ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 921 เจียงสื้อสื้อจะตาย
เห็นเขาโทษตัวเอง เจียงสื้อสื้อจึงอดไม่ได้ที่จะค่อนข้างรู้สึกผิด “ขอโทษนะ ฉันไม่ควรปิดบังคุณ”
ความตั้งใจของเธอคือไม่อยากให้เขาเป็นห่วง แต่สุดท้ายกลับทำให้เขาโทษตัวเอง
มีเจตนาดีแต่รู้สึกว่าทำสิ่งเลวร้าย
“ผมไม่ได้โทษคุณ”
จิ้นเฟิงเฉินลูบแก้มของเธอแผ่วเบา คิ้วคมสวยขมวดแน่น “คุณผอมลง”
ฟังแล้วเจียงสื้อสื้อก็ดวงตาเบิกกว้างอย่างค่อนข้างประหลาดใจ “จริงเหรอ”
เธอไม่ได้สนใจตัวเองเลย
“อืม”
เธอผอมกว่าก่อนไปต่างประเทศ เนื้อที่แก้มหายไป ทั้งตัวดูซูบซีดผ่ายผอมมาก
จิ้นเฟิงเฉินทั้งตำหนิตัวเองทั้งโกรธจัด กระชับมือของเธอโดยไม่รู้ตัว
เจียงสื้อสื้อรู้สึกได้ เห็นหัวคิ้วเขาขมวดแทบจะเป็นปมจึงยิ้มอย่างหมดหนทาง
เธอยื่นมือไปลูบที่ระหว่างคิ้วเขาเบาๆ ให้หัวคิ้วเขาเรียบ
“คุณหน้าบึ้งแล้วน่าเกลียดมาก” เธอพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก พยายามบรรเทาบรรยากาศที่หนักหน่วง
เธอทนไม่ได้ที่เห็นเขาโทษตัวเองขนาดนี้
เห็นเธอยิ้มสวยเจิดจ้าเช่นปกติ จิ้นเฟิงเฉินก็มีสายตาเร่าร้อนเล็กน้อย เขาจับมือของเธอขึ้นมาแตะบนริมฝีปากแผ่วเบา
“คุณอย่าโทษตัวเองเลย ได้ไหม” เจียงสื้อสื้อถามเสียงเบา ดวงตาที่สวยงามมีชั้นหมอกจางๆ
จิ้นเฟิงเฉินส่งเสียง “อืม” ก่อนจะถามว่า “ร่างกายรู้สึกยังไงบ้าง”
“ได้นอนไปแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาก” เจียงสื้อสื้อพูดด้วยรอยยิ้ม
ที่จริงแล้วเธอยังเหนื่อยล้าอยู่นิดหน่อย แต่ยังอยู่ในขอบเขตที่เธอสามารถอดทนได้
“อย่าโกหกผม”
สีหน้าของเธอยังไม่ค่อยดี ดูไม่เหมือนที่เธอบอกว่าดีขึ้นมากเลยสักนิด
เจียงสื้อสื้อยิ้มอย่างอ่อนใจ “ฉันไม่ได้โกหกคุณ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆ”
พูดอย่างนั้นแล้วเธอก็อยากจะลุกขึ้นนั่ง
แต่กลับเกิดอาการวิงเวียนศีรษะจนล้มลงไปกับเตียงอีกครั้ง
“สื้อสื้อ!” จิ้นเฟิงเฉินร้องเรียกเสียงดังอย่างตึงเครียด
“ฉันไม่เป็นไร” เจียงสื้อสื้อสงบลง ยกยิ้มให้เพื่อให้เขาสบายใจ
“คุณนอนนะ อยากได้อะไรก็บอกผม” จิ้นเฟิงเฉินพูด
“ฉันอยากลุกไปเดิน นอนตลอดมันปวดหลัง”
เจียงสื้อสื้อลูบเอวด้านหลังของตัวเอง คิ้วสวยขมวดเล็กน้อย
“ผมจะประคองคุณ”
จิ้นเฟิงเฉินประคองเธอเดินไปทั่วห้อง หลังจากนั้นก็กลับไปนอนบนเตียง
“ถ้าเหนื่อยก็นอนเถอะ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
เจิ้นเฟิงเฉินช่วยห่มผ้าห่มให้เธอ พลางพูดกับเธออย่างอ่อนโยน
“ค่ะ”
เจียงสื้อสื้อเหนื่อยจริงอย่างที่ว่า ไม่นานก็หลับไป
จิ้นเฟิงเฉินปิดไฟ เหลือเพียงโคมไฟติดผนังไว้ดวงหนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินแผ่วเบาออกไป
