ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 890 บางคนสุข บางคนทุกข์
ที่ด้านนอกประตู ฟางเฉิงเคาะอยู่หลายครั้งก่อนจะดึงมือกลับ และเดินไปเดินมาอย่างกังวล
เช้าตรู่ของวันนี้ เขาไปยังฟางซื่อกรุ๊ปเพื่อจัดการประชุมผู้ถือหุ้น และได้ยินพนักงานคนในบริษัทกำลังพูดถึงฟางยู่เชิน
พนักงานหญิงหลายคนรวมตัวกันเพื่อนินทาไปตามประสา
“ฉันได้ยินมาว่าคราวนี้ประธานฟางสามารถคว้าโครงการพันล้านหยวนมาได้ น่าทึ่งมากจริงๆ”
“ก็นั่นน่ะสิ ท่านประธานฟางทั้งหล่อทั้งมีความสามารถขนาดนี้ ถ้าใครได้แต่งงานกับเขาก็คงไม่ต่างไปจากพบเจอขุมสมบัติเลย”
“ถ้าฉันฉลาดได้สักเพียงครึ่งของประธานฟาง ก็คงไม่ต้องมาเป็นพนักงานเล็กๆอยู่ที่นี่หรอก เฮ้อ”
“……”
คำพูดที่ลอยเข้ามาในหัวของฟางเฉิง ทำให้เขาถึงกับตกตะลึงอยู่ชั่วครู่
พันล้าน?
ประธานฟางคนไหนกัน?
ถ้าเป็นฟางอี้หมิง คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้
เขามีท่าทีตื่นตระหนกและเดินไปยังห้องประชุมอย่างรวดเร็ว ก็ได้เห็นฟางยู่เชินและคุณท่านฟางกำลังพูดคุยกันอยู่ด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่ฟางยู่เชินเห็นฟางเฉิง เขาก็หันไปกล่าวทักทายว่า “คุณลุงใหญ่ มาแล้วเหรอครับ”
“อืม”
ฟางเฉิงกำลังคิดเรื่องโครงการพันล้านดอลลาร์อยู่ จึงได้พยักหน้าตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่ง
เขายังไม่ทันจะได้นั่งลงดี คุณท่านฟางก็เริ่มเอ่ยชมว่า “นี่ฟางเฉิง ครั้งนี้ยู่เชินทำผลประโยชน์ให้กับตระกูลเรามากมายจริงๆ เราได้เซ็นสัญญากับโครงการมูลค่ากว่าหนึ่งพันล้านหยวนเชียว ถึงเวลาแล้วที่ต้องให้อี้หมิงมาเรียนรู้กับยู่เชินบ้าง จะได้ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์เก่าๆ”
ประธานฟางที่พนักงานเหล่านั้นพูดถึงก็คือฟางยู่เชิน?!
ฟางเฉิงแอบกัดฟันกรอด มือของเขากำแน่นด้วยความโกรธเอาไว้ใต้โต๊ะ พยายามระงับความไม่พอใจของเขา และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ครับพ่อ ที่พ่อพูดถูกแล้ว ผมคงต้องให้อี้หมิงมาเรียนรู้กับยู่เชินบ้าง”
ช่วงนี้เขากับฟางอี้หมิงมัวยุ่งกับเรื่องความร่วมมือกับSAกรุ๊ปมาระยะหนึ่งแล้ว เขาจะไปคิดได้อย่างไรว่าฟางยู่เชินจะสามารถทำโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งพันล้านหยวนได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน!
ฟางยู่เชินที่นั่งอยู่ข้างๆรีบพูดขึ้นมาว่า “คุณลุงพูดเกินไปแล้วละครับ ยังไงพี่ก็เก่งกว่าผมอยู่ดี”
ฟางเฉิงระงับอารมณ์ของเขาเอาไว้ เพื่อต้องการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนี้ เขาจึงยิ้มและถามว่า “ว่าแต่ ไม่รู้ว่าโครงการพันล้านนี้……”
ยังไม่ทันพูดจบ ผู้ถือหุ้นก็ทยอยเข้ามากันเรื่อยๆ
คำถามที่นอกเหนือจากนี้ เขาก็ไม่กล้าจะถามต่อหน้าคนมากมาย ไม่อย่างนั้นจะดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเลย
ผ่านไปครู่หนึ่ง คุณท่านฟางเห็นว่าทุกคนมาครบแล้ว เขาก็ยิ้มและพูดว่า “การประชุมครั้งนี้ ผมขอเอ่ยเชยชมยู่เชินสักหน่อย เขาสามารถทำโครงการใหญ่เช่นนี้สำเร็จได้ตั้งแต่อายุยังน้อย นับว่าเป็นทำคุณงามความดีให้แก่บริษัทเรามาก ผมเองก็เชื่อว่าฟางซื่อกรุ๊ปของเราจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆในอนาคต”
เรื่องที่ทำผลกำไรให้บริษัทได้นั้น ผู้ถือหุ้นทุกคนล้วนชื่นชมยินดี
เมื่อเสียงของคุณท่านฟางเงียบลง ผู้ถือหุ้นต่างก็พากันพูดต่อว่า
