ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 957 ชดใช้คืน
ฟางยู่เชินยิ้มให้ “พวกคุณสองคน…”
เขาไตร่ตรองคำพูดออกมา “ตอนนี้พอจะว่างไหม?”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้าให้ “ว่างค่ะ”
“งั้นไปทางนั้น ผมจะแนะนำคนให้พวกคุณรู้จัก”
เมื่อพูดจบ ฟางยู่เชินก็หันตัวกลับก่อน
“พวกเราก็ไปกันเถอะ” เจียงสื้อสื้อพูด
จิ้นเฟิงเฉินหันศีรษะกลับมา เมื่อเห็นว่าฟางยู่เชินเดินมาถึงด้านหน้าของผู้ชายคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าพูดอะไรอยู่ ทั้งสองคนหันมาพร้อมกัน
“เฟิงเฉิน คุณเป็นอะไรไป?” เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับเขยื้อนเลย เจียงสื้อสื้อถามขึ้นอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไร” จิ้นเฟิงเฉินจับมือของเธอ “พวกเราไปกันเถอะ”
“ตกลง”
เมื่อเห็นว่าจิ้นเฟิงเฉินและเจียงสื้อสื้อเดินเข้ามาซ่างกวนเชียนจัดเนกไทเล็กน้อย รอให้พวกเขาเดินมาทางด้านหน้า ก็ยื่นมือขวาออกไป “คุณท่านจิ้น สวัสดีครับ ผมคือซ่างกวนเชียน”
“สวัสดีครับ” จิ้นเฟิงเฉินจับมือกับเขา
“สวัสดีครับ คุณหญิงจิ้น” ซ่างกวนเชียนพยักหน้าให้เจียงสื้อสื้อ
เจียงสื้อสื้อก็ตอบอย่างยิ้มแย้ม “สวัสดีค่ะ”
“น้องเขย คุณซ่างกวนเป็นคนจัดงานเลี้ยงการกุศลในคืนนี้” ฟางยู่เชินพูดแนะนำให้ “ตระกูลซ่างกวนกับตระกูลก็เป็นนักธุรกิจที่ประกอบกิจการด้านวัสดุยา สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือพวกเขามีศูนย์วิจัยของตนเอง ที่คอยศึกษาตัวยาใหม่ๆ ”
เมื่อได้ยินดังนั้น นัยน์ตาของจิ้นเฟิงเฉินพลันแสดงอารมณ์ออกมาอย่างรวดเร็วแต่ไม่สามารถสัมผัสได้
“เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับทางตระกูลฟางแล้ว พวกเราตระกูลซ่างกวนก็เป็นแค่พ่อมดน้อยมาเจอกับพ่อมดใหญ่ ไม่สามารถเอามาพูดเทียบเคียงได้เลย”
ซ่างกวนเชียนพูดอ่อนน้อมถ่อมตนและยังไม่ลืมยกยอให้ตระกูลฟาง
เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะมองเขาอยู่หลายครั้ง
เขาดูเหมือนอายุใกล้เคียงกับเฟิงเฉิน แต่ว่านิสัยของทั้งสองคนไม่เหมือนกันเลย คนหนึ่งเย็นชาอีกคนอ่อนโยนอบอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนใบหน้าของเขายังมีแว่นตาขอบทอง มันทั้งเรียบร้อยและอ่อนโยนมาก
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ในใจของเธอนั้นรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
หรือว่าเป็นเพราะผ่านเรื่องราวมากมาย เธอเลยแอบรู้สึกว่าคนที่มีท่วงท่าเช่นนี้มีกลอุบายมาก
หรือว่าจับสัมผัสสายตาของเธอได้ ซ่างกวนเชียนมองมาหา พร้อมยิ้มให้เธอ
