ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 922 อันตรายถึงชีวิต
บรรยากาศหนักอึ้ง ไม่มีใครพูดอะไร
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน กระทั่งจิ้นเฟิงเฉินพูดขึ้นมาก่อนว่า “ตอนนี้มีทางไหนไหมที่จะทำให้สื้อสื้อฟื้นฟูสุขภาพกลับมาเป็นปกติได้”
เมื่อโม่เหยียกำลังจะอ้าปากตอบ เขาก็เสริมอีกว่า “ยกเว้นเรื่องที่นายบอกก่อนหน้านี้ว่าควรให้ความสนใจ มียาตัวไหนที่สามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้เธอได้อีกไหม”
“พวกเราคิดวิธีแล้วครับ รออีกสองวัน” โม่เหยียพูด
“เร็วที่สุด”
พูดจบ จิ้นเฟิงเฉินก็หันหลังเดินจากไป
มองดูเขาจากไปแล้ว โม่เหยียกับหานยู่ก็พากันถอนหายใจโล่งอก
“ฉันรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก” หานยู่บ่นออกมาอย่างทนไม่ไหว เป็นเพราะออร่าของจิ้นเฟิงเฉินแข็งแกร่งเกินไป
“เหมือนกัน”
โม่เหยียเม้มริมฝีปาก แล้วเขาก็มองไปยังห้องที่เจียงสื้อสื้อพักผ่อนอยู่ ใบหน้าเผยความเศร้า “พวกเราต้องรีบแล้ว ไม่อย่างนั้นคุณหญิงจะต้องมีอันตรายถึงชีวิต”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น หานยู่ก็สีหน้าจริงจังและเคร่งขรึมขึ้น พยักหน้าหนัก “ได้ ฉันรู้แล้ว”
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ออกจากสถาบันวิจัย แต่ไปสูดอากาศข้างนอก
แค่คิดว่าสถานการณ์อันเลวร้ายของเจียงสื้อสื้อยิ่งใกล้เข้ามา มันก็เหมือนมีหินก้อนใหญ่มากดทับหัวใจเขา ทำให้เขาหายใจไม่ออก
“ถ้าโชคดี ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ แต่ร่างกายจะถูกไวรัสกัดกินตลอดไปจนกระทั่งเสียชีวิต”
คำพูดของโม่เหยียก้องอยู่ในโสตประสาท จิ้นเฟิงเฉินกำหมัดแน่น ดวงตาเข้มหรี่ลง แววตาคมกริบ
ถ้าเบอร์เกนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ เขาจะฆ่ามันโดยไม่ลังเล
เขาจะไม่ปล่อยเบอร์เกนไปแน่นอน!
……
คืนนี้ลูกชายและลูกสะใภ้ยังไม่กลับบ้าน แม่จิ้นยิ่งมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าความไม่สบายใจของตัวเองนั้นถูกต้อง
“เฟิงเหรา แกโทรหาพี่ชายแกหน่อย”
จิ้นเฟิงเหราที่กำลังดูทีวีกับภรรยาหันกลับไปมองแม่ของตัวเอง แล้วก็ยิ้มอย่างอ่อนใจ “คุณแม่ครับ พี่ชายผมเดินทางไปติดต่อธุรกิจหลายวันเพิ่งกลับมา คุณก็อย่าไปกวนพวกเขาคู่รักเลยครับ”
“แกคิดอะไร” แม่จิ้นตบหน้าผากของเขา “ฉันคิดว่าพี่ชายของแกมีเรื่องปิดบังฉัน ฉันรู้สึกไม่สบายใจ”
“เรื่องอะไรครับ” จิ้นเฟิงเหราไม่ได้ใส่ใจนัก คิดแค่ว่าแม่ของตัวเองคิดมากไป
“วันนี้ทันทีที่พี่ชายของแกกลับมาแล้วไม่พบสื้อสื้อก็เกิดอาการตื่นตระหนกผิดปกติ หลังจากนั้นก็รีบร้อนวิ่งออกไป มันต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่”
“คุณแม่ คุณคิดมากไปแล้ว ไม่มีอะไรหรอกครับ” จิ้นเฟิงเหราตบที่มือของแม่เพื่อปลอบให้สบายใจ
ส้งหวั่นชีงที่อยู่ข้างๆ ก็เสริมอย่างคล้อยตามด้วยว่า “ใช่ค่ะคุณแม่ พี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”
