ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 77 คุณชายจิ้นมาแล้ว
บทที่ 77 คุณชายจิ้นมาแล้ว
ช่างดีเหลือเกิน คืนนี้ตัวเองก็จะได้ไปเที่ยวเตร่แล้ว จิ้นเฟิงเหราที่อยู่ในสายรู้สึกดีใจมากจนยิ้มไม่หุบปาก
หลังจากวางสาย จิ้นเฟิงเฉินก็โทรศัพท์หาเจียงสื้อสื้อ
นับตั้งแต่กลับมาจากโรงพยาบาล เจียงสื้อสื้อก็อยู่บ้านเหงาคนเดียวทั้งวัน
ตอนที่โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้น เธอก็หยุดนิ่งชั่วขณะ ก่อนจะรับสาย
“กินข้าวหรือยัง?”
ในสายเป็นเสียงคมเข้มที่แฝงน้ำเสียงอ่อนโยน จนทำให้เจียงสื้อสื้อถึงกับมึนงงชั่วขณะ หลังจากนิ่งอึ้งอยู่สองวินาทีก็รีบพูดขึ้นว่า : “กินแล้วค่ะ”
“คืนนี้มีธุระนิดหน่อย ผมอาจจะไปหาคุณดึกหน่อยนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณทำธุระเถอะค่ะ”
เขาตั้งใจรายงานกับเธอ ทำอย่างกับพวกเขาสองคนเป็นแฟนกัน จนเจียงสื้อสื้ออดใจคิดไม่ได้
“อืม”
จิ้นเฟิงเฉินค่อยๆยิ้มมุมปากเล็กน้อยขึ้น หลังจากวางสายก็หยิบเอกสารที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่านต่อ ตอนพลบค่ำ เขาก็สั่งให้ผู้ช่วยขับรถไปงานเลี้ยงที่บริษัท Thyssenกรู๊ป จัดขึ้น
ผู้ช่วยถึงกับนิ่งอึ้งชั่วขณะ ราวกับว่าคิดไม่ถึงว่าจิ้นเฟิงเฉินจะเข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้ ถึงแม้จะรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่กล้าซักถามอะไรมาก
เมื่อรถยนต์ขับมาถึงโรงแรม จิ้นเฟิงเฉินก็ลงจากรถ
ในเวลานี้ ห้องงานเลี้ยงชั้นสามกำลังจัดงานเลี้ยงธุรกิจอยู่ เมื่อเข้ามาในงานเลี้ยงก็เห็นหลานซือเฉินกำลังพูดคุยกับผู้ชายต่างชาติคนหนึ่งอยู่ ผู้ชายต่างชาติคนนี้สวมชุดสูทสีดำ ดูแล้วอายุประมาณสี่สิบกว่าปีแล้ว
ผู้ชายต่างชาติคนนี้คือประธานของบริษัท Thyssenกรู๊ป มีนามภาษาจีนว่า อู๋หนิง
หลานซือเฉินคอยเล็งทิศทางการพัฒนาของบริษัท Thyssenกรู๊ป มาโดยตลอด ดังนั้นหลังจากรู้ว่าพวกเขาจัดงานเลี้ยงแบบนี้ขึ้นก็คิดหาทุกวิถีทางได้รับบัตรเชิญ
หากโครงการที่อยู่ในมือยิ่งดองไว้นานแค่ไหน การขาดทุนของสองตระกูลก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นสถานการณ์ตอนนี้ของหลานซือเฉินเลยกดดันมาก
เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดก็พบว่า ถ้าหากคืนนี้สามารถเจรจาชวน อู๋หนิง ทำงานร่วมกันได้ ปัญหาทุกอย่างก็จะสามารถแก้ไขได้
สีหน้าท่าทางของเขายังคงเป็นสุภาพบุรุษ ซึ่งในตอนนี้กำลังพูดคุยกับ อู๋หนิง อยู่
เมื่อพูดถึงประเด็นสำคัญ อู๋หนิง ก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้า และพูดภาษาจีนด้วยสำเนียงไม่มาตรฐานพูดขึ้นว่า : “ประธานหลาน โครงการนี้ไม่เลวเลย ผมค่อนข้างสนใจ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลานซือเฉินก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ทันใดนั้นก็มีพนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน และรีบรายงานว่า : “ท่านประธานครับ คุณชายจิ้นมาแล้วครับ”
