ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 795 คุณอยู่เป็นเพื่อนผมได้ไหม?
บทที่ 795 คุณจะอยู่เป็นเพื่อนผมได้ไหม?
ภายในห้องวิจัย เพราะหานยู่ตกอยู่ในสภาวะนิ่งเงียบ บรรยากาศเลยทำให้ทุกคนรู้สึกกระอักกระอ่วน
เพราะเขาออกแรงโดยไม่รู้ตัว ทำให้แผ่นบนกระจกบางๆในมือของจิ้นเฟิงเฉินแทงเข้าบนฝ่ามือที่เป็นผิวหนังที่อ่อนโยนมากที่สุด ทำให้เกิดแผลแดงลึก แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย
ไม่นาน จิ้นเฟิงเฉินก็กลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “แล้ว….มีวิธีการทำให้แบคทีเรียค่อยๆลดน้อยลงไหม?”
หานยู่ขมวดคิ้วและพูดว่า ไวรัสประเภทนี้เจ้าเล่ห์มาก ปริมาณคงที่ แต่สืบพันธุ์เร็วจนน่าตกตะลึง”
โม่เหยียพยักหน้าเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้พวกเราลองฆ่ามันส่วนหนึ่ง แต่บนป้ายกำกับตัวติดตามกลับพบว่าเพียงช่วงเวลาไม่นานมันก็ฟื้นคืนจำนวนเหมือนเดิม ความเร็วในการสืบพันธุ์สามารถคำนวณเป็นวินาทีได้เลย
……
นี่ถือเป็นเรื่องที่จัดการยากมากจริงๆ
จิ้นเฟิงเฉินเผยสีหน้าที่ไม่อาจพรรณนาได้ออกมา
รู้ว่าเรื่องนี้โหดร้ายมาก แต่โม่เหยียอดใจไม่ไหวต้องเตือนว่า “คุณชายวางใจเถอะครับ พวกเราจะพยายามหาวิธีรักษาเต็มที่ เพียงแต่ระหว่างการรักษาอาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนบ้าง ดังนั้นคุณจำเป็นต้องเตรียมใจรับมือ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ จิ้นเฟิงเฉินก็เผยสีหน้าเคร่งเครียด สามารถพูดได้ว่าสีหน้ามืดครึ้มมาก
ดูเหมือนว่าโรคของสื้อสื้อส่งผลลบมากกว่าผลบวก….
หลังจากออกจากศูนย์วิจัย จิ้นเฟิงเฉินก็กลับบ้านอย่างเหม่อลอย
เมื่อได้ยินประตูใหญ่ เจียงสื้อสื้อก็รีบลุกขึ้นเดินไปที่ประตู
เมื่อสังเกตเห็นจิ้นเฟิงเฉินมีสีหน้าไม่ค่อยดี เธอก็ซักถามอย่างเป็นห่วงว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”
“ไม่มีอะไรครับ เป็นแค่เรื่องบริษัทเท่านั้นเอง”
เขามีสีหน้าเหนื่อยล้า แล้วรีบเดินขึ้นไปห้องทำงานชั้นสองอย่างรวดเร็ว จนแทบลืมเปลี่ยนรองเท้า
ตอนที่ใกล้จะเดินเข้าห้องทำงานนั้น เขาเพิ่งดึงสติกลับมาได้ว่าเจียงสื้อสื้อยังยืนอยู่ชั้นล่าง เลยหันหลังเดินลงข้างล่าง แล้วโอบกอดเธออย่างแน่น และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณพักผ่อนนะครับ ผมมีเรื่องต้องจัดการอีกสักหน่อย”
เจียงสื้อสื้อจ้องมองเขาด้วยสายตากึ่งเชื่อและไม่เชื่อ แต่เมื่อเหลือบเห็นสายตาอ่อนล้าของเขา เธอก็อดใจไม่ไหวซักถามต่อ
เธอจ้องมองเขาที่มีท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างกำลังเดินหายไปจากหน้าประตูของห้องทำงาน
ภายในห้องทำงาน จิ้นเฟิงเฉินจ้องมองหน้าจอโน๊ตบุ๊คอย่างไม่ละสายตา
บนหน้าจอปรากฏข้อมูลวิทยานิพนธ์มากมาย ซึ่งล้วนเกี่ยวกับรายงานวิจัยทดลองไวรัสรูปแบบใหม่ แต่กลับได้ผลลัพธ์เพียงนิดเดียว
ผ่านไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ตอนบ่ายและตอนกลางคืนก็ผ่านพ้นไป
