ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 785 ไม่มีตำแหน่งใดๆ
บทที่ 785 ไม่มีตำแหน่งใดๆ
แต่เมื่อคิดไปว่าตนนั้นเป็นเจ้าบ่าว จะทำเป็นไม่สามารถเสนอความคิดเห็นแบบนี้ก็คงไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นอีกว่า “แต่ผมยังรู้สึกว่าหวั่นชีงน่าจะต้องสวยกว่านี้” เมื่อประโยคนี้พูดออกมาทุกคนก็หัวเราะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ลูกผู้ชายทำไมเรื่องมากขนาดนี้ นี่ฉันคลอดลูกเป็นผู้ชายจริงหรือเปล่า? การกระทำของแกนี่ฉันคิดว่าตัวเองคลอดลูกสาวมาด้วยซ้ำ“แม่จิ้นตั้งใจหันหน้าไปถามพ่อจิ้นด้วยท่าทางประหลาดใจ ทำให้หัวใจของจิ้นเฟิงเหราราวกับถูกมีดแทงเข้ามา
“แม่ครับอย่าทำแบบนี้สิ ผมเป็นลูกชายของแม่นะ เป็นลูกชายตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้ แม่ไม่ได้เข้าใจผิดหรอก!”
จิ้นเฟิงเหราร้องโอดครวญ
ทำให้ทุกคนอดไม่ได้หัวเราะออกมาอีกครั้ง
จิ้นเฟิงเหราทำสีหน้าอึดอัดใจ
เขาบอกแล้วไงว่าตัวเขาในบ้านนี้ไม่มีตำแหน่งใดแม้แต่น้อย
อีกอย่างพ่อแม่ของเขารักหลานขนาดนี้ รอให้ลูกของเขาคลอดออกมาเขาคงจะแย่ไปยิ่งกว่าเดิม
เมื่อคิดได้ดังนั้น คุณชายรองจิ้นก็เอามือปาดน้ำตาอันเจ็บปวด ชีวิตของเขานี่มันช่างรันทดจริง
เมื่อพบว่าเขาน่าสมเพชขนาดนี้ ส้งหวั่นชีงจึงได้รีบเข้ามากุมมือของเขาเอาไว้ข้างหนึ่งแล้วปลอบโยน
อารมณ์ของจิ้นเฟิงเหราดีขึ้นเป็นล้นพ้น เขาเข้าไปโอบส้งหวั่นชีงแล้วพูดว่า “พวกคุณไม่รักผม แต่ภรรยาผมรักผมนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ส้งหวั่นชีงก็ทำท่าทางเยือกเย็นและผลักเขาออก
……
สีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินหัวเราะออกมาเล็กน้อย เขาจ้องไปยังน้องชายอันแสนซื่อและพูดออกมาเพียงคำเดียวว่า
“โง่”
จิ้นเฟิงเหราเองรู้สึกไม่พอใจมาก และพยายามจะหาเหตุผลมาเถียง แต่เมื่อมองเห็นท่าทางพี่ของเขาที่ยากจะเข้าถึง ก็ได้แต่หดตัวลง
เห้อ ช่างมันเถอะ ที่บ้านนี้ ไม่มีใครสักคนที่เขาจะต่อสู้ได้
“แม่มีเรื่องอยากจะบอกกับทุกคนหน่อย ช่วงนี้แม่อยากเลี้ยงหมาสักตัวหรือแมวก็ได้ ที่บ้านเรามีเด็กเล็กอยู่ เลี้ยงให้โตไปด้วยกันก็ดี”
แม่จิ้นที่หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมากว่าจะหยุดขำได้ ในที่สุดเธอก็พูดประโยคนี้ขึ้นมา
เมื่อจิ้นเฟิงเหราได้ยิน ก็ทำท่าราวว่าท้องฟ้าจะแตกสลาย
เขาตกตะลึงและรีบปฏิเสธทันทีว่า “ไม่ครับ ไม่ได้นะ!”
แม่จิ้นพูดอย่างรังเกียจว่า “ไม่ได้ให้แกเลี้ยงสักหน่อย จะมาต่อต้านฉันทำไม!”