อู๋หนิง เผยสีหน้าตกใจ พร้อมหันหน้ามองไปที่หน้าประตู
ไม่เกินความคาดหมาย จิ้นเฟิงเฉินสวมชุดสูทสีดำ เผยสีหน้าไร้อารมณ์ โดยรอบข้างแผ่รัศมีความสง่างามออกมา จนทำให้ผู้คนในงานเลี้ยงอดใจไม่ได้ที่จะเหลือบมองที่เขา และถูกรัศมีของความเกรียงไกรครอบงำ
อู๋หนิง นิ่งอึ้งอยู่สองวินาที คิดไม่ถึงว่าจิ้นเฟิงเฉินจะมาด้วยตัวเอง จากนั้นเขาก็เดินชนหลานซือเฉินไปต้อนรับจิ้นเฟิงเฉินทันที
“สวัสดีครับ ประธานจิ้น ผมชื่อ อู๋หนิง เป็นประธานของบริษัท Thyssenกรู๊ป ครับ เป็นดั่งที่คาดการณ์ไว้เลย ประธานจิ้นเป็นบุคคลมีความสามารถจริงๆ” เขายังคงพูดภาษาจีนสำเนียงไม่เป็นมาตรฐาน แต่แฝงด้วยน้ำเสียงชื่นชม
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มเล็กน้อย “ประธานอู๋ ชมเกินไปแล้วครับ”
“เชิญประธานจิ้นทางนี้ครับ”
จิ้นเฟิงเฉินก้าวเท้าเดินตาม อู๋หนิง เข้าร่วมงานเลี้ยง แต่ตอนที่เดินผ่านหลานซือเฉิน เขาเหลือบหลายซือเฉินด้วยสายตาแหลมคมแวบหนึ่ง
ถึงแม้เป็นการเหลือบมองเพียงแวบเดียว แต่สายตาแหลมคมนั้นกลับทำให้หลานซือเฉินยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม และรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น
จิ้นเฟิงเฉินไม่สนใจเจรจาโครงการตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่คืนนี้กลับเจรจากับ อู๋หนิง อยู่ตั้งนาน ซึ่งไม่รู้ว่าทั้งสองคนพูดคุยอะไรกันบ้าง หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง จิ้นเฟิงเฉินก็เดินจากไป
ส่วน อู๋หนิง ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เดินส่งเขาจากไป โดยที่หลานซือเฉินทำได้เพียงรอคอย ซึ่งหลังจากที่จิ้นเฟิงเฉินจากไป เขาก็เดินเข้ามาซักถามว่า : “ประธานอู๋ เรื่องทำงานร่วมกันนั้น…..”
เมื่อได้ยินแบบนี้ อู๋หนิง ก็ดึงสติกลับมา และเผยสีหน้าขออภัย
“ประธานหลาน ต้องขอโทษด้วยนะครับ เมื่อกี้ผมได้ตกลงโครงการหนึ่งกับประธานจิ้นแล้ว และคิดว่าเงินลงทุนทั้งหมดคงต้องลงทุนให้กับโครงการนี้ ไม่สามารถทำงานร่วมกับคุณแล้วล่ะครับ ต้องขออภัยด้วย”
พวกเขาเพิ่งพัฒนาธุรกิจในประเทศไม่นาน ดังนั้นไม่ว่าใครต่างก็ต้องเลือกทำงานร่วมกันกับตระกูลจิ้นมากกว่าตระกูลหลานแน่ เพราะผลประโยชน์มหาศาลกว่า
สีหน้าของหลานซือเฉินแข็งทื่อชั่วขณะ แต่ยังคงยิ้มและพูดว่า : “ไม่เป็นไรครับ ประธานอู๋ หากมีโอกาสพวกเราค่อยทำงานร่วมกันก็ได้ครับ”
ถึงแม้บนใบหน้าแฝงรอยยิ้ม ในภายในใจของหลานซือเฉินร้อนรุ่มจนไม่สามารถควบคุมแล้ว
อู๋หนิง ไม่สนใจเขาแล้ว แต่เดินจากไปทันที
……
ตลอดระหว่างทางกลับบ้าน หลานซือเฉินมีสีหน้าเคร่งเครียดมาก
เจียงนวลนวลกำลังนั่งอยู่บนโซฟา โดยไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอดูโทรศัพท์พลาง และกล่าวทักทายพลาง
“พี่ซือเฉิน คุณกลับมาแล้วหรอ!”