ในใจเธอหยุดเต้นทันที พร้อมทั้งรีบยิ้มตอบ จากนั้นก็ไม่มองเขาอีกเลย
“คุณท่านจิ้น พวกเราสามารถมาร่วมมือกันได้ถ้ามีโอกาส” ซ่างกวนเชียนกล่าว
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้าให้ “แน่นอน”
ซ่างกวนเชียนเป็นคนช่างพูด สามารถพูดคุยกับจิ้นเฟิงเฉินได้ตั้งแต่เรื่องตลาดหุ้นไปจนถึงการลงทุนในต่างประเทศ
จิ้นเฟิงเฉินได้แต่ฟังอย่างมีมารยาท บางทีก็พยักหน้าให้ ที่เหลือคือไม่ได้พูดอะไรออกมา
คำพูดเหล่านี้มันช่างยากเย็นสำหรับเจียงสื้อสื้อ เธอฟังแล้วมึนงงจนอยากจะนอนแล้ว
“เหนื่อยเหรอ?” จิ้นเฟิงเฉินสังเกตเห็นแล้ว พร้อมทั้งกระซิบถามข้างหูเธอ
“นิดหน่อย”
เจียงสื้อสื้อปิดปากแล้วหาวออกมา
งานเลี้ยงคืนนี้มันช่างไม่สนุกจริงๆ เลย ยังไม่เท่ากับอยู่บ้านนั่งดูละครเป็นเพื่อนน้าสะใภ้เล็กเลย
ร่างกายของเธอไม่อนุญาตให้เธอได้เหนื่อยล้าเกินไป
ดังนั้น จิ้นเฟิงเฉินเลยพูดตรงๆ “คุณซ่างกวนขอโทษด้วย พวกเราต้องขอตัวกลับก่อนแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่างกวนเชียนตกใจเล็กน้อย “งานเลี้ยงยังไม่เลิกเลย? ทำไมถึงได้รีบร้อนกลับล่ะ?”
“ร่างกายของเธอไม่ค่อยสบาย ผมต้องพาเธอกลับไปพักผ่อน”
ซ่างกวนเชียนมองมาทางเจียงสื้อสื้อ ก็เห็นว่าสีหน้าของเธอไม่ค่อยดีจริงๆ ด้วย เลยไม่สามารถฉุดรั้งพวกเขาเอาไว้
“งั้นได้สิ หวังว่าต่อไปพวกเราคงมีโอกาสได้ร่วมงานกัน” สีหน้าของซ่างกวนเชียนยังคงมีรอยยิ้มแต่ต้นจบถึงตอนนี้ ที่ไม่ทำให้คนเรารู้สึกจอมปลอม
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้าชายเล็กน้อย
“เช่นนั้นผมไปส่งพวกคุณออกจากงาน” ซ่างกวนเชียนกล่าว
จิ้นเฟิงเฉินตอบปฏิเสธ “ไม่จำเป็นหรอก อยู่ที่นี่เถอะ”
ซ่างกวนเชียนเองก็ไม่ได้ดื้อรั้น “เดินทางดีๆ นะ”
“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของคุณค่ะ” เจียงสื้อสื้อพยักหน้าให้เขา จากนั้นก็คล้องแขนจิ้นเฟิงเฉินเดินออกไป
เมื่อใช้สายตามองส่งพวกเขาออกไปแล้ว จนไม่เห็นเงาในกระบอกตาแล้ว ซ่างกวนเชียนดึงสายตากลับมา และหันไปทางฟางยู่เชิน “ประธานฟาง ได้ข่าวว่าฟางซื่อกรุ๊ปกับจิ้นกรุ๊ปร่วมมือกันสร้างบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?”
ฟางยู่เชินยิ้มเล็กน้อย “ข่าวของคุณซ่างกวนนี่ช่างว่องไวมากเลยแหละ”
“ข่าวใหญ่โตขนาดนี้เกรงว่าไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่รู้ล่ะมั้ง?” ซ่างกวนเชียนถามกลับ
ฟางยู่เชินพยักหน้า “ก็ใช่อีก”
“ผมคิดว่าผมสามารถเข้าร่วมด้วยได้ไหม?” ซ่างกวนเชียนถามกลับ
ฟางยู่เชินคิดว่าตนเองนั้นฟังผิดไป “คุณซ่างกวนเมื่อครู่คุณพูดว่าอะไรนะ?”
