ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 796 เขากำลังกลัว
บทที่ 796 เขากำลังกลัว
ฝู้จิงเหวินไม่ได้เจอสื้อสื้อมาหลายวันมากแล้ว เลยเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของเธอ
เมื่อนับเวลา ถึงเวลาเธอกินยาแล้ว หากไม่กินอีก เกรงว่าจะเกิดปัญหาใหญ่แน่
เขากลัวว่าสื้อสื้อไม่มา เลยออกอุบายเรียกร้องด้วยความรู้สึก “ช่วงนี้พ่อกับแม่ของผมเอาแต่บ่นคิดถึงคุณกับเถียนเถียน หากพวกคุณไม่มา พวกเขาคงผิดหวังมากแน่เลย”
เมื่อพูดถึงแม่ฝู้และพ่อฝู้ เจียงสื้อสื้อก็ไม่ได้ปฏิเสธอีก
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนอยากเจอเธอเท่านั้นเอง แต่เธอกลับเอาแต่เลี่ยง ซึ่งทำให้เธอดูเป็นคนไม่สำนึกบุญคุณเลย
“ค่ะ ฉันจะไปค่ะ”
เมื่อได้ยินเจียงสื้อสื้อตอบรับ ฝู้จิงเหวินจึงจะวางสายลง
เตียงสื้อสื้ออยู่ในห้องน้ำอีกสักพักจึงจะออกมา เมื่อเปิดประตูออกเห็นจิ้นเฟิงเฉินยืนอยู่นอกประตู
“คุณตื่นแล้วหรอ?” เธอมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย
จิ้นเฟิงเฉินได้นอนหลับสักพักหนึ่งก็มีท่าทางกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
ถึงแม้เส้นผมยุ่งเหยิงเล็กน้อย และหนวดไม่ได้ถอน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพตอนอดหลับอดนอนเมื่อกี้ สภาพตอนนี้ดีกว่ามากเลย
เมื่อจิ้นเฟิงเฉินเห็นเธอถือโทรศัพท์อยู่ก็พูดซักถามขึ้นว่า “โทรศัพท์ใครหรอ? ทำไมโทรนานขนาดนี้?”
อันที่จริงตอนที่เจียงสื้อสื้อออกจากอ้อมกอดของเขา เขาได้ตื่นแล้ว
และเริ่มนอนรอที่หัวเพียง รอสักพักใหญ่ ไม่เห็นเธอออกมาก็เลยคิดเดินมาดูสักหน่อย
เจียงสื้อสื้อไม่อยากปกปิดอะไรกับเขา เลยบอกเรื่องนัดที่ต้องไปคืนนี้กับจิ้นเฟิงเฉิน
“ได้สิครับ พาเสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนไปด้วยกันเลย ผมรู้สึกว่าเด็กสองคนนี้ไม่สามารถอยู่แยกจากกันแม้แต่วินาทีเดียวเลย
คิดไม่ถึงว่าจิ้นเฟิงเฉินจะตอบรับทันที
เจียงสื้อสื้อจ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกใจเล็กน้อย เธอนึกว่าจิ้นเฟิงเฉินจะปฏิเสธเสียอีก
เมื่อเห็นสายตาตกใจในสายตาของเธอ จิ้นเฟิงเฉินก็ยิ้และซักถามว่า “ทำไมหรอ นึกว่าผมไม่ยอมให้คุณไปหรอ?”
“เปล่าค่ะ”
เจียงสื้อสื้อเคลื่อนย้ายสายตา และไม่กล้ายอมรับว่าในใจของตัวเองคิดยังไงอยู่
จิ้นเฟิงเฉินยื่นมือลูบหัวของเธอ และพูดอย่างปกติว่า “ขอเพียงคุณไม่ไปจากผม คุณอยากทำอะไร ผมไม่ห้ามคุณหรอก”
น้ำเสียงแฝงด้วยความรักและเอ็นดู ทำให้เจียงสื้อสื้อมีใบหน้าแดงก่ำชั่วพริบตา เลยพูดขึ้นว่า “คุณรีบไปอาบน้ำแล้วลงมาทานข้าวนะคะ”
จากนั้นก็เดินออกจากห้องนอนทันที
เมื่อมองดูร่างเงาของเธอเดินหนีจากไปอย่างลุกลี้ลุกลน จิ้นเฟิงเฉินก็อดใจไม่ไหวยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย
เวลาห้าโมงเย็น เจียงสื้อสื้อพาเสี่ยวเป่าและเถียนเถียนไปที่บ้านตระกูลฝู้
“สวัสดีครับ/ค่ะ คุณปู่คุณย่า”
เมื่อเสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนเดินเข้ามาก็รีบกล่าวทักทายอย่างอ่อนน้อมขึ้น