ซึ่งระหว่างนั้นสื้อสื้อเดินขึ้นมาตามเขากินอาหารค่ำด้วย แต่ถูกเขาปฏิเสธด้วยการอ้างว่างานยุ่ง
ค่ำคืนผ่านพ้นไป จิ้นเฟิงเฉินนวดเบ้าตาที่ปวดแสบเล็กน้อย แล้วหันหน้ามองนอกหน้าต่าง และพบว่าท้องฟ้าสว่างสดใสแล้ว
หลังจากเจียงสื้อสื้อตื่นขึ้นมา และไม่เห็นจิ้นเฟิงเฉินก็นึกว่าเขาตื่นนอนตั้งนานแล้ว
แต่บนเตียงอีกด้านกลับไม่มีร่องรอยเหมือนมีคนนอนเลย ในใจเลยเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้น
เธอหาวหนึ่งที แล้วผลักเปิดประตูห้องทำงานออก และพบจิ้นเฟิงเฉินอยู่ข้างในอย่างที่คาดคิดไว้ เขาไม่ได้กลับห้องนอนทั้งคืนเลย
ในดวงตาของเขามีเส้นเลือดแดงฝาดๆ แถมในมือคีบบุหรี่ม้วนหนึ่งด้วย
เพียงเหลือบมองแวบเดียวก็รู้ว่ายังไม่นอนทั้งคืน
เจียงสื้อสื้อรู้สึกเอ็นดูมาก แต่เมื่อเห็นเขาไม่ค่อยรักตัวเองก็รู้สึกโกรธเล็กน้อย เลยเดินวางมือทั้งสองข้างยันบนโต๊ะ “ทำไมคุณไม่นอน?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ จิ้นเฟิงเฉินก็ดับไฟบุหรี่ในมือทันที แล้วหันหน้ายิ้มแย้มต่อเธอ “จะไปนอนแล้วครับ”
เจียงสื้อสื้อเคลื่อนสายตากวาดตามองเห็นก้นบุหรี่เจ็ดแปดม้วนอยู่ในอ่างทิ้งบุหรี่ เลยพูดด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “สูบบุหรี่แล้วยังไม่นอนอีก คุณยังต้องการร่างกายของตัวเองอีกไหม?”
อันที่จริงจิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ติดบุหรี่ ปกติเขาสูบบุหรี่น้อยครั้งมาก มีเพียงตอนที่หงุดหงิดใจจึงจะสูบม้วนหนึ่ง
แต่เมื่อคืนสูบหลายม้วนมาก ซึ่งแสดงว่ามีเครื่องหงุดหงิดใจเยอะมากแน่ๆ
เมื่อได้ยินคำถามที่เป็นห่วงของเธอ จิ้นเฟิงเฉินก็ก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
“งานเจอปัญหาอะไรหรือเปล่า?” เจียงสื้อสื้อคาดเดาขึ้น
จิ้นเฟิงเฉินพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรครับ ผมแก้ไขแล้วครับ”
เขาเดินไปเปิดหน้าต่าง ทำให้อากาศสดใหม่แผ่เข้ามา เพราะกลัวว่าควันบุหรี่ที่อบอวลในอากาศทำให้เจียงสื้อสื้อสำลัก
เมื่อได้ยินแบบนี้ เจียงสื้อสื้อก็ไม่รู้สึกสงสัยอะไรแล้ว และพยักหน้าเล็กน้อยพูดว่า “งั้นก็ดีแล้ว รีบไปนอนเถอะ”
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ตอบรับทันที แต่เดินไปข้างเธอ แล้วจ้องมองเธอ
น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อยที่ไม่ได้นอนทั้งคืนช่างยั่วยวนจริงๆ “คุณนอนเป็นเพื่อนผมได้ไหม?”
“ฉันเพิ่งตื่นเมื่อกี้เอง….”
เจียงสื้อสื้อจ้องมองเขา แล้วหันหลังเดินไป
ใครจะคิดว่าจิ้นเฟิงเฉินโอบเอวของเธอด้วยมือข้างเดียว แล้วก้มหน้าลงซบบนระหว่างรอของเธอ
เหมือนกับลูกแมวเลี้ยงตัวหนึ่ง เขาหายใจพ่นลมหายใจลงบนผิวหนังที่อ่อนไหว ทำให้ร่างกายของเจียงสื้อสื้อแข็งทื่อทันที
“จิ้นเฟิงเฉิน คุณทำอะไร รีบปล่อยฉันออก”
เจียงสื้อสื้อพยายามขัดขืน แต่กลับรู้สึกเขินหน้าแดงก่ำกับท่าทางในตอนนี้ของทั้งสองคน
จิ้นเฟิงเฉินโอบกอดเอวของเธอด้วยสองมือ โดยที่ร่างกายครึ่งตัวนอนทับบนตัวเธอ ขณะเดียวกันทั้งสองคนก็ใกล้ชิดกันมาก
“ง่วงจัง….”
