ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 91 โดนโจมตีอย่างหนักครั้งนึง
บทที่ 91 โดนโจมตีอย่างหนักครั้งนึง
เวลานี้ฉินซวนและหลานเป่ยชวนก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่ยอม
ผู้คนโดยรอบต่างมองเจียงสื้อสื้อด้วยความเจ็บปวดใจเล็กน้อย เมื่อสองครอบครัวนี้บังเอิญมาพบกัน ก็เหมือนตกอยู่ในความซวยอยู่หลายภพหลายชาติจิ้นเฟิงเฉินก็เอ่ยปากกล่าวด้วยเสียงเบาๆว่า : “งานเลี้ยงวันนี้ได้เชิญคนของตระกูลหลานมาหรือเปล่า?”
จิ้นเฟิงเหราแสดงความคิดเห็น : “เปล่า”
จิ้นเฟิงเหราก็เข้าใจความสัมพันธ์ที่ชัดเจนของตระกูลหลานและตระกูลเจียง แล้วทำไมยังต้องเชิญคนทั้งสองนี้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงอีก นี่ไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรอ
จิ้นเฟิงเฉินสีหน้าเคร่งขรึม : “ไม่ได้เชิญแล้วทำไมคนสองคนนี้มาได้ล่ะ? รีบไล่ออกไป”
ในน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโมโห
คนทั้งหมดก็พิจารณาให้เข้ามา ที่มาของจดหมายเชิญนี้ต้องไม่ปกติอย่างแน่นอน
หลานเป่ยชวนสีหน้าตกใจ รีบเอ่ยปากยอมรับผิด : “ต้องขอโทษด้วย คุณชายจิ้น พวกเราเพียงต้องการจะขอชีวิตหลานซื่อกรุ๊ปสักครั้ง พวกเราไม่ได้มีความหมายอื่นเลยจริงๆ ขอให้คุณไว้ชีวิตหลานซื่อกรุ๊ปเถอะ!”
จิ้นเฟิงเฉินไม่สนใจ คนทั้งสองถูกผู้รักษาความปลอดภัยหลายนายตรงไปขับไล่ให้ออกไป
ใจของหลานเป่ยชวนและฉินซวนเศร้าลงไปอย่างฉับพลัน จบแล้ว มันจบแล้วโดยสิ้นเชิง…..
ตอนนี้ไม่เพียงแค่ทำให้ตระกูลจิ้นต้องขุ่นเคือง พวกเขายังถูกขับไล่ต่อหน้าสาธารณชนอีก นับแต่นี้ต่อไปก็คงไม่มีใครยินยอมที่จะเกี่ยวข้องพัวพันกับตระกูลหลานอีก
ตอนนี้พูดได้ว่าใจของคนตระกูลหลานรู้สึกเสียใจมาก พวกเขาต่อสู้ถึงที่สุด เดิมทีก็คิดว่าจะสามารถอยู่ในงานเลี้ยงแล้วทำให้เจียงสื้อสื้อเสียหน้า แต่ทว่าคาดไม่ถึงว่าจะทำให้ตระกูลหลานโดนโจมตีอย่างหนัก
เพิ่งถูกขับไล่ลงมาจากเรือ หลานเป่ยชวนก็ได้รับสายโทรศัพท์หลายสายเพื่อยกเลิกสัญญา หลายบริษัทต้องจ่ายเงินค่าผิดสัญญาจำนวนมากและก็ไม่ยินยอมที่จะร่วมมือกับหลานซื่อกรุ๊ปอีกต่อไป
เจียงนวลนวลถือได้ว่าเป็นลูกสาวเศรษฐีที่มีชื่อเสียง เวลานั้นเรื่องการยั่วยวนพี่เขยของเธอก็แพร่กระจายไปด้วย.
เดิมทีทุกคนล้วนรู้สึกว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กที่ไม่มีพิษมีภัย ยังมีคนจำนวนมากที่อิจฉาความรักของเธอและหลานซือเฉิน นี่จึงทำให้คนจำนวนมากด่าเธอกันยกใหญ่ว่าเป็นหญิงเจ้าเล่ห์หน้าไม่อาย.
