ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 929 คิดไม่ถึงว่าจะกล้าหักหลังฉัน
หลังจากป๋ายหลี่สืบสวนแล้ว สองวันต่อมา ที่โกดังร้างในอิตาลี พบโหราเดือยไก่กับเมล็ดต้นแสลงใจจำนวนมาก
กล่องสมุนไพรถูกวางเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ ทั้งยังเป็นกล่องใหม่อีกด้วย
ดูจากที่เห็น สมุนไพรเหล่านี้เพิ่งมาถึงโกดังแห่งนี้ได้ไม่นานนัก
ป๋ายหลี่สั่งลูกน้อง “ถ่ายรูปไว้ ถ่ายทั้งหมดที่นี่”
ตอนนี้พวกเขายังไม่สามารถย้ายยาเหล่านี้ได้ เผื่อว่ามันจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ต้องบอกให้เบอร์เกนรู้ทุกอย่างว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
“คุณป๋าย ถ่ายไว้ทั้งหมดแล้วครับ” ลูกน้องส่งรูปที่ถ่ายเรียบร้อยแล้วเข้าโทรศัพท์มือถือของป๋ายหลี่
ป๋ายหลี่เอาโทรศัพท์มือถือมาเลื่อนๆ ดู แล้วพยักหน้า “พวกนายจับตาดูไว้ ฉันจะกลับไปรายงานคุณเบอร์เกนก่อน”
“ครับ”
ป๋ายหลี่รีบกลับมาในชั่วข้ามคืน เบอร์เกนเตรียมจะพักผ่อนแล้ว แต่เขากลับถูกรบกวนขึ้นมา
“ได้เรื่องไหม” เบอร์เกนนั่งบนโซฟา ดวงตาเฉียบคมราวกับเหยี่ยวจับจ้องตรงไปยังป๋ายหลี่
ป๋ายหลี่ไม่ตอบ แต่เดินไปยื่นโทรศัพท์มือถือให้ “คุณดูเองเลยครับ”
“มันคืออะไร”
เบอร์เกนเปิดโทรศัพท์มือถือแล้วก้มหน้าดู ก่อนจะสีหน้าเปลี่ยนทันที “โหราเดือยไก่กับเมล็ดต้นแสลงใจ”
“ใช่ครับ สิ่งที่คุณเห็นควรจะเป็นพวกสมุนไพรที่ถูกเผาไปแล้ว”
“เจอที่ไหน” เบอร์เกนถาม
“โกดังร้างแห่งหนึ่งครับ”
“มีหลักฐานว่าโกดังนั่นเป็นของSAกรุ๊ปไหม”
ป๋ายหลี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า “ผมได้ตรวจสอบแล้ว โกดังนั่นถูกทิ้งร้างมาหลายปี แต่แท้ที่จริงเป็นโกดังของSAกรุ๊ป”
เมื่อได้คำตอบยืนยัน เบอร์เกนก็โกรธจัดขึ้นมาทันควัน “ไอ้เวรจอห์น คิดไม่ถึงว่าจะกล้าหักหลังฉัน!”
จอห์นตระหนักดีว่าโหราเดือยไก่กับเมล็ดต้นแสลงใจมีความสำคัญต่อการวิจัยในปัจจุบันมากเพียงใด แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้วิธีต่ำช้าแบบนี้มาขัดขากัน
เพราะเบอร์เกนโกรธมาก หน้าอกจึงกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
สายตาป๋ายหลี่เกิดประกายแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “คุณเบอร์เกน ตอนนี้เราจะทำยังไงดีครับ”
“ทำยังไงเหรอ” เบอร์เกินกระตุกมุมปากอย่างเย็นชา ดวงตามีแต่ความดุร้าย “ฉันจะให้ไอ้เวรจอห์นกับSAกรุ๊ปรู้ว่าการหักหลังฉันไม่มีวันมีจุดจบที่ดี”
……
ในขณะเดียวกัน จิ้นเฟิงเฉินก็ได้รับสายจากเห้อซูหาน
“คุณชาย ทุกอย่างเป็นไปตามแผนค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จิ้นเฟิงเฉินก็กระตุกยิ้มมุมปาก “งั้นก็ดี เธอจับตาดูต่อไป”
“ค่ะ”