“บริษัทของเราทั้งสองบริษัทต่างก็ทำธุรกิจด้านตัวยาเหมือนกัน แถมทางตระกูลซ่างกวนมีเจ้าหน้าที่วิจัยของตนเอง และมีศูนย์วิจัยอย่างเพียบพร้อม ผมคิดว่าบริษัทใหม่ของพวกคุณอาจจำเป็นต้องใช้เทคนิคทางด้านนี้”
ตอนที่พูดเรื่องเหล่านี้ออกมา ดูเหมือนซ่างกวนเชียนภาคภูมิใจเล็กน้อย
แต่ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมันเป็นความจริง การร่วมมือกันของตระกูลจิ้นกับตระกูลฟางสำหรับบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ มีความต้องการพนักงานด้านวิจัยด้านมืออาชีพอยู่ไม่น้อยจริงๆ
ถ้าทางตระกูลซ่างกวนสามารถสนับสนุนได้ เช่นนั้นก็สามารถลดเรื่องไปได้อีกไม่น้อย
ฟางยู่เชินเริ่มหวั่นไหวแล้ว แต่ว่าเขาไม่ได้ตอบตกลงทันที เพราะว่าบริษัทไม่ใช่ของเขาคนเดียว
“ผมจะไปคุยกับน้องเขยดู ถึงตอนนั้นผมค่อยให้คำตอบกับคุณ”
ซ่างกวนเชียนไม่รีบร้อนเอาคำตอบ เขายิ้มแล้วตอบกลับ “มีคำพูดประโยคนี้ของคุณก็เพียงพอแล้ว”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่สักพัก หลังจากนั้นฟางยู่เชินก็ถูกคนมาเรียกไป เหลือแค่ซ่างกวนเชียนอยู่คนเดียว
“คุยกันเป็นยังไงบ้าง?” ซ่างกวนหยวนถือแก้วเหล้าอยู่ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกอดอกอยู่ จากนั้นก็เดินก้าวอาดๆ เข้ามาข้างกายเขา
ซ่างกวนเชียนเหลือบตามองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นพร้อมทั้งกระดกเหล้าเข้าปากหมดแล้ว “เฉยๆ แหละ”
“ดูแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ” ซ่างกวนหยวนจิบเหล้าเข้าปาก ริมฝีปากแดงเม้มปาก ตอนที่ดวงตาและคิ้วเคลื่อนไหวช่างดูมีเสน่ห์เหลือเกิน
“แกคิดว่าเรื่องที่ฉันอยากทำมันจะไม่ประสบผลสำเร็จเหรอ?” ซ่างกวนเชียนหยิ่งผยอง
ซ่างกวนหยวนหัวเราะเล็กน้อย “ถ้าวันนี้เป็นเหมือนเมื่อก่อน บางทีฉันอาจจะเชื่อนาย แต่ว่าครั้งนี้นายไปเจอกับจิ้นเฟิงเฉินเข้า มันเลยดูมืดหม่นเล็กน้อย”
“ผู้หญิงก็คือผู้หญิงวันยังค่ำ คิดเรื่องอะไรก็ดูผิวเผินได้ขนาดนี้”
ซ่างกวนเชียนชี้ไปทางฟางยู่เชินที่อยู่ไม่ไหล จากนั้นก็พูดต่อ “จิ้นเฟิงเฉินไม่อาจต่อกรได้ แต่ฟางยู่เชินไม่เหมือนกัน เขาเพิ่งเข้ามาสืบทอดกิจการของฟางซื่อกรุ๊ป ในใจก็คงอยากทำคะแนนอย่างรีบร้อนแน่น คนประเภทนี้แหละเป็นคนที่ว่านอนสอนง่ายที่สุดแล้ว”
ซ่างกวนหยวนใช้ความคิดอยู่สักครู่ตอนที่มองมาทางฟางยู่เชิน สักพัก ก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วยิ้มพูด “งั้นก็ขออวยพรให้นายทำสำเร็จ”
พูดจบ เธอก็หันกลับไปเพื่อเตรียมตัวเดินไป
“หยวนหยวน รอเดี๋ยว” ซ่างกวนเชียนดึงมือของเธอเอาไว้
เธอไม่หันกลับมา
“ถ้าครั้งนี้ฉันทำสำเร็จแล้ว งั้นสิ่งที่คุณตกลงกับผมไว้มันสามารถเป็นไปตามสัญญาไหม?”