“ขอให้เป็นอย่างนั้น”
แม่จิ้นถอนหายใจ หันหลังเตรียมจะขึ้นไปข้างบน แต่เดินไปไม่กี่ก้าวกลับมา
“เฟิงเหรา แกโทรไปให้แม่หน่อย”
เธอยังไม่วางใจ
จิ้นเฟิงเหราไหล่ตก ถึงกับพยักหน้าอย่างอ่อนใจ “ได้ครับ”
ตอนที่โทรศัพท์มือถือดังขึ้น จิ้นเฟิงเฉินกำลังอยู่ในห้องเป็นเพื่อนเจียงสื้อสื้อ
เขากลัวว่าจะเป็นการปลุกเจียงสื้อสื้อ จึงเอาโทรศัพท์มือถือไปที่ระเบียง
หลังจากนั้นก็มีเสียงของจิ้นเฟิงเหราดังมาทันที “พี่ครับ พวกคุณจะกลับบ้านเมื่อไรเหรอครับ”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
สื้อสื้อยังไม่ตื่น คงยังกลับไม่ได้ในตอนนี้
ตอนนั้นเอง โทรศัพท์มือถืออีกฝั่งก็เปลี่ยนคนในสาย
“เฟิงเฉิน พวกแกมีเรื่องอะไรใช่ไหม” เสียงของแม่จิ้นเต็มไปด้วยความกังวล
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ปฏิเสธ “คุณแม่ครับ กลับไปแล้วจะบอกคุณอีกทีนะครับ คุณไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น แม่จิ้นก็ร้อนใจ “แกไม่พูดให้ชัดเจน แม่จะหลับลงได้ยังไง”
และในขณะนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังมา “เฟิงเฉิน”
เป็นเสียงของสื้อสื้อ
จิ้นเฟิงเฉินไม่สนใจคุยกับแม่ในสายโทรศัพท์อีก รีบวิ่งเข้าไปในห้อง เห็นเจียงสื้อสื้อตื่นแล้ว คราวนี้เธอลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเอง
เจียงสื้อสื้อเห็นโทรศัพท์มือถือในมือของเขา จึงถามว่า “รบกวนคุณเหรอ”
“เปล่าหรอก” จิ้นเฟิงเฉินส่ายหน้า เขาเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเธอพลางเอ่ยถามน้ำเสียงอ่อนโยน “เป็นยังไงบ้าง”
เจียงสื้อสื้อยิ้มบาง “ดีขึ้นมากแล้ว”
ได้หลับไปอีกรอบ เธอดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้วจริงๆ
จิ้นเฟิงเฉินจ้องมองเธอไม่วางตา ดูเหมือนจะมองอะไรบางอย่างบนใบหน้าของเธอออก
เจียงสื้อสื้อมองความคิดของเขาออก จึงยิ้มอย่างอ่อนใจหนัก “คุณวางใจเถอะ ครั้งนี้ฉันไม่ได้โกหกคุณ พูดจริงๆ”
สีหน้าของเธอดีขึ้นเล็กน้อยจริงๆ ถ้อยคำก็มีความแข็งแกร่งขึ้นด้วย
แม่จิ้นที่อีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์มือถือได้ยินการสนทนาของพวกเขา รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบถามเสียงดัง “เฟิงเฉิน สื้อสื้อเป็นอะไร”
เสียงของแม่จิ้นดังออกมาทางโทรศัพท์มือถือ เจียงสื้อสื้อได้ยิน
เธอเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เอ่ยถ่มขึ้นเงียบๆ “คุณแม่เหรอคะ”
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า ก่อนจะเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบหู “คุณแม่ครับ เดี๋ยวเรากลับไปค่อยคุยนะครับ”
เมื่อพูดจบก็ไม่ได้ใส่ใจว่าทางฝั่งแม่จิ้นจะถามอะไรอีก เขาจัดการวางสายทันที
เจียงสื้อสื้อกัดริมฝีปาก “คุณแม่รู้เรื่องของฉันเหรอ”
“ไม่รู้”
“งั้นก็ดีค่ะ” เจียงสื้อสื้อโล่งอก
