ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 951 ขี้ขลาดไม่ยอมลงมือ
“น้าชายเล็ก พี่ชาย”
เจียงสื้อสื้อทักทายตามมารยาท
“พวกคุณมากันแล้ว นั่งลงเร็ว” ฟางเถิงพูดทักทายตอนที่พวกเขากำลังนั่งลง
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ฟางเถิงก็เริ่มเอ่ยปากถามก่อน “ทำไมถึงมาช้าขนาดนี้ล่ะ?”
“ไม่ใช่ พวกเขามาถึงตั้งแต่บ่ายแล้ว แต่ไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อกับพี่สามที่โรงพยาบาลแหละ”
ซ่างหยิงตักน้ำแกงไปด้วยและตอบแทนพวกของเจียงสื้อสื้อด้วย
ฟางเถิงยิ้ม “พวกคุณช่างมีน้ำใจ”
เจียงสื้อสื้อยิ้มตอบรับแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เอานี่ สื้อสื้อ ดื่มน้ำแกงสักหน่อย” ซ่างหยิงเอาน้ำแกงที่ตักเสร็จเรียบร้อยส่งให้ถึงมือของเจียงสื้อสื้อ
“ขอบคุณค่ะ”
เจียงสื้อสื้อก้มหน้าก้มตาซดน้ำแกง เวลานี้เอง พลันมีเสียงของฟางยู่เชินดังขึ้นมาข้างหู “น้องเขย เดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จแล้วรบกวนขอเวลาคุณสักหน่อยได้ไหม?”
น้ำเสียงของเขาคอยระมัดระวัง ทำเหมือนจิ้นเฟิงเฉินเป็นคนน่ากลัวเช่นนั้น
เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้น และพูดก่อนที่จิ้นเฟิงเฉินจะตอบกลับ “พี่ชาย พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน พี่ไม่ต้องพูดกับฉันระแวดระวังขนาดนี้ก็ได้”
ฟางยู่เชินผงะทันที จากนั้นก็ยิ้มออกมา “ฉันไม่ได้ระแวดระวังอะไร แค่รู้สึกทำตัวไม่ถูก”
“ก็ได้” เจียงสื้อสื้อหันศีรษะไปมองผู้ชายที่อยู่ด้านข้าง “พี่ชายฉันถามคุณอยู่เนี่ย”
จิ้นเฟิงเฉินเหลือบมองเธออยู่แวบหนึ่ง มุมปากฉีกยิ้มเล็กน้อยเหมือนไม่ใส่ใจอะไร จากนั้น ก็ตอบกลับอย่างอ่อนโยน “แน่นอนว่าต้องได้สิ”
เมื่อเห็นว่าเขาตอบตกลงแล้ว ฟางยู่เชินจึงถอนหายใจโล่งอก “งั้น เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วพวกเราไปคุยกันที่ห้องหนังสือนะ”
จิ้นเฟิงเฉินตอบอย่างราบเรียบ “อืม”
หลังจากที่กินข้าวแล้ว ฟางยู่เชินพาจิ้นเฟิงเฉินไปยังห้องหนังสือ
ส่วนเจียงสื้อสื้อนั้นซ่างหยิงเป็นคนนำทาง เพื่อพามายังห้องพักของมารดาที่เคยอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้
“ที่นี่ไม่ได้ขยับอะไรให้เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด” ซ่างหยิงพูดขึ้นมา
ห้องพักขนาดใหญ่ ตกแต่งในสไตล์ยุโรป มีห้องแต่งตัวกับห้องน้ำแยกต่างหาก ตรงกลางยังมีเตียงสไตล์เจ้าหญิงแบบยุโรปวางเอาไว้ พร้อมทั้งมีมุ้งสีชมพูอ่อนคลุมลงมา ผ้าปูเตียงเป็นลูกไม้ การตกแต่งโดยรอบประมาณว่าเป็นลูกไม้เกือบทั้งหมด
เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าคุณตากับคุณยายจะเลี้ยงดูแม่ฉันเหมือนกับเจ้าหญิงเลย”
“ลูกที่คุณตาคุณยายรักมากที่สุดก็คือแม่ของหนู”
“ดังนั้นแม่ฉันเลยกล้าที่จะค้านหัวชนฝา เพื่อพ่อแล้วถึงกับหักหน้าคุณตาเลย”
เพราะอาศัยความรักทะนุถนอมของพ่อกับแม่ แม่ก็เลยยอมไร้ความปรานีขนาดนั้น
แต่ว่าสิ่งที่ตัดขาดออกไปผลลัพธ์ที่ได้กลับมามันทำร้ายตนเอง และก็ยังเป็นการทำร้ายคนในครอบครัวของเธอด้วย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจของเจียงสื้อสื้อรู้สึกลำบากใจขึ้นมาทันที
ถ้าปีนั้นมารดายอมฟังคุณตา ก็คงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมาหลายปีถึงเพียงนั้น
เหมือนมองความคิดที่อยู่ในใจของเธอออก ซ่างหยิงวางมือลงบนไหล่ของเธออย่างแผ่วเบา พร้อมทั้งพูดอย่างอ่อนโยน “ฉันคิดว่าถ้าเวลามันย้อนกลับไปได้ แม่ของหนูก็คงตัดสินใจเหมือนเดิม”
เจียงสื้อสื้อหันกลับไปมองเธอ
“เพราะว่าคนเราเมื่อได้เจอกับความรักแล้วก็ไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งนั้น เวลานั้น พวกเขาสองคนรักกันมาก ความรักมาเร็วก็ไปจากเราเร็วเช่นเดียวกัน”
ซ่างหยิงเห็นถึงความรักระหว่างฟางเสว่มั่นกับเจียงเจิ้น
เดิมคิดว่าพวกเขาจะอยู่กันไปจนแก่จนเฒ่า แต่ที่ไหนได้สุดท้ายแล้วก็ต้องแยกจากกันอยู่ดี
จนมีอาการรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย ซ่างหยิงสูดลมหายใจเข้าออก พร้อมทั้งฉีกยิ้ม “พอแล้ว เราไม่พูดเรื่องนี้กันแล้ว พวกเราลงไปข้างล่างไปกินผลไม้กันเถอะ”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “ค่ะ”
……
ห้องหนังสือ
ฟางยู่เชินเอาสัญญาที่ถูกปฏิเสธการลงนามเซ็นชื่อในวันนี้เอาออกมา
“น้องเขย ฉันอยากจะให้นายดูสัญญาฉบับนี้สักหน่อยว่ามันมีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง”
ตอนที่กำลังพูด เขาก็ยื่นสัญญาให้จิ้นเฟิงเฉิน
จิ้นเฟิงเฉินรับมา จากนั้นก็เปิดดูอย่างไม่พูดไม่พูดพร่ำทำเพลง
บริเวณโดยรอบเงียบสนิท ได้ยินแต่เสียงพลิกกระดาษไปมา
ฟางยู่เชินกลืนน้ำลายลงคออย่างตื่นเต้น ในเวลานี้ราวกับตอนนี้เขาเหมือนนักเรียนคนหนึ่งที่กำลังรอให้ครูตรวจการบ้านอยู่เช่นนั้น
รังสีของจิ้นเฟิงเฉินมันแข็งแกร่งมาก แถมยังยืนอยู่ข้างเขาคนเดียวโดดๆ เช่นนั้นก็สามารถสัมผัสได้กับความรู้สึกกดดันอย่างแรงกล้า
ท่ามกลางอาการประหม่าของฟางยู่เชินตัวเขาเองก็คิดว่าเมื่อไหร่ที่ตนเองจะมีรังสีอันแข็งแกร่งได้เช่นนี้
เป็นแบบนี้แล้ว ลูกหลานคนบ้านใหญ่กับบ้านรองพวกนั้นก็ไม่กล้ามาดูถูกเขาสุ่มสี่สุ่มห้าแล้ว
“นี่คือเงื่อนไขที่เจรจากันระหว่างนายกับอีกฝ่ายเหรอ?”