เมื่อได้ยินดังนั้น จิ้นเฟิงเหราก็แทบจะร้องไห้ออกมา
“ผมกลัวว่าพวกมันจะมาแย่งที่ผมนะสิ”
แม่จิ้นเป็นคนที่เลี้ยงอะไรแล้วก็จะตั้งใจมาก ถ้ามีสัตว์ตัวเล็กๆเข้ามาอยู่ในบ้าน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ตำแหน่งของเจ้าสัตว์เหล่านั้นต้องสูงกว่าเขาแน่นอน
เขาสู้กับคนอื่นไม่ได้ก็ยังไม่เท่าไหร่ เมื่อถึงเวลานั้นถ้าเขาต้องมาต่อสู้กับแมวกับหมา ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดมน
จิ้นเฟิงเฉินอดไม่ได้ที่จะยั่วยุเขา “แกลองเรียนรู้จากพวกมันดูก็ได้ว่าทำยังไงให้คนอื่นรัก”
“พี่ครับ พี่อย่าคิดว่าผมต่อยสู้พี่ไม่ได้แล้วพี่จะ……”
ยังไม่ทันพูดจบ ศีรษะของเขาก็ถูกเคาะขึ้น พ่อจิ้นตำหนิว่า
“อายุเท่าไหร่แล้วแก เอะอะยังจะมาชกต่อยกันอีก”
เมื่อเห็นว่าจิ้นเฟิงเหราเอามือกุมหัวของตัวเองและไม่กล้าพูดอะไรออกมา ทุกคนก็พากันหัวเราะอีกครั้ง
เสี่ยวเป่ามองดูจิ้นเฟิงเหราด้วยท่าทางตั้งใจและพูดด้วยความสงสารว่า “คุณอาน่าสงสารจริงๆ ไม่มีตำแหน่งในบ้านนี้เลย”
ท่าทางของเด็กน้อย ทำเหมือนกับว่าสงสารจิ้นเฟิงเหราจากใจจริง
“เสี่ยวเป่า กล้าเยาะเย้ยอาได้ยังไง คอยดูอาจจะจับตีก้น!”
เมื่อพูดจบ จิ้นเฟิงเหราก็วิ่งไปยังเสี่ยวเป่า เมื่อเสี่ยวเป่าเห็นว่าสถานการณ์ย่ำแย่ก็วิ่งมาทางคุณย่า
แล้วทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่จิ้นเฟิงเหรา
เมื่อเถียนเถียนเห็นดังนั้นก็แอบไปหลบอยู่ที่ด้านหลังจิ้นเฟิงเหรา มองเห็นอาหลานทั้งสามคนเล่นกันอย่างสนุกสนาน เจียงสื้อสื้อก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
ในขณะที่รับประทานอาหารเย็น จิ้นเฟิงเหรานั่งอยู่ข้างๆส้งหวั่นชีง เขาตักอาหารและคอยเติมน้ำให้กับเธอ
เมื่อแม่จิ้นเห็นท่าทางของจิ้นเฟิงเหราดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“การมีภรรยาก็ดีเหมือนกัน ก่อนหน้านี้คุณชายรองจิ้นที่เต็มไปด้วยอำนาจและไม่ได้เรื่องได้ราว ตอนนี้กลับกลายเป็นทาสภรรยาไปซะแล้ว”
ต่อให้เป็นเหล็กกล้าก็สามารถหลอมให้ละลายได้
หลังจากที่ได้ใกล้ชิดกับคนในตระกูลจิ้นมาสักระยะหนึ่งแล้ว เจียงสื้อสื้อก็ไม่ได้ทำตัวห่างเหินกับพวกเขาสักเท่าไหร่
เจียงสื้อสื้อมองไปยังข้าวใหม่ปลามันทั้งสอง และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เฟิงเหรามีความสามารถในการเป็นพี่เลี้ยงอยู่พอควรเลยนะคะ ช่างพิถีพิถันจริงๆ”
จิ้นเฟิงเหรากำลังวุ่นอยู่กับการตักซุปให้กับส้งหวั่นชีง จึงได้หันไปยิ้มและพูดว่า
“พี่สะใภ้อย่าล้อผมเล่นสิครับ พี่ชายผมจึงจะพูดได้ว่าดีกับคุณมาก ถ้าคุณบอกซ้ายเขาไม่กล้าที่จะบอกขวา สิ่งที่ผมทำยังไม่เพียงพอสู้ไม่ได้หรอก”
เมื่อได้ยินดังนั้นจิ้นเฟิงเฉินก็หัวเราะออกมาเหอะๆ และเอื้อมมือไปตบลงตรงข้อมือจิ้นเฟิงเหรา
“ฉันรู้สึกว่าตอนนี้หางแกมันโผล่ออกมาแล้วนะ ถึงเวลาต้องตัดแต่งแล้วใช่ไหม?”
