แม้แต่คุณก็ไม่มีปัญญาใช่ไหม
ยังมีพายุคลื่นใหญ่รอให้เขากับสื้อสื้อเผชิญมันอยู่ เขาจะทรุดลงไม่ได้
เปิดหน้าต่างห้องหนังสือออก ไล่กลิ่นควันภายในห้องออกไปให้หมดแล้วจิ้นเฟิงเฉินจึงกลับไปพักผ่อนในห้องนอนตัวเอง
วันถัดมา ขณะที่เจียงสื้อสื้อยังหลับอยู่ เสียงเรียกเข้าของมือถือดังขึ้น
ลืมตาขึ้นอย่างงุนงง เหลือบมองดูสายเรียกเข้า แม่ฝู้โทรมา
เจียงสื้อสื้อรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที กระแอมในลำคอ“ แม่ มีอะไรหรือคะ ”
ได้ยินเสียงขี้เกียจของเจียงสื้อสื้อ แม่ฝู้ก็รู้ได้ทันทีว่าเธอน่าจะยังไม่ตื่นนอน
พูดอย่างจริงจังว่า“สื้อสื้อเอ๋ย ฉันว่าวันนี้เธอกลับมาบ้านก่อนได้ไหม อยู่แต่บ้านของคนอื่นมันไม่ค่อยดีนะ…………”
ฟังความหมายในคำพูดของแม่ฝู้ออก เจียงสื้อสื้อรีบตอบ “ คุณแม่ ฉันรู้แล้ว วันนี้ฉันจะพาเถียนเถียนกลับไปค่ะ ”
“ฉันได้จัดรถไปรับพวกเธอ รถกำลังจะออกแล้ว”
พอแม่ฝู้ได้ยินเสียงตอบรับของเจียงสื้อสื้อเช่นนั้น สีหน้ายิ้มดีใจขึ้นมาทันที
หันไปมองเถียนเถียนที่นอนอยู่ข้างๆยังหลับอย่างสนิท เจียงสื้อสื้อดึงผ้าห่มออกเบาๆแล้วลุกจากเตียงนอน
ค่อยๆดึงผ้าม่านหน้าต่างออก แสงแดดจ้าสาดส่องเข้ามา ส่องสว่างไปทั่วห้อง
“หม่ามี๊……”
กองผ้านวมสีขาวบนเตียงกระดุกกระดิก ยื่นหัวฟูๆออกมามองดูเจียงสื้อสื้อด้วยสายตาละห้อย น้ำเสียงอ่อนหวาน “จะต้องลุกแล้วหรือคะ ”
เจียงสื้อสื้อได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มและกอดเถียนเถียนไว้ในอ้อมกอด กดเส้นผมของเธอที่ชี้ขึ้นจากการนอนทับลงไปอย่างอ่อนโยน กล่าวด้วยเสียงเบาๆ “ใช่แล้ว คุณย่าเรียกเรากลับไป ”
หลังจากแปรงฟันอาบน้ำแบบเรียบง่ายแล้ว เจียงสื้อสื้อก็อุ้มเถียนเถียนแล้วลงไปชั้นล่าง
พอดีไปเจอเข้ากับจิ้นเฟิงเฉินที่เดินออกมาจากในห้อง แล้วพูดกับเขาว่า “วันนี้ฉันจะกลับก่อนล่ะ ทางบ้านมาตามแล้ว ฉันเองก็รู้สึกเกรงใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปด้วย ”
ได้ยินเช่นนั้น นัยน์ตาจิ้นเฟิงเฉินเจื่อนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง
เถียนเถียนที่อยู่ในอ้อมกอดก็สะลึมสะลือหลับไป และกอดไหล่เจียงสื้อสื้อไว้แน่น
เดินออกมาจากบ้านจิ้นก็เห็นพ่อบ้านรออยู่แล้ว เจียงสื้อสื้ออุ้มลูกเดินไปหา“ลุงหวัง ท่านมารอนานแล้วใช่ไหม”
“ไม่นาน ไม่นาน”
ลุงหวังที่ท่าทางซื่อๆก็รับของจากในมือเจียงสื้อสื้อไป
เวลานี้พ้นช่วงเวลาชั่วโมงเร่งด่วนของคนทำงานแล้ว รถบนท้องถนนไม่ค่อยเยอะ
สักพัก รถก็มาจอดที่หน้าประตูวิลล่าตระกูลฝู้ เพิ่งลงจากรถมา แม่ฝู้ก็ก้าวออกมาหา และรับเถียนเถียนไป “ในที่สุดก็กลับมาแล้ว เถียนเถียน คิดถึงย่าไหม ”
“คิดถึงค่ะ!”
