ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 797 สารไม่ทราบที่มา
บทที่ 797 สารไม่ทราบที่มา
เจียงสื้อสื้ออดใจไม่รู้สึกเอ็นดูผู้ชายที่เบื้องหน้าไม่ได้
ตั้งแต่เจียงสื้อสื้อออกไป การทำงานของจิ้นเฟิงเฉินก็ไม่ค่อยดีเลยทันที
แต่ตอนที่สื้อสื้อกลับมา งานที่ค้างคาก็เริ่มสะสางสำเร็จ
แต่เพื่อสามารถเห็นเจียงสื้อสื้อตลอดเวลา เขาจึงเปิดประตูห้องทำงานไว้ ขอเพียงเงยหน้าขึ้นก็สามารถมองเห็นภรรยาและลูกสองคนบนห้องรับแขกชั้นสอง
หลังจากอาบน้ำให้เด็กทั้งสองคนเสร็จ เจียงสื้อสื้อก็อยู่เป็นเพื่อนเด็กทั้งสองคนเล่นของเล่นเด็ก วันนี้เด็กทั้งสองคนกระปรี้กระเปร่ามาก
แต่เจียงสื้อสื้อกลับไม่ค่อยมีชีวิตชีวา เล่นอยู่สักพักก็หาว
เธอนั่งอยู่บนพรม และพิงบนโซฟาอยู่ ขณะเดียวกันก็พยายามลืมตาขึ้น
ง่วงนอนจัง……
แปลกมาก เธอไม่ได้อดหลับอดนอน และวันนี้ตอนเช้าก็ยังนอนอีกสักพักหนึ่งด้วย แล้วจะง่วงนอนได้ยังไง
เถียนเถียนไม่ได้สังเกตมอง แต่เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หม่ามี๊ช่วยหยิบของเล่นชิ้นนั้นด้านข้างของหม่ามี๊ให้หนูหน่อย”
สิ้นสุดเสียง เสี่ยวเป่าก็เอามือปิดปากน้องสาวทันที แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เถียนเถียน หม่ามี๊นอนแล้ว พวกเราเล่นเบาๆ ไม่รบกวนหม่ามี๊นะ เดี๋ยวพี่ช่วยน้องหยิบเอง”
เถียนเถียนหันหน้ามองเจียงสื้อสื้อบนโซฟาแวบหนึ่ง จากนั้นแม้แต่หายใจยังแผ่วเบาเลย
ต่อมาเวลาคุยกับเสี่ยวเป่าก็พูดแบบไม่ออกเสียง
จนกระทั่งเด็กน้อยทั้งสองคนเล่นของเล่นเสร็จ เจียงสื้อสื้อก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาอีก
ทางนี้ จิ้นเฟิงเฉินเพิ่งทำงาน และประชุมทางวิดีโอเสร็จพอดี
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจียงสื้อสื้อนอนหดตัวบนโซฟาอยู่ ซึ่งมีท่าทางเหมือนหลับฝันหวานอยู่
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วก้าวเท้าเดินเข้ามา และก้มตัวลงอุ้มเจียงสื้อสื้อขึ้น จากนั้นก็พูดกับเสี่ยวเป่าว่า “เสี่ยวเป่า พาน้องสาวไปนอนได้แล้ว”
เสี่ยวเป่าพูดอย่างเชื่อฟังว่า “ครับ แด๊ดดี้”
จากนั้นจิ้นเฟิงเฉินก็อุ้มเจียงสื้อสื้อเข้าห้องนอน แล้วเธอลงบนเตียงเบาๆ
ในระหว่างนั้น เจียงสื้อสื้อยังไม่ตื่น
จิ้นเฟิงเฉินคิดว่าเธอคงเหนื่อย เลยไม่ได้คิดมาก แล้วไปอาบน้ำในห้องน้ำ จากนั้นก็กอดสื้อสื้อนอนหลับพร้อมกัน
ปรากฏว่าเมื่อเจียงสื้อสื้อนอนหลับ หลับยาวจนกระทั่งตอนเที่ยงวันต่อมาก็ยังไม่ตื่น
จิ้นเฟิงเฉินกำลังจัดเอกสารอยู่ในห้องทำงาน ไม่นานก็เดินไปดูสักแป๊บ
ในตอนแรกอดใจไม่ไหวปลุกเธอตื่น เลยรอเวลาผ่านไปตอนเที่ยง แต่เจียงสื้อสื้อยังคงไม่มีท่าทียังไม่ตื่น เขาเลยสังเกตว่าผิดปกติ
“สื้อสื้อ?”