เมื่อจิ้นเฟิงเหราได้ยินพี่ชายของเขาพูดออกมาก็รีบก้มหน้าลง แล้วหันไปทางส้งหวั่นชีงพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ได้ยินไหมครับ พี่ใหญ่รังแกผมอีกแล้ว ผมถูกเขาเหยียบย่ำมาตั้งแต่เล็กจนโต หวั่นชีง ช่วยผมด้วยนะ”
เมื่อเห็นท่าทางของจิ้นเฟิงเหรา แม่จิ้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า
“จะว่าไป นับตั้งแต่หวั่นชีงตั้งครรภ์ เจ้าเฟิงเหราก็เชื่อฟังคำสั่งสอนขึ้นมากทีเดียว ก่อนหน้านี้ตอนที่หวั่นชีงกินข้าว ไม่เห็นจะมาดูแลเธอดีแบบนี้ ขนาดแม่เองยังไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้เลยนะ”
เมื่อส้งหวั่นชีงได้ยินดังนั้นเธอก็อายเสียจนหน้าแดงลงไปถึงคอ แล้วรีบผลักแขนของจิ้นเฟิงเหราออกไป
นำชามที่ใส่อาหารกองพูนขึ้นมาเป็นภูเขาขยับไปข้างๆ “พอแล้วค่ะ ฉันไม่ใช่หมูสักหน่อย คุณไม่ต้องมาสนใจฉันหรอก ตัวคุณเองกินเยอะๆก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น จิ้นเฟิงเหราก็ทำมือเป็นสัญลักษณ์ และหันไปกินข้าวยังว่าง่าย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เสี่ยวเป่าและเถียนเถียนวิ่งเล่นอยู่ในห้องรับแขก แม่จิ้นกำชับให้คนรับใช้นำผลไม้มาเสิร์ฟ
ส้งหวั่นชีงลุกขึ้นจากโซฟาพูดขึ้นมาว่า “แม่คะ เดี๋ยวหนูไปทำเอง”
จิ้นเฟิงเหราหัวเราะเหอะๆแล้วพูดว่า “เอาล่ะ คุณนั่งอยู่ที่นี่ก็พอ อย่าทำให้ลูกชายผมเหนื่อยไปด้วย มือของคุณหยิบจับแต่เข็มฉีดยา จะไปหยิบมีดทำอาหารเป็นเหรอ?”
ส้งหวั่นชีงเหล่ตามองเขา “ตอนนั้นฉันก็ทำอาหารกินเอง คุณไม่เชื่อใจฉันขนาดนั้นเลยหรอ คุณคอยดูเอาแล้วกัน”
เมื่อพูดจบส้งหวั่นชีงก็เดินหันหลังกลับเข้าไปในห้องครัว แต่จิ้นเฟิงเหราก็เดินตามเข้าไปด้วยความไม่วางใจ
แต่เขากลับพบว่า เมื่อส้งหวั่นชีงหยิบมีดขึ้นมาและนำผลไม้เหล่านั้นมาหั่นจัดเรียงในจาน ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเชี่ยวชาญเหลือเกิน
“ไม่เลวนี่ ผมคิดไม่ถึงว่าหวั่นชีงของผมมีทักษะด้านนี้ด้วย”
จิ้นเฟิงเหราเอ่ยชมเธอด้วยความประหลาดใจ
ทันใดนั้นพ่อฝู้ก็เดินถือแก้วชาเข้ามา เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนก็รู้สึกประหลาดใจ
หลังจากมองไปยังจานผลไม้เขาก็เอ่ยชมว่า “ไม่เลวนี่ หวั่นชีงเก่งกว่าเฟิงเหราเยอะทีเดียว”
เมื่อแม่จิ้นได้ยินดังนั้นก็เดินเข้ามา เธอมองไปรอบๆแล้วพบว่าขาดใครไปคนหนึ่ง จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “สื้อสื้อล่ะ เฟิงเฉิน ภรรยาลูกไปไหนแล้ว?”
ไม่เห็นแม้แต่เงาของเจียงสื้อสื้อจริงๆด้วย จิ้นเฟิงเฉินรีบออกไปตามหาเธอโดยไม่ลังเล
ณ ระเบียงด้านในคฤหาสน์ เจียงสื้อสื้อฟังเสียงจักจั่นร้องอยู่ในพงหญ้าแล้วเงยหน้ามองดูพระจันทร์
วันนี้เป็นวันขึ้น15ค่ำพระจันทร์เต็มดวง เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ
จู่ๆก็มีมืออันอบอุ่นคู่หนึ่งเข้ามาโอบกอดเธอเอาไว้
“ถอนหายใจทำไมกันครับ คิดถึงบ้านเหรอ?”
เจียงสื้อสื้อรู้ว่าเป็นจิ้นเฟิงเฉิน เธอจึงไม่ได้หันหลังกลับไป แต่เธอก้าวออกมาก้าวหนึ่งเพื่อออกจากอ้อมแขนของจิ้นเฟิงเฉิน
“เปล่าหรอกค่ะแค่ออกมาสูดอากาศเฉยๆ”
แต่ถึงอย่างนั้นจิ้นเฟิงเฉินก็ขยับแขนของเขาเข้ามาและโอบกอดร่างกายอันอ่อนนุ่มของเธอแน่นขึ้น ใช้ลมหายใจของเขาโอบล้อมเธอเอาไว้ทุกอณู
อุณหภูมิอันอบอุ่นที่ออกมาจากร่างกายของเขาเป็นระยะๆ พ่นออกมาตรงบริเวณคอของเธอ เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้าน บริเวณนี้เป็นจุดที่อ่อนไหวมากที่สุด
“ไม่เอาค่ะ จักจี้!” เจียงสื้อสื้อหดคอของเธอและหลบเขา แต่กลับถูกกอดแน่นกว่าเดิม