ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 786 ขัดจังหวะ
บทที่ 786 ขัดจังหวะ
“จิ้นเฟิงเฉิน คุณปล่อยฉันนะคะ!”
เมื่อคิดขึ้นได้ว่าที่นี่คือตระกูลจิ้น ถ้าถูกคนอื่นเห็นเข้าละก็……
เจียงสื้อสื้อไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
แต่ผู้ชายคนที่อยู่ด้านหลังเธอกลับไม่สนใจในการต่อต้าน เขาใช้แรงจากมือทั้งสองข้างล็อกเธอเอาไว้
เรี่ยวแรงของเจียงสื้อสื้อจะไปสู้เขาได้อย่างไร หลังจากพยายามอยู่สักพัก ในที่สุดเธอก็เหนื่อยหอบและหยุดลง
ช่างเถอะ การที่ให้เขากอดอยู่แบบนี้ก็อบอุ่นดีจริงๆ ในใจของเจียงสื้อสื้อมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา
จู่ๆบรรยากาศก็แฝงไปด้วยความคลุมเครือ น้ำเสียงของจิ้นเฟิงเฉินดังขึ้นข้างหูของเธอว่า “คิดอะไรอยู่กันครับ?”
“ฉันชอบความรู้สึกแบบนี้จังเลยค่ะ คนในครอบครัวอยู่ด้วยกันอบอุ่นและงดงามจริงๆ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จิ้นเฟิงเฉินก็จูบลงไปที่ผมของเธอเบาๆ และยกมือขึ้นลูบผมของเธออย่างอ่อนโยน
ราวกับได้รับการยอมรับ เจียงสื้อสื้อจึงพูดต่อไปว่า “คนในตระกูลฝู้ดีกับฉันมากก็จริง แต่ท้ายที่สุดแล้วที่นั่นไม่ใช่บ้านของฉัน ฉันเป็นเพียงแค่คนนอก ในใจฉันรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง
แต่ความรู้สึกตอนนี้มันแตกต่างออกไป ฉันเหมือนกับว่าเป็นญาติกับพวกคุณมานานแสนนาน ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะเก็บความทรงจำอันงดงามเหล่านี้ไว้ชั่วนิรันดร์”
เจียงสื้อสื้อหันหลังมามองจิ้นเฟิงเฉิน วินาทีที่หันกลับมานั้น ดวงตาของเธอดูมีน้ำตาคลอเล็กน้อย
ในใจลึกๆของจิ้นเฟิงเฉินรู้สึกเจ็บแทน เขายกมือขึ้นลูบลงไปที่ใบหน้าของเธออย่างทะนุถนอม
เจียงสื้อสื้อรู้ดีว่าดวงตาทั้งสองข้างของเธอน้ำตาคลอ ถึงได้พยายามอดทนไม่ให้หยดน้ำนั้นไหลลงมา
แต่วินาทีต่อมา ที่หางตาของเธอก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น จิ้นเฟิงเฉินจับลงตรงบ่าของเธอแล้วหันร่างกายเธอกลับมา วินาทีต่อมา ริมฝีปากอันอบอุ่นของเขาก็ประทับลงบนดวงตาเธอ
เจียงสื้อสื้อชะงักลงทันที ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อย รอบกายถูกอุณหภูมิจากร่างของเขาปกคลุมไปทั่ว และปล่อยกายปล่อยใจไปตามเขา
เธอหวังจะให้เวลาหยุดลงที่ตอนนี้จริงๆ และขจัดความคิดทุกอย่างทิ้งไป
ความคิดของจิ้นเฟิงเฉินหวั่นไหว เขาค่อยๆก้มหน้าลงมาหวังจะจูบลงบนริมฝีปากอันอ่อนนุ่มของเธอ
ในขณะที่ริมฝีปากของทั้งสองคนกำลังจะสัมผัสกันนั้น มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นราวกับระเบิดที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“พี่ครับ พี่สะใภ้ครับ! รีบเข้ามาดูจานผลไม้ที่ภรรยาผมทำสิ! คิดไม่ถึงเลยจริงๆนะเนี่ยว่าภรรยาของผมนอกจากจะหยิบมีดผ่าตัดแล้วยัง หยิบมีดทำครัวได้และทำได้ดีอีกด้วย!”