จิ้นเฟิงเฉินเรียกคนบนเตียงเล็กน้อย แต่เจียงสื้อสื้อยังคงหลับตาอยู่ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
หัวใจของจิ้นเฟิงเฉินจึงตกไปอยู่ตาตุ่ม เลยรีบยื่นมือลูบบนใบหน้าของเธอ ยังดีที่ไม่มีไข้
ถึงแม้เป็นแบบนี้ แต่เขาไม่ประมาทเลินเล่อ เพราะเจียงสื้อสื้อไม่ตื่นเลยตั้งแต่ปลุกมา
จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย แล้วตบบนใบหน้าของเจียงสื้อสื้อเบาๆ แล้วเรียกอย่างไม่หยุดหย่อนว่า “สื้อสื้อ สื้อสื้อ ตื่นสิ…..”
ั่เขาจ้องมองใบหน้าของเจียงสื้อสื้อตลอดเวลา และคาดหวังให้เธอลืมตาขึ้นมา ต่อให้ตัวเองต้องถูกกล่าวโทษ ถูกต่อว่า เพราะรบกวนการนอนหลับก็ไม่เป็นไร
แต่เจียงสื้อสื้อไม่ทำตามที่เขาคาดหวังได้
เมื่อรู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ จิ้นเฟิงเฉินก็รีบอุ้มเธอออกมาจากในผ้าห่ม แล้วเปลี่ยนชุดนอน จากนั้นก็อุ้มออกไปข้างนอกทันที
เมื่อเสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนเห็นแบบนี้ก็ตกใจช็อก
จิ้นเฟิงเฉินพยายามตั้งสติ เพราะกังวลทำเด็กตกใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า “หม่ามี๊กินของแสลงท้องเสียแล้ว เลยรู้สึกไม่ค่อยสบาย เสี่ยวเป่าเถียนเถียน พวกหนูอยู่บ้านดีๆนะ”
“ครับ แด๊ดดี้”
เสี่ยวเป่าช่วยดูแลเถียนเถียนอย่างเชื่อฟัง ขณะเดียวกันก็มองดูแด๊ดดี้อุ้มหม่ามี๊จากไปจากที่เดิม แต่เสี่ยวเป่ารู้สึกว่าเรื่องราวคงไม่ง่ายดายอย่างที่แด๊ดดี้พูดแน่นอน
เมื่อจิ้นเฟิงเฉินนึกถึงไวรัสในร่างกายของเธอก็ไม่กล้าประมาท แต่รีบเหยียบคันเร่งขับตรงไปศูนย์วิจัยของโม่เหยียทันที
ระหว่างทาง เจียงสื้อสื้อนั่งพิงอย่างนิ่งเงียบอย่างนั้น ไม่ว่าจิ้นเฟิงเฉินเรียกยังไงก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย
จิ้นเฟิงเฉินมองดูเจียงสื้อสื้อที่ไม่มีสติด้วยความรู้สึกรีบร้อนใจ
เมื่อมาถึงศูนย์วิจัย จิ้นเฟิงเฉินก็อุ้มเธอออกมา
เจียงสื้อสื้อมีสีหน้าขาวซีด ขณะเดียวกันมือของเธอที่จิ้นเฟิงเฉินอุ้มอยู่ก็สั่นเทาด้วย
จิ้นเฟิงเฉินที่ปกติเป็นคนนิ่งสงบได้หายสาบสูญหมดแล้ว
ในตอนนี้โม่เหยียกำลังเดินออกมาจากศูนย์วิจัย เมื่อเห็นจิ้นเฟิงเฉินมีท่าทีรีบร้อนก็รีบไปช่วยอย่างไม่เสียเวลา
ภายในห้องวิจัย หานยู่ได้รับสายโทรศัพท์ล่วงหน้าแล้ว เลยได้เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว
หลังจากผลักเตียงเข้าห้องทดลองเสร็จก็เริ่มทำการตรวจร่างกายให้กับเธอ
ข้างนอกห้องทดลองมีบรรยากาศเงียบสนิท
จิ้นเฟิงเฉินยืนพิงผนังกำแพงสีขาว ขณะเดียวก็ยกมือปิดตาด้วย
ในตอนนี้ร่างกายที่สูงใหญ่กลับไม่มีเรี่ยวแรงและอ่อนแอมาก เขายันผนังกำแพงอยู่ แต่กลับดูเหมือนยันกำแพงไม่ไหวแล้ว
เขาอยู่ท่วงท่าเดิมสักพักใหญ่ ในที่สุดก็ยันไม่ไหว แล้วค่อยๆไถลลงผนังกำแพง