หลานซือเฉินไม่สนใจเธอเลย แต่ถอดเสื้อคลุมออกแล้วนั่งข้างๆด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“วันนี้ฉันไปเดินเล่นมาถูกใจกระเป๋าใบหนึ่ง พรุ่งนี้คุณไปซื้อให้ฉันหน่อยได้ไหม?” เจียงนวลนวลเอ่ยปากพูดขึ้น โดยแฝงด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
วันก่อนก็ให้เงินกับผู้ชายคนนั้นสองแสนแล้ว เช้าวันนี้ยังให้เงินกับคนที่บ้านเขาอีกตั้งเยอะ ถ้าหากกระเป๋าใบนี้ราคาไม่มากสักเท่าไหร่ เจียงนวลนวลก็ไม่ใจร้อนแบบนี้
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลานซือเฉินที่อารมณ์ไม่ดีก็ยิ่งรู้สึกโกรธ
“ยังจะเอากระเป๋าอีกหรอ เจียงนวลนวล เธอรู้บ้างไหมว่าเธอก่อปัญหาใหญ่อะไรบ้าง?”
เมื่อเจียงนวลนวลเห็นเขาตะคอกก็ถึงกับนิ่งอึ้ง เธอเพิ่งสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของหลานซือเฉิน ไม่ใช่ว่าตอนเช้ายังอารมณ์ดีอยู่หรอกหรอ
“พี่ซือเฉิน เป็นอะไรไปค่ะ?” เจียงนวลนวลเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง
หลานซือเฉินลุกขึ้นดึงเนคไทออก แล้วเตะโต๊ะหนึ่งทีด้วยความโมโห
เจียงนวลนวลสะดุ้งตกใจ เธอรีบลุกขึ้นมาจับแขนของหลานซือเฉิน และซักถามว่า : “พี่ซือเฉิน ตกลงเกิดอะไรขึ้น?”
หลานซือเฉินสะบัดมือของเจียงนวลนวลออก และพูดด้วยน้ำเสียงโมโหว่า : “ทำไมต้องมีปัญหากับเจียงสื้อสื้อด้วย ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เธอมีใครคอยปกป้องอยู่?”
ตอนแรกทุกอย่างกำลังไปได้อย่างราบรื่น หากคืนนี้จิ้นเฟิงเฉินไม่ปรากฏตัว พวกเขาคงทำงานร่วมกันกับบริษัท Thyssenกรู๊ป แล้ว
เรื่องที่เจียงนวลนวลทำ จิ้นเฟิงเฉินกลับมาจัดการกับเขา ตอนนี้พังไม่เป็นท่าแล้ว โครงการก็ไม่พัฒนา ตระกูลเจียงกับตระกูลหลานซวยแน่ๆ
ถ้าหากจิ้นเฟิงเฉินวางแผนเล่นงานล่ะก็ สองบริษัทคงต้องเจอกับสภาวะล้มละลายแน่
“อ่า?” เจียงนวลนวลถึงกับมึนงงชั่วขณะ “ไม่ใช่ว่าเรื่องนั้นถูกปกปิดแล้วหรอ?”
หรือว่าคนของตระกูลจิ้นรู้เรื่องแล้ว เลยสร้างปัญหาเรื่องธุรกิจกับหลานซือเฉิน
“เจียงนวลนวล เธอนึกว่าจิ้นเฟิงเฉินคือใครหรอ เรื่องนี้เธอคิดว่าจะสามารถปกปิดได้อย่างง่ายดายหรอ? โครงการทำงานร่วมกับบริษัท Thyssenกรู๊ป ก็ถูกตระกูลจิ้นแย่งไปแล้ว ตอนนี้พังหมดแล้ว เพราะเรื่องโง่ๆที่เธอทำ พวกเราสองตระกูลเลยต้องซวยกันหมด”
หลังจากพูดจบ หลานซือเฉินก็กลับห้อง แล้วปิดประตูดัง “ตึง” ขึ้น
เจียงนวลนวลยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงที่เดิม รู้จักกันมานายหลายปี หลานซือเฉินไม่เคยโมโหต่อเธอมากถึงขนาดนี้มาก่อนเลย
เธอขบฟันแน่น เป็นเพราะนังผู้หญิงสารเลวเจียงสื้อสื้อคนเดียว