เห้อซูหานกำลังจะวางสาย ขณะนั้นเองเสียงของจิ้นเฟิงเฉินจู่ๆ ก็ดังขึ้น “ซูหาน ถ้ามีข่าวของฝู้จิงเหวินก็บอกฉันด้วย”
“ฝู้จิงเหวินเหรอคะ เขาทำไมเหรอ”
เห้อซูหานคิดว่าฝู้จิงเหวินทำเรื่องอะไรอีกแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะร้อนใจเล็กน้อย
“ไม่มีอะไร ถ้าได้รู้สถานการณ์ของเขาก็บอกฉันแค่นั้นพอ”
ซึ่งเห้อซูหานก็ไม่ได้ถามมากอีก “ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
บ่ายวันนั้น ตระกูลจิ้นมีแขกที่ไม่คาดฝันคนหนึ่งมาหา
“ญาติผู้พี่ คุณมาได้ยังไงคะ”
เมื่อแม่บ้านขึ้นมาบอกว่ามีแขกมาขอพบ เจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินก็ลงมาข้างล่างทันที
ทันทีที่เห็นว่าเป็นฟางยู่เชิน เจียงสื้อสื้อก็เกิดอาการไม่คาดฝัน
แต่จิ้นเฟิงเฉินนิ่งเฉยไม่ได้มีอาการอะไร
“คุณปู่คิดถึงพวกเธอ แต่คนสูงอายุไม่สะดวกที่จะมา ฉันจึงมาแทนเขา” ฟางยู่เชินยิ้มบางมองเธออย่างอ่อนโยน
เมื่อพูดถึงคุณท่านฟาง สีหน้าเจียงสื้อสื้อก็อดไม่ได้ที่จะมีร่องรอยความรู้สึกผิด “ควรเป็นฉันที่เป็นฝ่ายไปเยี่ยมคุณตาถึงจะถูกค่ะ”
หลังจากงานวันแซยิดของคุณตา เฟิงเฉินก็เดินทางไปติดต่อธุรกิจ ส่วนร่างกายของเธอก็ประสบปัญหา ดังนั้นจึงไม่มีเวลาว่างไปเยี่ยมคุณตาเลย
“คุณปู่โกรธมาก”
ฟางยู่เชินพูดอย่างเป็นเรื่องใหญ่ เจียงสื้อสื้อสีหน้าเปลี่ยนทันที “คุณตาโกรธจริงๆ เหรอคะ”
“เธอว่าไงล่ะ” ฟางยู่เชินเลิกคิ้ว
เจียงสื้อสื้อไม่ได้สังเกตเห็นแววตาขำขันของเขา เชื่อคำพูดของเขาสนิท มีอาการร้อนรนเล็กน้อย “แล้วจะทำยังไงดีล่ะคะ หรือฉันควรโทรหาคุณตาตอนนี้เลยดี”
เมื่อพูดอย่างนั้นแล้วเธอก็กำลังจะขึ้นไปโทรศัพท์ข้างบน
“สื้อสื้อ” เจียงเฟิงเฉินจับเธอไว้
เจียงสื้อสื้อหันหน้ากลับมามองเขา
“เขาล้อคุณเล่น”
ล้อเล่นเหรอ
เจียงสื้อสื้อมองไปยังฟางยู่เชิน แล้วก็เห็นเขาเขี่ยจมูกก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว
“ทำไมคุณน่ารังเกียจแบบนี้” เจียงสื้อสื้อแกล้งทำเป็นโกรธและผลักเขาไปนิดหน่อย
ฟางยู่เชินหัวเราะอย่างไม่ปิดบัง “ก็แค่ขำๆ น่า”
“ยังจะบอกว่าขำๆ อีก ฉันกลัวจนจะตายเพราะคุณอยู่แล้ว” เจียงสื้อสื้อถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์
เธอไม่อยากให้คุณตาโกรธตัวเอง
“งั้นต่อไปเธอก็ไม่เยี่ยมคุณปู่บ่อยๆ สิ” ฟางยู่เชินเก็บรอยยิ้ม สีหน้าเริ่มจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“ได้ค่ะ ฉันรู้แล้ว”
ตอนนี้ตระกูลฟางก็ไม่สงบ แน่นอนว่าคุณตาคงใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นสุข
“เฟิงเฉิน หาเวลาหน่อยนะ เราพาเสี่ยวเป่าเถียนเถียนไปเยี่ยมคุณตาที่เมืองหลวงกัน”
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า “ได้”
“คุณลุง!”