ในที่สุดจิ้นเฟิงเฉินก็ดูจบแล้ว พลันเงยหน้ามองฟางยู่เชิน
“อืม ฉันยื่นเงื่อนไข”
“มันเอื้อประโยชน์มากเกินไป” จิ้นเฟิงเฉินพูดออกมา “คุณเสนอเงื่อนไขออกไปต่ำซะขนาดนี้ งั้นมันก็เท่ากับว่าเอาเงินไปส่งถึงมือให้อีกฝ่ายฟรีๆ เลยเหรอ?”
ฟางยู่เชินไม่ได้ตอบกลับ
“ผมรู้ว่าคุณเพิ่งเข้ามาสืบทอดฟางซื่อกรุ๊ป และยังรีบร้อนเพื่อทำคะแนนให้เห็นออกมา แต่ว่าการกระทำของคุณเช่นนี้ มันไม่ได้”
ฟางยู่เชินได้แต่เกาท้ายทอยด้านหลังอย่างเก้อเขิน “ถูกคุณจับได้ซะแล้ว”
แวบเดียวเขาก็มองเรื่องในใจของตนเองออก ฟางยู่เชินนอกจากความเคารพนับถือแล้วยังมีความชื่นชมด้วยความเคารพอีกด้วย
จิ้นเฟิงเฉินเหลือบตามองเขาเล็กน้อย จากนั้นก็ถามกลับอย่างราบเรียบ “ไม่ได้เซ็นสัญญาเหรอ?”
“เปล่า อีกฝ่ายเขาเกิดเสียใจขึ้นมาแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น จิ้นเฟิงเฉินยิ้มทันที “เสียใจขึ้นมาแล้วงั้นเหรอ?”
“อืม ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมา ผมได้เสนอเงื่อนไขที่ดีขนาดนี้แล้วให้ แต่กลับถูกปฏิเสธเสียอีก”
ฟางยู่เชินคิดไม่ออก
“มีคนแอบเล่นตุกติก” จิ้นเฟิงเฉินเอาสัญญาวางลงบนโต๊ะ “เสนอเงื่อนไขที่ดีขนาดนี้แล้วยังไม่เซ็นอีก ไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้วนอกจากว่ามีคนคอยขัดขวางอยู่”
“ความจริงแล้วผมก็คิดแบบนี้แหละ”
บริเวณโดยรอบเริ่มสงบอีกครั้ง ฟางยู่เชินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “เช่นนั้นผมจะทำอย่างไรดี?”
“ไปหาเซ็นสัญญากับเจ้าอื่นแทน”
จิ้นเฟิงเฉินเลิกคิ้วขึ้น “ถ้าผมเดาไม่ผิดแล้วละก็ คุณก็ทำเช่นนี้ ใช่ไหม?”