เมื่อเรื่องราวได้เผยแพร่ออกมา เจียงนวลนวลยังคงไปช้อปปิ้งกับคุณผู้หญิงหาวเข้า จากนั้นจึงไปถามเจียงนวลนวลว่าเวลานั้นเธอแย่งแฟนหนุ่มของพี่สาวจริงหรือไม่
สีหน้าของเจียงนวลนวลเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เธอรีบอธิบายอย่างลนลานสองสามคำ หลังจากนั้นก็รีบหนีออกจากห้างสรรพสินค้าอย่างไม่เป็นท่า
โดยธรรมดาหลานซือเฉินก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำพูดกระทบกระทั่งเหล่านี้ได้
ช่วงกลางคืน ตระกูลหลานและตระกูลเจียงก็ตกอยู่ในความยุ่งเหยิงจริงๆ
………
หลังจากละครตลกปิดม่านลง ฝูงชนก็ต่างแยกย้ายไปกันแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้ก็ยังคงก่อให้เกิดเรื่องอื้อฉาวอยู่ไม่น้อย
ขอบตาเจียงสื้อสื้อแดงเล็กน้อย เธอรีบเอ่ยปากกล่าวขอโทษว่า : “คุณลุงคุณป้า ขอโทษจริงๆ ที่ให้พวกคุณต้องมาเดือดร้อนมากขนาดนี้”
โชคดีที่ละครตลกนี้ได้จบลงแล้ว ไม่เช่นนั้นงานเลี้ยงวันเกิดของเสี่ยวเปาจะต้องล้มเหลวเป็นแน่ เจียงสื้อสื้อคาดว่าจะต้องทรมานใจไปตลอดชีวิต
ในสายตาของจิ้นเฟิงเฉินฉาบทาไปด้วยความเจ็บปวดใจ เขาเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า : “อย่าเอาไปใส่ใจเลย เรื่องนี้ไม่ตำหนิคุณหรอก”
“ใช่แล้ว คุณเจียง คนเหล่านั้นล้วนหน้าด้านเกินไป แล้วก็ไม่รู้ว่าพวกเขาปะปนเข้ามาในงานเลี้ยงได้ยังไง” จิ้นเฟิงเหราเอ่ยปาก
ถึงแม้ว่าพ่อแม่จิ้นจะไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ภายในใจก็ไม่สบายใจกับเจียงสื้อสื้ออยู่บ้าง
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่คู่ควรกัน แต่บุคคลที่คัดเลือกยังไงก็ไม่สามารถเป็นคนนึงที่มีภูมิหลังซับซ้อนแบบนี้
เรื่องราวก็จบลงไปแล้ว พ่อแม่จิ้นก็ออกไปต้อนรับแขกด้านข้าง
จิ้นเฟิงเฉินพาเจียงสื้อสื้อไปเปลี่ยนชุด หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว เจียงสื้อสื้อก็เดินออกมาจากห้อง.
เธอมองจิ้นเฟิงเฉินที่อยู่ตรงหน้า เอ่ยปากพูดอย่างมีส่วนที่ผิดและรู้สึกเสียใจว่า: “ขอโทษจริงๆนะ,ที่ก่อเรื่องต้องให้คุณลำบากแบบนี้”
“ฉันประมาทเอง นึกไม่ถึงว่าคนของตระกูลหลานจะปล่อยขึ้นมา”
คนสองคนมองหน้ากันอยู่แบบนี้ บรรยากาศเวลานี้ช่างน่าขวยเขินเล็กน้อย เจียงสื้อสื้อกระแอมมาทีนึงแล้วกล่าวว่า : “โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว คุณรีบกลับไปดูแลแขกเถอะ! ฉันจะไปตากลมที่ดาดฟ้าของเรือ สักพักค่อยเข้าไปอีกครั้ง”
เวลานี้ถ้าเจียงสื้อสื้อเข้าไปจะต้องเป็นที่จับจ้องของสายตาจำนวนมากเป็นแน่ เธอไม่อยากไปฟังกลุ่มคนวิพากย์วิจารณ์และแบกรับสายตาที่สังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนแบบนั้นอีก.
จิ้นเฟิงเฉินมองออกถึงความกังวลของเธอ เขามองตาของเจียงสื้อสื้อแล้วพยักหน้า ทันทีก็ออกไป.
………
เจียงสื้อสื้อถือขวดเหล้าแดงหาที่ที่ไม่มีคนนั่ง ลมทะเลพัดมา ภายในใจเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกสบายเล็กน้อย
ฉากที่เพิ่งลอยขึ้นมาในสมองตอนนี้ เจียงสื้อสื้อก็อดไม่ได้ที่จะงุนงงเล็กน้อย ทำไมฉินซวนและหลานเป่ยชวนไม่นำเรื่องที่อุ้มท้องแทนออกมาเปิดโปง
ช่วงเวลานั้น ถ้านำเรื่องนี้ออกมาพูดล่ะก็ ถึงเวลานี้ตนเองต้องมีชื่อเสียงที่ป่นปี้ฉาวโฉ่เป็นแน่ ไม่ว่าอะไรก็ตามคนของตระกูลจิ้นก็คงไม่มาคบค้าสมาคมกับเธออีกเป็นอันขาด
พูดตรงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ในใจของคนตระกูลหลานที่สับสนวุ่นวาย ในใจของเจียงสื้อสื้อก็สับสนเช่นกัน แม้กระทั่งเธอก็เคยคิดไว้แล้วว่าตัวเองจะต้องถูกขับไล่ออกจากงานเลี้ยง แค่คิดว่าถ้าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกมา ถึงเวลานี้ก็คงไม่ได้พบเสี่ยวเป่าและจิ้นเฟิงเฉินอีก…..เจียงสื้อสื้อไม่รู้จะทำยังไง.ในใจเป็นทุกข์อย่างมาก.