สิ้นเสียง เถียนเถียนหอมไปแก้มแม่ฝู้หนึ่งฟอด
แม่ฝู้ดีใจจนอุ้มเถียนเถียนหมุนรอบ
“คุณแม่ นี่ให้ท่าน ท่านดูก่อนว่าชอบไหม”
เจียงสื้อสื้อพูดไปพร้อมกับหยิบเอาผ้าพันคอออกมาจากในถุง
เพิ่งซื้อเมื่อกี้ระหว่างทางกลับมานี่นี้เอง ไม่ว่าอย่างไรในใจเธอยังคงรู้สึกขอบคุณตระกูลฝู้
“ โอ้ว จริงๆนะ ลูกสาวก็จะรู้จักเอาใจใส่ รู้จักมีของขวัญให้แม่ ไม่เหมือนจิงเหวิน ที่ตั้งแต่ไปทำงาน ก็ไม่ค่อยอยากกลับบ้านเลย ”
แม่ฝู้ถือผ้าพันคอดูซ้ายดูขวาอย่างดีใจ รู้ว่าในใจเจียงสื้อสื้อยังมีบ้านนี้อยู่
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แน่ว่าจุดประสงค์ของตัวเองในวันนี้ก็อาจสมหวัง……..
ได้ยินเธอพูดถึงฝู้จิงเหวิน เจียงสื้อสื้อก็เงยหน้ามองไปที่หน้าต่างชั้นสองอย่างรู้ดี
ว่าเวลานี้ เขาน่าจะไม่อยู่
หลังจากทั้งสองพากันเข้าบ้านแล้ว แม่ฝู้กล่าวว่า “สื้อสื้อจ๋า เธอไม่อยู่บ้านสองวัน แม่อยู่ไม่เป็นสุขจริงๆ”
หลังจากหยุดพูด เจียงสื้อสื้อกำลังจะปลอบ ก็ฟังเธอกล่าวต่อ “แม้แต่จิงเหวินก็กลายเป็นคนพูดน้อยลง บ้านก็ไม่กลับ เธอว่า พวกเธอสองคนไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้วใช่ไหม”
เวลานี้เจียงสื้อสื้อเข้าใจแล้วว่า แม่ฝู้อยากจะพูดอะไร
นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดกับเอ่ยปากออกมา “คุณแม่ ฉันขอบคุณท่านกับจิงเหวินมาก แต่ว่า……ฉันกับจิงเหวินไม่เหมาะสมกัน”
เห็นท่าทางเจียงสื้อสื้อเปลี่ยนไปกะทันหัน แม่ฝู้ก็รีบพูดขึ้นว่า “แม่ไม่ได้อยากบังคับแก รู้ว่าทำให้แกลำบากใจ แต่….ให้โอกาสจิงเหวินอีกครั้งได้ไหม
เขารักแกมากจริงๆ แกลองค่อยๆปรับตัวเข้าหากันดู แม้ว่าคุณจิ้นจะเป็นคนมาก่อน แต่ใครก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าความรักของเขายังเหมือนเดิม ”
เจียงสื้อสื้อมองเธออย่างลำบากใจ ถอนหายใจเฮือก
ไม่ว่าอย่างไรตรงหน้านี้เป็นผู้หญิงที่ตัวเองเรียก “แม่” ไม่ว่าอย่างไรเธอก็จะไม่พูดคำที่ทำร้ายจิตใจเธอออกมาได้
“คุณแม่ พวกเราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ท่านก็ยิ่งน่าจะเข้าใจความรู้สึกของฉัน ความรู้สึกที่ฉันมีต่อจิงเหวินคือความรู้สึกขอบคุณ ไม่ใช่ความรักแบบชายหญิง สำหรับฉันเขายิ่งกว่าคนในครอบครัว ก่อนนั้นเป็นความเข้าใจผิดของฉันเอง แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่สามีฉัน ฉันไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้ได้ ”
แม่ฝู้ได้ยินเช่นนั้นก็รู้ได้ว่าไม่สามารถรั้งไว้ได้แล้วก็ลุกขึ้นอย่างรีบร้อน