“อื้อ” ฟางยู่เชินพยักหน้ารับ “ที่ผมมาขอคำชี้แนะจากคุณ คือกลัวว่าตนเองจะทำไม่ถูกต้อง”
เพราะว่าเขาเพิ่งเข้ามารับช่วงต่อจากฟางซื่อกรุ๊ป มีคนคอยจับจ้องอยู่ไม่น้อย ดังนั้นในการเดินของเขาต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาแล้ว คนเหล่านั้นไม่มีทางปล่อยตนเองแน่
จิ้นเฟิงเฉินชูมือขึ้นและตบบ่าเขาเบาๆ พร้อมทั้งพูดอย่างหนักแน่น “ความสามารถของคุณก็ไม่ได้ด้อยเลย ไม่จำเป็นต้องขี้ขลาดหวาดกลัวจนไม่กล้าทำอะไรแบบนี้ คุณต้องเชื่อมั่นในตัวเอง”
“คุณต้องจำไว้ บางครั้งยิ่งระวังมากเกินไปมันก็จะผิดพลาดได้ง่ายกว่าเดิม ระดับความเหมาะสมมันได้แล้ว ไม่งั้น มันจะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มันตรงกันข้ามในสิ่งที่เราหวังไว้”
“ได้ ผมจำได้ขึ้นใจแล้ว”
ฟางยู่เชินยิ้มให้ “ขอบคุณ คุณมาก น้องเขย”
จิ้นเฟิงเฉินดึงมือกลับ “มีตรงไหนที่ต้องการให้ผมช่วย คุณก็พูดออกมาตรงๆ ได้เลย”
ฟางยู่เชินคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็เสนอความคิดของตนเองออกไปอย่างกล้าหาญ “ผมคิดว่าพรุ่งนี้จะให้คุณไปบริษัทพร้อมกับผม”
“ได้สิ” จิ้นเฟิงเฉินตอบตกลงอย่างไม่ลังเลใดๆ
แม้ว่าเขาจะอยู่ที่ฟางซื่อกรุ๊ปแต่ไม่สามารถจะยืนหยัดได้อย่างมั่นคง เช่นนั้นก็ไปช่วยให้เขายืนหยัดได้อย่างมั่นคง การทำเช่นนี้สื้อสื้อก็คงสบายใจไปด้วย
ฟางยู่เชินไม่คิดเลยว่าเขาจะตอบตกลงได้รวดเร็วขนาดนี้ จนเขาถึงแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นถึงได้สติกลับมา ความยินดีปรากฏให้เห็นอยู่บนใบหน้า “น้องเขย ผมไม่รู้เลยว่าจะขอบใจคุณยังไงดี”
“ครอบครัวเดียวกันไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้นก็ได้”
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เดินตามหลังติดๆ ลงมาด้านล่าง
“พวกคุณคุยกันเสร็จแล้วเหรอ?” ซ่างหยิงถามอย่างสงสัย
“อื้อ”
ฟางยู่เชินเดินเข้ามาหา พร้อมทั้งยิ้มเล็กน้อยให้เจียงสื้อสื้ออย่างอ่อนโยน “น้องสาว พรุ่งนี้ฉันขอยืมเวลาของน้องเขยสักหน่อย ได้ไหม?”
เจียงสื้อสื้อผงะไปชั่วครู่ “ได้สิ”
“ฉันยังคิดว่าน้องจะตอบปฏิเสธนะเนี่ย” ฟางยู่เชินพูดหยอกล้อ
“แล้วทำไมต้องตอบไม่เห็นด้วยล่ะ? ฉันเป็นคนขี้เหนียวขนาดนั้นเลย?” เจียงสื้อสื้อแกล้งทำท่าโกรธตอนมองมาทางเขา
จิ้นเฟิงเฉินเดินมานั่งข้างเธอ เธอเองก็เอาส้อมจิ้มแอปเปิลมาหนึ่งชิ้นแล้วก็ยื่นให้เขา “กินแอปเปิลสักหน่อย”
ฟางยู่เชินพูดติดตลก “เป็นไปได้ยังไง นี่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าคอยกังวลเรื่องคู่สามีภรรยาที่ไม่ยอมแยกจากกันหรอกเหรอ”
เจียงสื้อสื้อหน้าร้อนผ่าว จากนั้นก็อ้าปากพูดเปลี่ยนเรื่องแทน “พี่ พี่ทำงานอยู่บริษัทยังสบายดีอยู่ใช่ไหม?”
นิสัยน้าชายใหญ่และน้าชายรองแล้ว ต้องคอยรังแกเขาที่บริษัทอยู่ไม่น้อย
ฟางยู่เชินยักไหล่เล็กน้อย “ถ้ามันดีจริง แล้วทำไมฉันต้องมายืมน้องเขยด้วยล่ะ”