เจียงสื้อสื้อไม่อยากจะเชื่อว่านี่จิ้นเฟิงเฉินกำลังออดอ้อนเธออยู่หรอ การกระทำของเขาแบบนี้ช่างน่ารักแบบแปลกประหลาด
แต่ก็ไม่อยากให้เขาไม่พักผ่อน เลยตั้งใจแสร้งทำเป็นพูดอย่างดุดันว่า “ง่วงนอนก็ยังไม่ไปรีบนอนอีก!”
“คุณไม่นอนเป็นเพื่อนผม ผมก็นอนไม่หลับ”
เป็นเสียงแหบเซ็กซี่อีกแล้ว ทำให้ใบหูของเจียงสื้อสื้อแดงก่ำ
เธออยากดึงมือของจิ้นเฟิงเฉินออก แต่ถูกมือที่ใหญ่ทั้งสองข้างที่เหมือนเหล็กโอบกอดเอวของเธออย่างแน่นมาก เหมือนกับกลัวว่าเธอจะหนีไปอย่างนั้น
“นี่คุณ…..”
เจียงสื้อสื้อหันหน้ามองข้าง และเห็นจิ้นเฟิงจิ้นซบบนบ่าของเธอ โดยที่เขากำลังหลับตาเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็เห็นเบ้าตาเขียวช้ำของเขา
เขาคงเหนื่อยมากจริงๆ
คำพูดปฏิเสธ เลยพูดไม่ออกอีกแล้ว
“เช่นนั้นก็ได้…..”
ยังไม่ทันพูดจบก็รู้สึกร่างกายเบาตัว เพราะเธอถูกจิ้นเฟิงเฉินอุ้มขึ้นมา แล้วรีบเดินไปที่ห้องนอนทันที
จิ้นเฟิงเฉินอุ้มเจียงสื้อสื้อวางบนเตียงนอน ไม่นานก็หลับสนิท
เจียงสื้อสื้อไม่กล้าขยับตัว เพราะกลัวทำให้เขาตื่น
สุดท้ายเลยหลับตานอนหลับพักผ่อนด้วย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เจียงสื้อสื้อก็ลืมตาอย่างสะลึมสะลือ เพราะได้ยินเสียงหึ่งหึ่งหึ่งที่ดังจากบนตู้หัวเตียง
เธอรีบลืมตาขึ้นมา เมื่อเห็นจิ้นเฟิงเฉินยังคงนอนหลับสนิทก็วางใจทันที
เธอค่อยๆเอาแขนของจิ้นเฟิงเฉินที่วางบนตัวของเธอออกอย่างช้าๆ จากนั้นก็เดินลงจากเตียง และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วเดินเข้าห้องน้ำอย่างเบาเสียง
คนที่โทรมาคือฝู้จิงเหวิน เจียงสื้อสื้อกดรับสาย
“สื้อสื้อ”
เมื่อได้ยินเสียงของฝู้จิงเหวิน ก็รู้สึกเหมือนกันห่างกันเป็นเวลานาน
เจียงสื้อสื้อพยายามกลั้นความรู้สึกสับสนไว้ แล้วซักถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “โทรหาฉันมีอะไรหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ดูเหมือนว่าฝู้จิงเหวินจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“หากตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไร ไม่สามารถโทรหาเธอได้แล้วหรอ?”
……
เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบ ฝู้จิงเหวินก็ยิ้มอย่างขืนข่ม แล้วพูดเปลี่ยนประเด็นว่า “ได้ยินว่าคุณกลับประเทศฝรั่งเศสแล้วหรอ คืนนี้มีเวลาว่างออกมาทานข้าวไหม?”
เจียงสื้อสื้อลังเลเล็กน้อย และไม่รีบตอบรับทันที
“ผมไม่มีเจตนาอย่างอื่น นอกจากอยากกินข้าวร่วมกันเท่านั้น อีกอย่างช่วงนี้ร่างกายของคุณเป็นยังไงบ้างหรอ?”
น้ำเสียงของฝู้จิงเหวินเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ก็ดีค่ะ” แต่น้ำเสียงของเธอกลับเย็นชา และไม่มีอารมณ์อื่นปะปนเลย
“อืม แล้วคืนนี้เธอจะมาไหม?” ฝู้จิงเหวินซักถามอีกครั้ง
เจียงสื้อสื้อเหลือบมองจิ้นเฟิงเฉินที่กำลังนอนหลับสนิทเล็กน้อย และพูดอย่างลังเลว่า “ฉันเพิ่งกลับมาเอง ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการเล็กน้อย ดังนั้น…..”
เมื่อได้ยินเหมือนเธอกำลังปฏิเสธ ฝู้จิงเหวินก็พูดแทรกขึ้นมา
“จิ้นเฟิงเฉินไม่จำกัดอิสระของคุณหรอกใช่ไหม”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เจียงสื้อสื้อก็รีบตอบกลับว่า “ไม่เลย”
ฝู้จิงเหวินยิ้มประชดเล็กน้อย “ผมนึกว่าเขาไม่ยอมให้คุณมาเสียอีก”