เมื่อพ่อฝู้กับแม่ฝู้เห็นเด็กน้อยน่ารักสองคนก็หัวใจละลายทันที จนแทบไม่สนใจเรื่องที่โกรธเจียงสื้อสื้อแล้ว
โดยเฉพาะแม่ฝู้ ดูเหมือนลืมเป้าหมายที่ชวนเจียงสื้อสื้อมาวันนี้แล้ว
“แม่หลี่ รีบไปล้างผลไม้เอาออกมาเร็ว”
แม่ฝู้รีบเรียกคนรับใช้ทันที แล้วให้เด็กน้อยสองคนนั่งลง จากนั้นก็เปิดโทรทัศน์ให้พวกเขาดู
ห้องครัวยังคงทำงานอยู่ แม่ฝู้กลัวว่าเสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนหิว เลยพูดขึ้นว่า “กินผลไม้ก่อนนะ เดี๋ยวจะได้กินข้าวแล้ว”
“คุณย่า ไม่เป็นไรครับ ผมยังไม่หิวครับ” เสี่ยวเป่าเดินเข้ามาพูดปลอบโยนแม่ฝู้
เมื่อเห็นท่าทางเชื่อฟังของเสี่ยวเป่า แม่รู้ก็กล่าวโทษที่ตัวเองไม่มีวาสนาที่ไม่มีหลานชายที่เชื่อฟังแบบนี้
เธอลูบหัวของเสี่ยวเป่า แล้วถอนหายใจเล็กน้อย
ฝู้จิงเหวินที่นิ่งเงียบอยู่ด้านข้างเอาแต่จ้องมองสื้อสื้อ โดยในดวงตามีความบ้าคลั่งที่ตัวเองยากจะควบคุมได้
เมื่อเจียงสื้อสื้อหันมา เขาก็เปลี่ยนสีหน้าท่าทางเหมือนกับปกติ
ไม่นานอาหารก็เสริฟขึ้นบนโต๊ะ
คนทั้งครอบครัวนั่งล้อมรอบโต๊ะอาหาร แล้วกินอาหารที่ร้อนอุ่น ขณะเดียวกันก็พูดคุยเรื่องทั่วไป ซึ่งบรรยากาศดูมีความสุขและปรองดองมาก
เมื่อแม่ฝู้เห็นบรรยากาศคึกคักก็ซักถามเจียงสื้อสื้อว่า “สื้อสื้อ อยากดื่มเหล้าสักหน่อยไหม?”
“ไม่ค่ะ คุณแม่”
เจียงสื้อสื้อยิ้มแย้ม และปฏิเสธแม่ฝู้
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ฝู้จิงเหวินก็ยิ้มและพูดว่า “แม่ครับ ร่างกายของสื้อสื้อไม่เหมาะกับการดื่มเหล้าครับ เป็นเครื่องดื่มผลไม้ดีกว่าครับ”
ขณะที่ซักถาม เขาก็หันหน้ามองเจียงสื้อสื้อ หลังจากเจียงสื้อสื้อพยักหน้าก็เดินไปหยิบแก้วกระจก แล้วช่วยรินน้ำส้มให้กับเธอ
เจียงสื้อสื้อกำลังกระหายน้ำพอดี เลยยื่นมือรับและกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ก้มหน้าดื่มคำหนึ่ง
ฝู้จิงเหวินมองดูเธอดื่มน้ำด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม แล้วยังคีบอาหารให้กับเธอด้วย และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “กินเยอะๆหน่อย”
“ขอบคุณค่ะ “เจียงสื้อสื้อยิ้มแย้มต่อเขา
แต่รอยยิ้มของฝู้จิงเหวินจางลงเล็กน้อย เจียงสื้อสื้อกลับมาครั้งนี้กล่าวขอบคุณกับเขาไม่หยุดเลย เหมือนกับห่างเหินกับเขาอย่างนั้น
จากนั้นทุกคนก็พูดคุยกันเรื่องอื่น แม่ฝู้ต้องการอยากพูดเรื่องของทั้งสองคน แต่ถูกพ่อฝู้ห้ามไว้
มื้ออาหารที่อบอวลด้วยความอบอุ่น เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น ทุกคนก็กินอาหารอย่างไม่มีความสุขแล้ว
แม่ฝู้ที่ถูกปฏิเสธก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เมื่อเถียนเถียนเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ก็คีบขาไก่อันหนึ่งในจานของตัวเองใส่ในจานของแม่ฝู้อย่างพยายาม
เด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงน่ารักว่า “คุณย่ากินขาไก่ค่ะ”
เมื่อเห็นท่าทางเชื่อฟังของเถียนเถียน แม่ฝู้ก็อารมณ์ดีขึ้นชั่วพริบตา แล้วลูบหัวของเถียนเถียน และพูดชื่นชมว่า “เถียนเถียนเป็นเด็กดีจริงๆ”