เจียงสื้อสื้อได้ยินดังนั้นก็ตกใจรีบก้มหน้าลงและจัดแจงผมเผ้า
“เอ่อ พี่สะใภ้ครับ?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันคลุมเครือ จิ้นเฟิงเฉินจึงได้รู้ว่าตนนั้นน่าจะเข้ามาขัดจังหวะทำลายบรรยากาศดีๆของพี่ชายเข้าให้แล้ว สมองของเขารีบคิดทันทีว่าจะทำอย่างไรให้พี่ชายให้อภัย
“เดี๋ยวฉันจะไปดูเองค่ะ คุณคุยกับพี่ชายคนไปก่อน”
เมื่อพูดจบเจียงสื้อสื้อก็รีบวิ่งเข้าไปทางห้องครัวอย่างรวดเร็ว เธอลุกลี้ลุกลนจนแทบจะชนเข้าให้กับเสา จิ้นเฟิงเฉินรีบเข้าไปพยุงเธอ
ตอนนี้ที่ระเบียงเหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน สีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินเยือกเย็นเสียจนน่ากลัว
เขาเกือบจะได้สัมผัสกับริมฝีปากของภรรยาตัวเองอยู่แล้ว แต่จู่ๆกลับมีเสียงหนึ่งเข้ามาขัดจังหวะขึ้น ทำให้ไฟโกรธลุกโชนขึ้นมา
สายตาที่จับจ้องมองอยู่บนเหนือศีรษะของเขาช่างแหลมคม หนังศีรษะของจิ้นเฟิงเหราเย็นชา ทุกครั้งที่พี่ชายของเขามีท่าทางแบบนี้มักเกิดเรื่องไม่ดีเท่าไหร่
“เอ่อคือ พี่ครับ เข้าไปกินผลไม้กันไหม ฝีมือของหวั่นชีงไม่เลวเลยทีเดียว”
หลังจากพูดกลบเกลื่อนจบแล้วเขาก็รีบวิ่งหนี
ตอนนี้การรักษาชีวิตเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะการที่เขาเข้าไปขัดจังหวะดีๆของพี่จะต้องได้รับผลกรรมแน่นอน
เมื่อเขารีบหันหลังกลับไปจึงไม่ทันได้เห็นว่ามีเถาวัลย์งอกออกมาจากพื้น จิ้นเฟิงเหราจึงได้สะดุดล้มลง
แขนของเขาถูกจิ้นเฟิงเฉินคว้าเอาไว้ จึงทำให้ไม่ล้มลงไปกองบนพื้น “ระวังหน่อยสิ”
หลังจากที่น้ำเสียงอันเยือกเย็นพูดจบ จิ้นเฟิงเฉินก็รีบชิงเดินเข้าไปด้านในเสียก่อน
กว่าจะลุกขึ้นให้ยืนตรงได้ จิ้นเฟิงเหรามองตามหลังของจิ้นเฟิงเฉินที่จากไป
เขารู้สึกแปลกใจจัง พี่ชายของเขาไม่ลงโทษตัวเองแม้แต่น้อย?
ต่อมา แม่จิ้นก็อุ้มเถียนเถียนเข้าไปนอนและมองไปทางจิ้นเฟิงเฉินพูดว่า “เฟิงเฉิน ห้องของพวกเราก่อนหน้านี้แม่เก็บไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ลูกกับสื้อสื้อไปพักผ่อนเถอะ”
ห้องก่อนหน้านี้……
นั่นหมายความว่าจะต้องนอนกับจิ้นเฟิงเฉินอย่างนั้นเหรอ? ตอนแรกเจียงสื้อสื้อยังไม่ทันได้คิด
แต่ทันใดนั้นจิ้นเฟิงเฉินก็พูดขึ้นมาว่า “แม่ครับ เมื่อสักครู่ผมได้ยินหวั่นชีงบอกว่าจะนอนกับแม่ ตอนนี้เฟิงเหรานอนดิ้นมาก”
เมื่อพูดจบทุกคนก็มองไปทางจิ้นเฟิงเฉินด้วยความสงสัย
แต่แม่จิ้นก็เข้าใจทันที เธอจึงยิ้มแล้วตอบว่า “ใช่ๆ หวั่นชีงจะต้องนอนกับแม่ ตอนนี้เพิ่งจะตั้งครรภ์ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หวั่นชีงนี่รอบคอบจริงๆเลย ไม่เหมือนกับเฟิงเหรา ทำอะไรก็เล่นไปวันๆ”
เมื่อพูดแบบนี้ทุกคนจึงได้เข้าใจ และยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
แต่ส้งหวั่นชีงกลับมองไปทางจิ้นเฟิงเหราด้วยท่าทางเขินอาย
มีเพียงจิ้นเฟิงเหราคนเดียวเท่านั้นที่ทำสีหน้าไม่รู้เรื่อง เขาไม่เคยได้ยินว่าภรรยาของเขาจะนอนแยกห้องกับเขาเลย?
หลังจากเหลือบไปมองจิ้นเฟิงเฉินที่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ จิ้นเฟิงเหราถึงได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่แก้แค้น แต่ยังไม่ถึงเวลานั่นเอง……
มองดูแล้วการที่ทำให้พี่ชายขมขื่นใจคงหนีไม่พ้น
คิดว่าพี่ชายจะปล่อยตนไปง่ายๆเหรอ คิดมากไปเองทั้งนั้น!