“นั่นสิ เราทุกคนเห็นความสามารถของยู่เชิน และเราก็เชื่อว่าฟางซื่อกรุ๊ปจะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ”
“ยู่เชินอายุเท่านี้ แต่ความสามารถมากเกินพวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่เสียแล้ว เก่งจริงๆ”
……
ฟางยู่เชิน ได้ยินคำพูดเหล่านั้นจึงได้พูดอย่างสุภาพว่า “ทุกท่านชื่นชมกันเกินไปแล้วล่ะครับ การที่อีกฝ่ายเลือกที่จะร่วมมือกับเรา ก็เป็นเพราะตระกูลฟางของพวกเราแข็งแกร่ง และการที่ตระกูลฟางมีวันนี้มาได้ ก็เป็นเพราะผู้ใหญ่ทุกท่านที่มากความสามารถ ช่วยกันก่อตั้งขึ้นมาครับ”
คำเหล่านี้พูดได้ดีมาก
เขาไม่ถ่อมตัวจนเกินไป และในขณะเดียวกันก็ได้ยกย่องผู้ถือหุ้นเหล่านี้ด้วย
แต่คนที่สามารถนั่งในตำแหน่งเหล่านี้ได้ก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่มีใครลุกขึ้นมาเอ่ยชมตัวเองเพียงเพราะคำพูดของฟางยู่เชิน
เมื่อเห็นว่าฟางยู่เชินเอ่ยชมกลับเช่นนั้น คุณท่านฟางก็พยักหน้าอย่างโล่งอก หากมอบฟางซื่อกรุ๊ปไว้ให้ฟางยู่เชินในอนาคต เขาคงจะวางใจได้
อย่างไรก็ตามในที่นี้ บ้างก็สุข บ้างก็กังวลใจ
ฟางเฉิงที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
หลังจบการประชุม ฟางเฉิงจึงได้แอบลากตัวผู้ถือหุ้นคนหนึ่งเข้ามาถามเบาๆว่า “โครงการพันล้านหยวนนี้ร่วมมือกับบริษัทไหน ทำไมผมไม่รู้เรื่องเลย?”
ผู้ถือหุ้นได้ยินคำพูดนี้ก็ได้นำมือขึ้นขยับแว่น ตอบว่า “ได้ยินมาว่านี่เป็นโครงการที่ประธานจิ้นของจิ้นกรุ๊ป นำเสนอให้ เป็นเงินไม่น้อยเลยจริงๆ……”
เมื่อได้ยินว่าเป็นโครงการที่จิ้นเฟิงเฉินแนะนำให้ ฟางเฉิงก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป
และนั่นเป็นเหตุผลที่เขารีบตรงไปที่โรงแรมในตอนเช้าตรู่ เพราะเขาต้องการคำอธิบายจากจิ้นเฟิงเฉิน
ขณะที่เขากำลังร้อนรนใจ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกจากด้านใน จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่พบเขา “คุณฟาง คุณมาทำอะไรครับ มีธุระอะไรหรือเปล่า?”
เดิมทีฟางเฉิงมีเรื่องมากมายอย่างถามเขา แต่เมื่อพบกับจิ้นเฟิงเฉินเข้าจริงๆ ท่าทางของเขาก็ดูอ่อนลง
เขาลูบมือของตัวเองไปมา “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก แค่มาดูว่าคุณมีอะไรต้องการอีกไหมครับ แล้วพักผ่อนเป็นยังไงบ้าง”
“ผมไม่มีอะไรที่ต้องการหรอกครับ คุณฟางมีอะไรก็พูดออกมาเลยตรงๆ จะได้ไม่เสียเวลาของกันและกัน”
จิ้นเฟิงเฉินเดาออกว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่
เมื่อฟางเฉิงได้ยินคำพูดนั้น เขาก็ยิ้มและกล่าวว่า “เฟิงเฉิน ยังไงเสียเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ทำไมทำท่าทางเหินห่างแบบนี้ล่ะ? อีกอย่าง พวกเรากำลังเจรจาความร่วมมืออยู่ไม่ใช่หรือไง?”
จิ้นเฟิงเฉินรู้ว่าฟางเฉิงกำลังพยายามสร้างความสัมพันธ์ แต่เขาไม่มีความอดทนมากพอจึงพูดเรียบๆว่า “ผมไม่เคยชอบที่จะใช้ความสัมพันธ์ในครอบครัวมารวมกับเรื่องธุรกิจ การที่ผมเดินทางมาเมืองหลวงในครั้งนี้ก็เพราะมาเจรจาทางธุรกิจ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ใดๆทั้งสิ้น”
หลังจากนั้นเขาก็หันหลังเดินเข้ามาในห้อง
“ใช่ แยกแยะระหว่างความสัมพันธ์กับธุรกิจ”
ฟางเฉิงเดินตามเข้ามาและพูดอย่างเป็นกันเองว่า “แต่การที่ประธานจิ้นเดินทางมาในครั้งนี้ ไม่ใช่มาเพราะความร่วมมือของอี้หมิงกับผมหรือ? ทำไมจู่ๆถึงแนะนำโครงการใหญ่ขนาดนั้นให้ยู่เชินล่ะ?”