คิดๆไป เธอก็คิดถึงเด็กคนนั้นเมื่อเวลานั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เจียงสื้อสื้อจิบเหล้าเบาๆ ขอบตาก็แดงขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ
ในเวลานี้ ก็มีเสียงที่คุ้นเคยกันดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“น้าสื้อสื้อ!”
เจียงสื้อสื้อหันมาก็เห็นเสี่ยวเป่าวิ่งเข้ามา ด้านหลังเขายังมีจิ้นเฟิงเฉินตามมาด้วย
มองคนทั้งสอง เจียงสื้อสื้อก็ตกตะลึงทันที จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ไปต้อนรับแขกหรอ? หลังจากมีปฏิกริยาโต้ตอบแล้วเธอก็รีบเช็ดน้ำตาที่ขอบตา เธอยิ้มแล้วกล่าวถามว่า : “พวกคุณมาทำไมกัน? ด้านในยังมีแขกมากมายเลยนะ!”
จิ้นเฟิงเฉินเดินมาด้านหน้า ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า : “ไม่เป็นไร พ่อแม่ฉันยังมีเฟิงเหราอยู่ด้านใน”
“ใช่แล้วๆ เสี่ยวเป่าอยากอยู่เป็นเพื่อนน้าสื้อสื้อ!”
พูดพลาง คนทั้งสองก็นั่งลงข้างๆเจียงสื้อสื้อ เสี่ยวเป่ามองเธอ เอ่ยปลอบใจเธอด้วยเสียงอ่อนวัยว่า : “น้าสื้อสื้อรู้สึกเศร้าเสียใจอยู่ใช่ไหม?”
“ไม่หรอก!” เจียงสื้อสื้อยิ้มๆแล้วลูบหัวเธอ มองเสี่ยวเป่าและจิ้นเฟิงเฉิน ภายในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่น
เสี่ยวเป่าคิดว่าเจียงสื้อสื้อกำลังเข้มแข็ง จึงยิ้มแล้วเอ่ยปากว่า : “ไม่เป็นไรนะ น้าสื้อสื้อ ฉันรักคุณ ไม่ว่าใครจะพูดยังไง ฉันก็จะรักคุณ ยังมีแด๊ดดี้อีก เขาก็รักคุณเหมือนกัน พวกเราจะอยู่เป็นเพื่อนคุณตลอดไป”
ถึงแม้ว่าจิ้นเฟิงเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆจะไม่ได้พูดจา แต่สายตานั้น ทำให้คนหัวใจเต้นเร็วอย่างไม่มีใครเข้าใจ
สีหน้าขาวซีดของเจียงสื้อสื้อก็แดงขึ้น เธอกระแอมมาทีนึง จึงรีบรินขวดเหล้าแดง เพื่ออำพรางความหวั่นไหว
เสี่ยวเป่านี่ชอบพูดให้ประหลาดใจแบบนี้ตลอดเลยจริงๆ!
จิ้นเฟิงเฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก เขาจิบแอลกอฮอล์ น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าดึงดูดกล่าวว่า : “ไปทานอะไรรองท้องก่อนสักหน่อยนะ”
เดิมทีเจียงสื้อสื้อก็ไม่ได้หิว ถูกเขาพูดแบบนี้ ก็รู้สึกว่าหิวขึ้นมานิดหน่อยจริงๆ
ที่จริงแล้วเย็นนี้เธอก็ไม่ได้ทานอะไรเลย
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า เธอลุกขึ้นแล้วพาเสี่ยวเป่าไปหยิบของกินบางอย่างแล้วจึงกลับขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือ
คนทั้งสามนั่งกันอยู่แบบนี้ เสี่ยวเป่าเปลี่ยนวิธีพูดเป็นพูดเรื่องเย้าแหย่หยอกล้อให้เจียงสื้อสื้อมีความสุข ฉากนี้ดูแล้วช่างเข้ากันได้ดีอย่างมาก