ในตอนนั้นเอง เสียงเด็กน้อยเสียงหนึ่งก็ดังมา
เป็นเถียนเถียน
เธอวิ่งเข้าหาฟางยู่เชินด้วยขาสั้นๆ
“เถียนเถียน” ฟางยู่เชินย่อตัวลงทันที พร้อมกับกางแขนออก
เถียนเถียนโผเข้าหาอ้อมกอดของเขา เขาโอบกอดไว้แล้วอุ้มขึ้น
“คุณลุงคะ เถียนเถียนคิดถึงคุณมากๆ เลย” เถียนเถียนพูดพลางโอบรอบคอเขา เสียงหวานไพเราะเหมือนชื่อของเธอ
“ฉันก็คิดถึงหนู” ฟางยู่เชินลูบศีรษะของเธอ ความรู้สึกรักและเอ็นดูเกินกว่าจะบรรยาย
เสี่ยวเป่าก็เดินเข้ามาด้วย แต่แตกต่างกับเถียนเถียน เขาเพียงทักทายอย่างมีมารยาท “คุณลุงครับ”
เขามีความสุขุมแตกต่างจากวัยของเขา ดูไปแล้วก็เหมือนเป็นจิ้นเฟิงเฉินรุ่นจิ๋ว
ฟางยู่เชินเอ็นดูเขามาก ยื่นมือไปหยิกแก้มของเขา “เสี่ยวเป่า คุณลุงก็คิดถึงเธอเหมือนกัน”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ เสี่ยวเป่าก็ค่อนข้างเก้อเขินทำตัวไม่ถูก พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ผมก็ด้วยครับ”
แม่จิ้นเดินเข้ามา และยิ้มให้กับฟางยู่เชิน “ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ ไปนั่งในห้องนั่งเล่นเร็วเข้า”
“คุณป้า สวัสดีครับ ผมฟางยู่เชิน เป็น…” เขาเรียกทักทายอย่างสุภาพ
“เป็นญาติผู้พี่ของสื้อสื้อ สื้อสื้อเคยบอกฉันแล้วจ้ะ” แม่จิ้นขัดจังหวะคำพูดของเขาด้วยรอยยิ้ม
“แบบนี้นี่เอง” ฟางยู่เชินเหลือบมองเจียงสื้อสื้อ
แม่จิ้นหัวเราะและพูดอย่างใจดี “ทำตัวตามสบายนะจ๊ะ คิดว่ามันเป็นบ้านของตัวเอง”
“ครับ”
หลายๆ คนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น แม่บ้านนำชาและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้
“กำลังจะได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ยู่เชินก็อยู่ทานอาหารด้วยกันเสียที่นี่เลยนะจ๊ะ” แม่จิ้นพูด
ฟางยู่เชินชะงักไป “ได้เหรอครับ”
“ได้แน่นอนสิจ๊ะ” แม่จิ้นคิดว่าปฏิกิริยาของเขาค่อนข้างตลก จากนั้นจึงบอกว่า “พวกเราดองกันแล้ว ต่อไปนี้ทั้งสองครอบครัวจะต้องหาโอกาสมาทานอาหารร่วมกันนะ”
ถึงแม้ว่าแม่ของสื้อสื้อจะออกจากตระกูลไปหลายปีแล้ว แต่ดูจากทัศนคติที่คุณท่านฟางมีต่อสื้อสื้อ จึงควรปล่อยวางเรื่องในอดีตไปเสีย
ด้วยเหตุนี้ มันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทั้งสองตระกูลจะมีการพบปะสังสรรค์กัน
ทีแรกฟางยู่เชินยังกังวลอยู่ว่าถ้าตระกูลจิ้นรับรู้สถานการณ์ของตระกูลฟางแล้วจะตีตัวออกห่าง คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มเอ่ยปากพูดแบบนี้ขึ้นมาก่อน เขาจึงรีบแสดงออกทันที “ได้ครับ เดี๋ยวกลับไป ผมจะคุยกับคุณปู่เลย”
แม่จิ้นครุ่นคิดอย่างจริงจัง “เอาแบบนี้เถอะ เอาไว้ฉันเลือกวันเหมาะๆ ได้แล้ว ครอบครัวของฉันจะไปเยี่ยมผู้อาวุโสที่เมืองหลวงนะ”
“ได้ครับ” ฟางยู่เชินพยักหน้า
เจียงสื้อสื้อมองแม่จิ้น รู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก
“คุณแม่ดีจริงๆ เลยค่ะ” เจียงสื้อสื้อกระซิบข้างหูจิ้นเฟิงเฉิน
จิ้นเฟิงเฉินเลิกคิ้ว “แล้วผมล่ะ”
เจียงสื้อสื้อหัวเราะ “ก็ดีเหมือนกันค่ะ”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มและจับมือเธอ