จิ้นเฟิงเฉินมึนงงหมดแล้ว รู้สึกเพียงหูดังอื้ออื้อ และวิสัยทัศน์มีเพียงภาพขาวหมด
เขาแทบไม่กล้าไม่คิดเลย ถ้าหากอีกสักพักทราบผลลัพธ์ที่ไม่ดี ตัวเองจะกลายเป็นแบบไหน
ฉากในตอนนี้ ดูเหมือนกับฉากที่ตามหาเจียงสื้อสื้อในทะเลหลายปีก่อนหน้านี้
ทุกคนต่างเกลี้ยกล่อมให้เขาล้มเลิก แต่มีเพียงเขาคนเดียวที่ยืนหยัด
ไม่รู้อะไรเป็นตัวผลักดันตัวเอง แต่ในใจมีเพียงเสียงเดียวบอกว่าห้ามล้มเลิก
ไม่นานโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อก็ดังขึ้น หยุดลงและดังขึ้นอีกครั้ง จนกระทั่งหน้าจอโทรศัพท์ดับลง
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ แต่เขายังคงอยู่ท่วงท่าเดิม โดยไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด
เขาหวาดกลัวมาก….กลัวว่าเธอจะจากไปแบบนี้….
ผ่านไปสักพัก ประตูห้องทดลองก็ดังขึ้น โม่เหยียสวมชุดป้องกันไวรัสปรากฏตัวเบื้องหน้าของเขา
เมื่อมองเห็นผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้านั่งบนพื้นจ้องมองอย่างเหม่อลอย โม่เหยียก็ถอดแว่นออกมานวดดวงตาเล็กน้อย
ฉากนี้ทำให้เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือจิ้นเฟิงเฉินที่มีอิทธิพล
“คุณชาย?”
เมื่อได้ยินเสียง จิ้นเฟิงเฉินก็เงยหน้าขึ้น
โม่เหยียถอดถุงมือและหน้ากากอนามัยออก แล้วพูดขึ้นว่า “ตรวจร่างกายเสร็จแล้ว สามารถเข้าไปข้างในได้แล้วครับ”
จิ้นเฟิงเฉินค่อยๆขยับตัว เหมือนกับร่างกายไม่ใช่ของตัวเองอย่างนั้น
เขาต้องประคองผนังกำแพง จึงจะสามารถฝืนยืนขึ้นมาได้
เมื่อมองจากหน้าประตูก็เห็นเธออยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อน และยังคงหลับตาสองข้างอยู่ด้วย
จิ้นเฟิงเฉินเตรียมใจรับมือเรื่องแย่ที่สุดแล้ว เลยซักถามขึ้นว่า “ตกลงเธอเป็นอะไรหรอ? อาการหนักไหม?”
“เธอพ้นขีดอันตรายแล้ว เพียงแต่อยู่ในสภาวะหมดสติ คุณชายใจเย็นก่อนนะครับ เดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกัน”
โม่เหยียกลัวว่าจิ้นเฟิงเฉินควบคุมตัวเองไม่ได้ จนทำลายห้องทำลายของตัวเอง
เพราะในตอนนี้จิ้นเฟิงเฉินอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุด และน่ากลัวที่สุดด้วย
เพียงหนึ่งประโยคเหมือนกับสามารถทำให้วิญญาณกลับเข้าร่าง จิ้นเฟิงเฉินนวดขมับที่กระตุกอยู่ แล้วเดินตามโม่เหยียเข้าห้องทดลองอีกห้องหนึ่ง
“คุณดูนี่สิ นี่เป็นการค้นพบครั้งใหม่”
โม่เหยียเอาตัวอย่างเลือดแบบใหม่ยื่นให้กับจิ้นเฟิงเฉิน และพูดต่อว่า “ภายในร่างกายของคุณหญิงมีสารไม่ทราบที่มาประเภทหนึ่ง
ภายนอกดูเหมือนกับไวรัสเดิมถูกยับยั้ง แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นการเพิ่มสมรรถภาพการแสร้งของไวรัส ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อการกำจัดไวรัส หรือสามารถอธิบายว่าเป็นไวรัสแบบใหม่”
ทุกคำพูดของเขา ทำให้ใบหน้าของจิ้นเฟิงเฉินยิ่งหมดแรงลงเรื่อยๆ