โม่เหยียกับหานยู่เห็นเขาออกมา ทั้งสองคนพลันตื่นตัวลุกขึ้นทันที ก้มศีรษะด้วยความเคารพ “คุณชาย”
“พูดมา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” จิ้นเฟิงเฉินเดินไปตรงหน้าพวกเขา สายตาคมเฉียบจ้องมองพวกเขาเขม็ง
โม่เหยียกับหานยู่มองหน้ากัน ก่อนจะเปิดปากพูดว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนจู่ๆ คุณหญิงก็มีจุดสีแดงขึ้นตามร่างกายครับ หลังจากที่ผมกับหานยู่ตรวจเช็กแล้วเป็นเพราะอาการข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยายับยั้ง…”
จิ้นเฟิงเฉินคาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เขาหน้าคล้ำหมองทันที “ดังนั้นถ้าฉันไม่กลับมา พวกนายก็ยังจะปิดบังฉันตลอดไปใช่ไหม”
“คุณชาย พวกเราไม่กล้าไม่ฟังคุณหญิง”
ถึงแม้พวกเขาจะรับคำสั่งจากจิ้นเฟิงเฉิน แต่เจียงสื้อสื้อเป็นคนที่คุณชายของพวกเขาห่วงใยมากที่สุด ดังนั้นระหว่างคุณชายกับคุณหญิง พวกเขาจึงเลือกคุณหญิง
เมื่อความจริงเป็นเจตนาของสื้อสื้อ ดังนั้นจิ้นเฟิงเฉินจึงไม่ตำหนิพวกเขาสองคนมากนัก ได้แต่พูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ต่อไปมีเรื่องอะไรต้องบอกฉันก่อนเป็นอันดับแรก”
“รับทราบ”
โม่เหยียกับหานยู่ตอบรับพร้อมกัน
บริเวณโดยรอบตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ ก่อนที่เสียงของจิ้นเฟิงเฉินจะดังขึ้นอีกครั้ง “ร่างกายของเธอเป็นยังไงบ้าง”
“ช่วงนี้มันจะเกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นเพราะคุณหญิงภูมิต้านทานไม่ดี แต่ไวรัสยังควบคุมเอาไว้ได้ชั่วคราวครับ”
จิ้นเฟิงเฉินคิ้วขมวด “มีทางรักษาไหม”
เขาทนเห็นเจียงสื้อสื้อซูบซีดขนาดนั้นไม่ได้ มันราวกับว่าแค่ลมพัดมาก็จะล้มไปทันที
“สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือให้เธอได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ให้อารมณ์ร่าเริง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือห้ามเหนื่อยครับ” โม่เหยียพูด
หานยู่ที่อยู่ข้างๆ เขาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “คุณชาย แม้ว่าตอนนี้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนี้เรื่อยไป ด้วยเพราะร่างกายของคุณหญิงจะทนไม่ไหวค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของจิ้นเฟิงเฉินก็กระตุกหนักทันที สีหน้าย่ำแย่มาก
โม่เหยียและหานยู่ก็อยากกำจัดไวรัสในร่างกายของเจียงสื้อสื้อโดยเร็วที่สุด แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเขายังพัฒนายาที่เป็นเป้าหมายออกมาไม่ได้
จิ้นเฟิงเฉินจมอยู่ในความเงียบไปนาน ก่อนจะถามว่า “พวกนายได้วิจัยเชื้อโรคที่ส่งกลับมาจากอิตาลีแล้วหรือยัง”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งโม่เหยียและหานยู่ก็ดวงตาเป็นประกายตื่นเต้นเล็กน้อย