ตอนนี้แม้ว่าเขาจะอึดอัดใจมากแต่ก็จำเป็นต้องยอมรับ
และมองตามส้งหวั่นชีงเดินกลับไปในห้องของแม่
เมื่อสัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองใจในสายตาของจิ้นเฟิงเหรา ส้งหวั่นชีงก็หันหลังกลับไปมองเขาแต่ไม่ได้พูดอะไร แม่จิ้นปิดประตูห้องลง
จิ้นเฟิงเหรานั่งอยู่ด้านล่างยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห และไม่ยอมที่จะนั่งอึดอัดเจ็บปวดอยู่อย่างนี้คนเดียว จึงได้เดินขึ้นไปด้านบน
เขามองไปเห็นประตูของห้องหนังสือแง้มอยู่ จิ้นเฟิงเหราจึงได้รู้ว่าพี่ชายของเขายังยุ่งอยู่
เขาแอบย่องมายังห้องของเจียงสื้อสื้อ จิ้นเฟิงเหราผลักประตูเข้าไปด้านใน
“พี่สะใภ้ครับ เหอะๆ ผมนอนไม่หลับเลยมาหาพี่คุยเล่น”
เมื่อได้ยินดังนั้นเจียงสื้อสื้อก็รู้สึกประหลาดใจ อยู่ดีๆเขาจะมาคุยเล่นกับเธอทำไมกัน?
แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เมื่อพบว่าเธอเห็นด้วย จิ้นเฟิงเหราก็เดินตรงเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ
“พี่สะใภ้ครับ ตอนนั้นที่พี่ชายผมตามจีบพี่ ก็ได้รับความสนับสนุนจากผมไม่น้อยเลย ถ้าไม่อย่างนั้น ไม้ตายด้านอย่างที่ผมจะคว้าพี่มาไว้ในมือได้อย่างไร”
ได้ยินเขาพูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ เจียงสื้อสื้อก็รู้สึกประหลาดใจ
จิ้นเฟิงเหราพูดต่อไปว่า “ในตอนนั้นพี่ชายผมเก็บซ่อนคุณเอาไว้ลึกเหลือเกิน หลังจากผมพยายามเค้นถามจึงได้บอกว่ามีความรู้สึกที่ดีกับพี่
แต่เขาไม่กล้าที่จะแสดงความรู้สึกนั้นออกมาต่อหน้าพี่ กลัวว่าพี่สะใภ้จะตกใจ แต่ผมเองรู้สึกว่าถ้าเรารักใครสักคนก็จะต้องทำให้เขารู้ อย่างเช่นผมกับหวั่นชีง……”
เมื่อพูดถึงเรื่องของตัวเอง จิ้นเฟิงเหราก็รู้สึกครึกครื้นและนั่งลงอย่างจงใจ
ในตอนแรกเจียงสื้อสื้อยังฟังคำพูดของเขาด้วยความตื่นเต้นและสนใจ แต่เมื่อต่อมาความง่วงเริ่มเข้าครอบงำ ตัวเธอเองเริ่มไม่รู้ว่าจิ้นเฟิงเหราพูดอะไรอยู่กันแน่
หลังจากนั้นเมื่อจิ้นเฟิงเฉินเดินกลับมาจากห้องหนังสือพบว่าประตูห้องด้านนอกยังคงเปิดอยู่และด้านในมีเสียงของจิ้นเฟิงเหราดังออกมา เขาก็ขมวดคิ้วหน้ามุ่ย
พอเดินเข้ามาในห้องก็พบว่าจิ้นเฟิงเหรากำลังสนทนาอย่างสนุกสนาน แต่เจียงสื้อสื้อที่นั่งอยู่ข้างๆกับง่วงจนแทบลืมตาไม่ขึ้น
จิ้นเฟิงเฉินเห็นดังนั้นก็ออกคำสั่งอย่างไม่ลังเลว่า “ดึกมากแล้วกลับไปนอนที่ห้องซะ!”
แต่ในตอนนี้จิ้นเฟิงเหราทำเป็นแกล้งโง่ “ผมยังเล่าเรื่องให้พี่สะใภ้ฟังไม่จบเลย พี่รอก่อนได้ไหม อีกอย่างผมกำลังช่วยพี่สะใภ้รื้อฟื้นความทรงจำอยู่นะใช่ไหมครับ?”
เมื่อได้ยินเขาพูดชื่อของตัวเองขึ้นมา เจียงสื้อสื้อก็ส่ายหน้าโอนเอนพยายามให้สติกลับคืนมา
“ไม่เป็นไรหรอกพูดต่อเลย”
แม้ว่าจะง่วงมากแล้วแต่เจียงสื้อสื้อก็ไม่กล้าที่จะขับไล่เขาไปโดยตรง
อีกอย่างตอนนี้ลูกทั้งสองคนก็หลับแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรยกมาอ้าง