“ทำไมเหรอครับ? คุณฟางสนใจโครงการนี้? หรือว่าโครงการนี้มีปัญหาอะไร?” น้ำเสียงของจิ้นเฟิงเฉินตอบแบบสบายๆ แต่แฝงไปด้วยความเย็นชาและน่าเกรงขาม
ฟางเฉิงตกใจและรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “ไม่มีปัญหาอะไรครับ เพียงแต่ตอนนี้พวกเราก็ร่วมมือกันดีไม่ใช่หรือ? หากในอนาคตมีโครงการดีๆ ก็อย่าลืมคิดถึงลุงสิ”
แม้เขาจะพูดออกมาอย่างนั้น แต่ในใจของฟางเฉิงไม่ได้คิดอย่างนั้น
เดิมทีเขาคิดว่าเขาได้ขึ้นเรือลำเดียวกับจิ้นเฟิงเฉินแล้ว หากมีอะไรดีๆก็ควรจะคิดถึงเขาก่อนสิ แต่ไม่คาดคิดว่าจะสูญเสียผลประโยชน์ให้กับฟางยู่เชินเช่นนี้
แน่นอนว่าฟางเฉิงไม่กล้าพูดเรื่องนี้ออกไป ตอนนี้เขายังคงต้องพึ่งพาจิ้นเฟิงเฉิน จะไปกล้าทำให้เขาโกรธได้ยังไง
เมื่อได้ยินคำพูดของฟางเฉิง จิ้นเฟิงเฉินก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยและพูดช้าๆว่า “แน่นอนครับ โปรเจ็คที่กำลังร่วมมือกับ ฟางซื่อกรุ๊ปในครั้งนี้ สื้อสื้อเป็นคนกำชับผมเอง ผมก็แค่ทำตามความต้องการของเธอเท่านั้น”
เมื่อได้ยินคำว่าเจียงสื้อสื้อ ฟางเฉิงก็เริ่มใช้ความสัมพันธ์เข้าใกล้อีกครั้ง “ถ้าเป็นความต้องการของสื้อสื้อ ลุงก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก
ว่าแต่เฟิงเฉิน ครั้งหน้าถ้ามาอีก อย่าลืมพาสื้อสื้อมาด้วยสิ ยังไงเธอก็เป็นหลานสาวของผม ในฐานะลุง ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ดูแลเธออย่างดี อ้อ ยังมีลูกน่ารักๆอีกสองคน นับจากเจอกันครั้งนั้น ลุงก็คิดถึงเจ้าหนูน้อยตลอดเวลา”
“ครับ”
จิ้นเฟิงเฉินจะไม่รู้ได้ยังไงว่าฟางเฉิงคิดอะไรอยู่ เขาคนนี้ชอบใช้ความสัมพันธ์มาอ้างจริงๆ
ดังนั้นจิ้นเฟิงเฉินจึงหมดความอดทนและหยิบเสื้อสูทจากด้านหลังโซฟาขึ้นมาพูดกับฟางเฉิงว่า “คุณฟางมีเรื่องอะไรอีกไหมครับ? พอดีผมต้องไปที่บริษัท”
เมื่อเห็นว่าจิ้นเฟิงเฉินตั้งใจจะไล่เขากลับ ฟางเฉิงทำได้เพียงกลั้นความรู้สึกไว้ในใจ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ลุงไม่รบกวนเฟิงเฉินแล้ว ไปทำธุระเถอะ”
หลังจากออกจากโรงแรมไป ฟางเฉิงก็คืนสีหน้าไร้ซึ่งความเป็นมิตรและหยิ่งผยอง ต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
ถ้าเขาไม่จำเป็นต้องใช้จิ้นเฟิงเฉินในการต่อสู้เพื่อมรดกของฟางซื่อกรุ๊ป เขาคงจะไม่ลดตัวต่ำต้อยเพื่อเอาใจใครสักคนแบบนี้แน่
เขาเงยหน้าขึ้นเหลือบมองไปยังทิศทางของห้องจิ้นเฟิงเฉินด้วยท่าทางดูถูกก่อนจากไป
หลังจากที่ฟางเฉิงจากไป จิ้นเฟิงเฉินก็ตรงไปที่บริษัทและทำการอนุมัติเอกสารจำนวนหนึ่งที่ผู้จัดการทั่วไปหลิวตงส่งมาให้
จนกระทั่งเวลาเที่ยง โทรศัพท์ก็ดังขึ้น จิ้นเฟิงเฉินวางปากกาลงและเหลือบมองไปยังหมายเลขผู้โทรเข้า
เมื่อรับสาย เสียงที่รู้สึกคุ้นเคยบ้างเล็กน้อยก็ดังขึ้นว่า “คุณเฟิงใช่ไหม? ผมคือพิเอร์ส ไม่ทราบว่าเที่ยงนี้คุณว่างไหม?”