กินข้าวเสร็จก็นั่งต่ออีกสักพัก เจียงสื้อสื้อรู้สึกว่าเป้าหมายที่ตัวเองกลับมาได้ลุล่วงแล้ว เลยเตรียมลุกขึ้นกล่าวอำลา
แม่ฝู้ทำใจไม่ได้ เลยพูดยื้อว่า “งั้นคืนนี้นอนที่นี่สักคืนดีไหม เธอกับลูกกลับมาสักทีไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย”
เมื่อเห็นสายตาทำใจไม่ได้ของแม่ฝู้ ในใจของเจียงสื้อสื้อก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจ
แต่ฐานะของเธอตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว อีกอย่างมีเสี่ยวเป่าด้วย หากพักอยู่บ้านตระกูลฝู้คงไม่เหมาะสมแน่
ตอนนี้เธอไม่สามารถพูดปฏิเสธออกมาได้ แต่ก็เธอทำใจมองดูสายตาที่แสงสว่างมอดดับของแม่ฝู้ไม่ได้
ในตอนที่เธอกำลังลังเลอยู่นั้น เสี่ยวเป่าก็พูดอย่างเฉลียวฉลาดขึ้นว่า “คุณย่าฝู้ครับ วันนี้พวกเรารับปากกับแด๊ดดี้แล้วว่าจะกลับบ้าน ไม่อยากทำให้แด๊ดดี้เป็นห่วง เลยต้องขออภัยคุณย่าฝู้ด้วยนะครับ ไว้ครั้งหน้าพวกเรามาเยี่ยมคุณอีกนะครับ”
เสี่ยวเป่าช่างพูดขนาดนี้ แม่ฝู้ฝืนยื้อพวกเขาไม่ไหวแล้ว เลยรีบพูดว่า “โธ่ เด็กคนนี้ช่างรู้ความจริงๆ เอาเถอะ งั้นย่าจะรอหนูมาเยี่ยมย่าครั้งหน้านะ ดังนั้นห้ามลืมเด็ดขาดเลยนะ!”
เถียนเถียนที่อยู่ด้านข้างออกแรงพยักหน้า และพูดขึ้นว่า “ไม่ลืมค่ะ! เถียนเถียนก็จะคิดถึงคุณปู่และคุณย่านะคะ”
แม่รู้เช็ดหางตาเล็กน้อย แล้วออกแรงกอดเถียนเถียน
ฝู้จิงเหวินจ้องมองด้วยสายตาเย็นชาอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นแม่ไม่สามารถยื้อเจียงสื้อสื้อได้ ในใจก็รู้สึกผิดหวัง แต่ไม่แสดงออกบนใบหน้าเลย
แต่เอ่ยปากพูดว่า “เดี๋ยวผมไปส่งพวกคุณ”
ขณะที่พูดก็ก้าวเท้าเดินออกมา ตอนที่เขาจะหยิบกุญแจรถยนต์นั้นก็เห็นร่างเงาหนึ่งรออยู่ที่ประตู
“แด๊ดดี้!”
เมื่อเห็นเป็นจิ้นเฟิงเฉิน เสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนก็วิ่งเข้าไปหาทันที
ทำให้รู้ติงเหวินต้องหยุดฝีเท้าลงทันที แล้วมองดูบรรยากาศอันอบอุ่น และรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนเกิน……
ฝู้จิงเหวินแทบไม่ขยับตัวเลย แสงจากดวงจันทร์ที่ส่องผ่านก้อนเมฆลงมาแสดงให้เห็นสายตามืดครึ้มบนใบหน้าอย่างชัดเจน
แล้วมองดูรถยนต์ของจิ้นเฟิงเฉินขับจากไป จากนั้นมือที่กำแน่นอยู่ด้านข้างของฝู้จิงเหวินก็ค่อยๆคลายมือออก
คฤหาสน์จิ้นกับบ้านตระกูลฝู้อยู่ห่างกันไม่ไกลมาก ไม่นานรถยนต์ก็ค่อยๆจอดที่หน้าประตูคฤหาสน์จิ้น
หลังจากที่เจียงสื้อสื้อเปลี่ยนรองเท้าให้กับเด็กทั้งสองคนเสร็จ จู่ๆจิ้นเฟิงเฉินก็โอบกอดเธอจากข้างหลัง
ร่างกายของเจียงสื้อสื้อแข็งทื่อขึ้นมาทันที
โชคดีที่เขาโอบกอดเธอไม่นานมาก เพียงแค่ก้มหน้าลงบนคอของเธอ แล้วสูบลมหายใจเข้าลึกๆ และก็ปล่อย
จากนั้นก็จูงมือของเธอไว้ แล้วเดินกลับเข้าห้อง
เมื่อเจียงสื้อสื้อเห็นสายตาไม่สบายใจจากดวงตาของเขา ตอนแรกที่เธอคิดดึงมือกลับมาจากมือของเขาก็ไม่มีแล้ว
เพราะเธอพบว่าคนคนนี้กำลังกลัวอยู่
หรือว่าเขากลัวเธออยู่บ้านตระกูลฝู้ และไม่ยอมกลับมาอีก?