ซ่างกวนหยวนหลุบตาต่ำ ไม่มีคนเห็นถึงความรู้สึกที่อยู่ในดวงตาของเธอ
“หยวนหยวน?”ผ่านไปนานก็ไม่ได้ยินเธอตอบกลับมา ซ่างกวนเชียนขมวดคิ้วขึ้น
“คุณวางใจได้ ฉันซ่างกวนหยวนคำสัญญาที่ให้ไว้ก็จะเป็นไปตามสัญญา”
สะบัดมือของเขาออกซ่างกวนหยวน ก็ก้าวเท้าเดินจากไป ใบหน้าอันงดงามไร้ความรู้สึกใดๆ ดวงตาทั้งสองข้ามดั่งมีความเย็นชาปกคลุมอยู่อีกชั้น มันหนาวเหน็บซะเหลือเกิน
“หยวนหยวน ฉันจะต้องทำให้ได้” ซ่างกวนเชียนมองด้านหลังของเธอ พร้อมทั้งแสดงอาการความทะเยอทะยานออกมา
……
ตลอดทางกลับ เจียงสื้อสื้อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่งานเลี้ยง จนหัวคิ้วบางขมวดไว้แน่น
เธอหันศีรษะกลับไปสนใจจิ้นเฟิงเฉินที่กำลังขับรถอยู่ “เรื่องของฟางเย้นชิง คุณไม่ต้องบอกน้าชายเล็กกับน้าสะใภ้เล็กพวกเขาได้ไหม?”
ไม่คิดว่าเธอจะพูดออกมาเช่นนี้ แววตาของจิ้นเฟิงเฉินฉายแววตาประหลาดใจออกมาเล็กน้อย ริมฝีปากบางเผยอขึ้น “มีอะไรหรือเปล่า?”
เจียงสื้อสื้อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ตอนนี้คุณตาก็นอนอยู่ที่โรงพยาบาล คุณก็รู้ว่าแม่ของฉันร่างกายก็ไม่ค่อยดี คุณไปบอกพวกน้าชายเล็กก็เท่ากับบอกแม่ฉันด้วย”
เธอไม่อยากให้มารดาคอยเป็นห่วงเธอ และยิ่งไม่อยากให้ตระกูลฟางวุ่นวายจนเป็นเรื่องใหญ่โตเพราะว่าไอ้สัตว์นรกอย่างฟางเย้นชิงอีกครั้ง
จิ้นเฟิงเฉินเข้าใจความหมายของเธออย่างชัดเจน จากนั้นก็ปล่อยมือออกมาข้างหนึ่งแล้วลูบลงบนศีรษะของเธอ พร้อมทั้งเอ่ยอย่างแผ่วเบา “คุณวางใจได้เลย ผมไม่บอกพวกเขาหรอก แต่ก็ไม่ปล่อยฟางเย้นชิงไปเช่นกัน”
ไอ้สัตว์นรกตัวหนึ่งมันกล้าทำเรื่องมิดีมิร้ายกับสาวน้อยของตนเอง ก็ควรจะชดใช้ในสิ่งที่ตนเองกระทำออกมา