เธอไม่อยากให้คนในครอบครัวเป็นห่วง ดังนั้น——–
“งั้นคุณอย่าบอกความจริงกับพวกเขาเด็ดขาดนะคะ” เจียงสื้อสื้อคว้าแขนเสื้อจิ้นเฟิงเฉิน
เธอรู้ว่าเขาจะเข้าใจความรู้สึกของเธอ
“ได้”
จิ้นเฟิงเฉินช่วยลูบจัดเส้นผมให้เธอพร้อมกับเอ่ยเสียงเบาว่า “เรากลับบ้านกันเถอะ”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “อืม”
……
หลังจากวางสายโทรศัพท์ แม่จิ้นก็สีหน้าไม่ค่อยดี เธอหันหน้าไปมองจิ้นเฟิงเหรากับส้งหวั่นชีง “ฉันได้ยินการพูดคุยระหว่างเฟิงเฉินกับสื้อสื้อ พวกเขามีเรื่องปิดบังเราอยู่แน่ๆ”
จิ้นเฟิงเหรากดไหล่ของเธอพลางปลอบว่า “คุณแม่ครับ คุณอย่าเพิ่งคิดไปก่อนเลย พี่ชายกับพี่สะใภ้จะกลับมาแล้วไม่ใช่เหรอครับ มีเรื่องอะไรรอพวกเขากลับมาก็ชัดเจนเอง”
“แกพูดก็ถูก” แม่จิ้นพยักหน้า “แต่ถ้ามีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับพวกแกแล้วจะทำยังไงล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นส้งหวั่นชีงก็หัวเราะออกมา “คุณแม่คะ คุณคิดมากเกินไปแล้ว พี่สะใภ้กับพี่ชายไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
แม่จิ้นคิดว่าก็หวังว่าเป็นเพียงตนที่คิดมากไป ลูกชายคนโตกับลูกสะใภ้ไม่ได้เกิดเรื่องอะไร แต่เป็นเพราะเธอไม่สบายใจเอง
ประมาณครึ่งชั่วโมงผ่านไป แม่จิ้นกำลังรอคอยอย่างคาดหวัง ในที่สุดจิ้นเฟิงเฉินกับเจียงสื้อสื้อก็กลับบ้านมา
“สื้อสื้อ หนูเป็นอะไรลูก” แม่จิ้นรีบไปทักทายเธอ คว้าสองมือของเจียงสื้อสื้อและถามไถ่อย่างร้อนใจ
“เกิดอะไรขึ้นคะ” เจียงสื้อสื้อหันมองจิ้นเฟิงเฉินด้วยหน้าตาเหลอหลา
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มให้เธอ ก่อนจะพูดกับแม่จิ้นว่า “คุณแม่ สื้อสื้อไม่ได้เป็นอะไรครับ แค่ไม่สบายเล็กน้อยเท่านั้น”
“ไม่สบายเหรอ” แม่จิ้นรีบสำรวจสถานการณ์ของเจียงสื้อสื้อหัวจดเท้า “ไม่สบายตรงไหน ต้องการให้เรียกแพทย์ประจำตระกูลมาไหม”
เห็นแม่จิ้นท่าทางตึงเครียด เจียงสื้อสื้อจึงรู้สึกว่าที่ตนตัดสินใจเลือกว่าจะปิดบังความจริงเอาไว้นั้นถูกต้องแล้ว
“คุณแม่คะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ” เจียงสื้อสื้อจับสองมือของแม่จิ้น ใบหน้าเล็กยิ้มสวยเต็มแก้ม “ฉันแค่…ทานอะไรผิดไป ก็เลยไม่สบายท้องค่ะ”
“ไม่สบายท้องเหรอ…” แม่จิ้นพยักหน้าอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เห็นเจียงสื้อสื้อมสีหน้าท่าทีสงบไม่เหมือนกำลังพูดโกหก
ดังนั้นแม่จิ้นจึงเชื่อ
“พรุ่งนี้ฉันจะให้ครัวจัดเตรียมอาหารที่ดีต่อกระเพาะ เพื่อให้หนูได้บำรุงกระเพาะและลำไส้นะจ๊ะ” แม่จิ้นบอก
เจียงสื้อสื้อยิ้ม “ขอบคุณค่ะคุณแม่”
“พี่สะใภ้ครับ คุณไม่รู้หรอกว่าคุณแม่เป็นห่วงคุณกับพี่ชายมากแค่ไหน” จิ้นเฟิงเหรามองแม่ตัวเองอย่างอ่อนใจ เขาแค่อยากดูทีวีเป็นเพื่อนภรรยาแต่ก็ไม่สามารถดูได้อย่างสบายใจ
“ไปๆๆ ไปดูละครของแกเถอะไป”
แม่จิ้นมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ นั่นทำให้คนอื่นๆ ขบขัน