“สื้อสื้อจ๋า นั่นเป็นเพราะว่าแกยังไม่เคยเปิดใจให้เขา แกลองศึกษาเขาดู แกจะเห็นว่าพวกแกเหมาะสมกันมาก”
พูดจบ เจียงสื้อสื้อมองไปที่รูบิคในมือเถียนเถียน โดยไม่ตอบ
แต่ในใจมีความขมขื่นเล็กน้อย
หนี้บุญคุณคน ไม่มีวันจะชดใช้คืนได้หมดจริงๆ
ที่JS กรุ๊ป
โม่เหยียเคาะประตูห้องทำงานท่านประธาน
เห็นว่าคนเข้ามาคือโม่เหยีย จิ้นเฟิงเฉินรีบวางงานในมือลง ถามว่า“ ตกลงมันอย่างไงกันแน่ ผลออกมาหรือยัง ”
ทั้งสองยังไม่ทันนั่งลง จิ้นเฟิงเฉินก็ถามอย่างใจร้อน
สีหน้าโม่เหยียนิ่งไปเล็กน้อย ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้ไป “คุณชาย ท่านดูก่อน นี่คือผลการตรวจ”
บนเอกสารผลตรวจที่ยื่นมาให้เต็มไปด้วยข้อมูลมากมาย จิ้นเฟิงเฉินรับมาแล้วกลับดูอะไรไม่ออก
“เชื้อโรคในร่างกายคุณหญิง……ผมยังไม่เคยเห็นมาก่อน”
ประโยคของโม่เหยียนี้ ทำให้จิ้นเฟิงเฉินเหมือนคุมขังในถ้ำน้ำแข็.
เขารู้สึกจุกในลำคอ น้ำตาคลอเบ้า
โม่เหยียรู้สึกสงสาร แต่ไม่พูดก็ไม่ได้ “เวลาอันสั้นนี้ยากที่ผมจะวิจัยผลอะไรออกมาได้ ท่านจะต้องเตรียมทำใจไว้ด้วย ”
ได้ยินเช่นนั้น มือที่ถือผลตรวจของจิ้นเฟิงเฉินก็สั่นเทาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นใช้แรงบีบแน่น แน่นจนขอบเล็บขาวซีด
“แม้แต่แกก็หมดปัญญาแล้วใช่ไหม”
โม่เหยียพยักหน้าเบาๆ “ผมต้องการเวลา ถึงแม้ว่าตอนนี้คุณหญิงจะดูปกติ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีอาการไม่ดีออกมา ยิ่งปล่อยไว้นานยิ่งจะไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายเธอ ผมกลัวว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้”
จิ้นเฟิงเฉินนิ่งเงียบ กลิ่นไออุ่นกาแฟร้อนๆบนโต๊ะโชยขึ้นอบอวล แต่ในอากาศกลับเต็มไปด้วยความหดหู่และหมดหวัง
“คนที่วิจัยพัฒนาตัวนี้มา คาดว่าก็คงไม่ใช่คนดีอะไร บางทีเราอาจจะเริ่มสืบจากแหล่งที่มาก่อน อาจจะได้ข้อมูลบางอย่างบ้าง ”คำพูดของโม่เหยียได้เตือนสติจิ้นเฟิงเฉิน
ไม่รู้ที่มาของฝ่ายตรงข้าม ตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าแผนการต่อไปของฝ่ายตรงข้ามคืออะไร
เห็นแววตาหมดหวังของจิ้นเฟิงเฉินแล้วโม่เหยียก็กล่าวต่อ “ตามที่ผมรู้ คนที่สามารถทำเรื่องพวกนี้ได้ บนโลกใบนี้น่าจะมีไม่กี่ที่ คุณชายวางใจได้ ผมจะพยายามสืบหาอย่างเต็มที่ หลังจากจำกัดขอบเขตให้เล็กลงแล้ว ก็น่าจะจัดการง่ายขึ้น”
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า สั่งว่า“อืม ให้จับตาดูพวกสถาบันวิจัยใต้ดินให้มากหน่อย ของแบบนี้ ต่อให้เขามีความสามารถล้นฟ้า ก็ไม่กล้าเอาออกมาป่าวประกาศให้โลกรู้ ”