“ผลออกมาแล้วค่ะ” หานยู่รีบบอก “ยาคือไวรัสในร่างกายคุณหญิงจริงๆ แต่มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น”
“งั้นสามารถหายาแก้พิษที่เฉพาะเจาะจงได้ไหม” จิ้นเฟิงเฉินถาม
ถ้าทำได้ ก็มีทางแก้ไวรัสในร่างกายของเจียงสื้อสื้อได้จริงไหม
“ทำได้ค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ในใจจิ้นเฟิงเฉินก็มีร่องรอยแห่งความหวัง แต่ในวินาทีถัดมาก็ได้ยินโม่เหยียบอกว่า “แต่ยาแก้พิษที่พัฒนาขึ้นนั้นสามารถแก้ส่วนนี้ของไวรัสได้เท่านั้น ส่วนอื่นเรายังไม่มีทางแก้ครับ”
“เป็นแบบนั้นไม่ผิดค่ะ” หานยู่เสริม “วิจัยยาแก้พิษมันทำได้ง่ายมาก แต่มันไม่ใช่ยาแก้พิษที่สลายไวรัสได้ทั้งหมด”
พูดถึงตรงนี้ หานยู่ก็อดไม่ได้ที่จะด่าออกมา “ไอ้เบอร์เกนนั่นไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะวิจัยไวรัสที่น่ากลัวแบบนี้ออกมา”
เบอร์เกน
จิ้นเฟิงเฉินหรี่ตา มือสองข้างที่ตกอยู่ข้างตัวกำแน่น
ในสายตาผู้ชายคนนั้นมีเพียงผลประโยชน์ ไม่ว่าไวรัสที่วิจัยออกมาจะทำร้ายใครหรือไม่ก็ไม่แคร์เลยแม้แต่น้อย
โม่เหยียและหานยู่ต่างรู้สึกได้ถึงความโกรธของจิ้นเฟิงเฉินที่แผ่ออกมา ทั้งคู่จึงต่างไม่พูดอะไรมากอีก
จิ้นเฟิงเฉินค่อยๆ คลายมือ เปิดริมฝีปากเล็กน้อย “วิจัยต่อไป มีเรื่องอะไรก็บอกฉัน”
“ครับ” โม่เหยียพยักหน้า
“หรือไม่เราบอกคุณชายเถอะ” หานยู่กระซิบ
โม่เหยียหันไปมองเธอ สายตาท่าทางค่อนข้างลังเล
จิ้นเฟิงเฉินได้ยินคำพูดของหานยู่ จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย “พวกนายมีอะไรปิดบังฉัน”
“คุณชาย ฉันกับโม่เหยียถือวิสาสะสันนิษฐานเรื่องหนึ่งค่ะ” หานยู่บอกตามจริง
“พูดมา”
“เชื้อโรคที่คุณส่งกลับมาจากต่างประเทศ หลังจากที่เราวิจัยแล้ว คิดว่ามันมีความเป็นไปได้สูงที่จะมุ่งเป้าไปที่ยีนมนุษย์ หรือสมอง หรืออวัยวะต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ที่สามารถวิจัยได้
ถ้าโชคดี ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ แต่ร่างกายจะถูกไวรัสกัดกินตลอดไปจนกระทั่งเสียชีวิต ถ้าโชคร้าย ก็จะตายโดยทันทีค่ะ”
ตั้งแต่สื้อสื้อติดไวรัส จิ้นเฟิงเฉินก็รู้แล้วว่าไวรัสน่ากลัวแค่ไหน แต่ตอนนี้มาได้ยินคำพูดของหานยู่ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนังศีรษะชา
ไวรัสน่ากลัวเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้มาก
“ถ้าอย่างนั้น…สถานการณ์ของสื้อสื้อ…” จิ้นเฟิงเฉินพบว่าน้ำเสียงของเขาออกมาค่อนข้างลำบาก คอหอยเหมือนถูกปิดกั้นด้วยฟองน้ำชุ่มอิ่มตัว
นี่คือสิ่งที่เขากลัวมาตลอด
“คุณหญิงยังถือว่าโชคดีครับ” โม่เหยียจึงบอกออกมา
แต่ในใจพวกเขาทั้งสองคนรู้ดีว่าถ้าไม่มียาแก้พิษ เจียงสื้อสื้อจะตาย