ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่1065แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
ซ่างหยิงถอนหายใจ “จะทำอะไรก็แล้วแต่ ยังไงฉันก็ไม่เข้าใจเรื่องของวัยรุ่นอย่างพวกแกอยู่แล้ว”
อย่างไรก็ตามเธอยังหันไปพูดกับโม่เหยียว่า “ฉันเชื่อว่าหยวนหยวนจะไม่ทำร้ายสื้อสื้อแน่นอน”
โม่เหยียยิ้มด้วยความจนใจ “นายหญิงฟางครับ ผมแค่พูดไปอย่างนั้นแหละครับ คุณไม่ต้องคิดมากนะครับ”
เห็นได้ชัดว่าเธอชอบซ่างกวนหยวนมาก โม่เหยียจึงไม่ได้พูดอะไรมากอีก
ตอนที่เจียงสื้อสื้อได้รู้เรื่องนี้นั้น เธอก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจนัก
“มันเหมือนพฤติกรรมที่หยวนหยวนจะทำมาก” เธอยิ้ม “แต่ความตั้งใจของเธอก็แค่ต้องการช่วยฉันเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อทำร้ายฉันเลย”
“คุณหญิงคะ ทำไมแม้แต่คุณยังพูดแบบนี้ล่ะคะ?”
สิ่งนี้ทำให้หานยู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนใจซ่างกวนหยวนขึ้นมา อยากมากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหน ถึงทำให้พวกเขาพูดแทนเธอแบบนี้ได้
“เพราะความจรรยาบรรณของความเป็นหมอไงคะ” เจียงสื้อสื้อยักคิ้วขึ้น “ถ้าเป็นพวกคุณ ก็คงไม่ยอมปล่อยให้คนตายไปต่อหน้าหรอกจริงมั้ยคะ?”
“พวกเราเหรอคะ?” หานยู่เหลือบมองโม่เหยีย “ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันจะสนใจไวรัสในร่างกายของคุณมากยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ”
“ผมด้วยครับ” โม่เหยียเห็นด้วย
สำหรับนักวิจัยยาแบบพวกเขา ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าการได้พบไวรัสตัวใหม่หรอก
เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ตามที่พวกคุณพูด หยวนหยวนก็เหมือนกับพวกคุณใช่มั้ยคะ?”
“มันควรจะเป็นอย่างนั้นค่ะ” หานยู่พยักหน้า “ถ้าเธอไม่สนใจ แล้วเธอจะคิดค้นยาออกมาได้ยังไงคะ?”
โม่เหยียขมวดคิ้ว “จริงด้วย พูดถึงเรื่องนี้ ผมอยากรู้จริงๆ ว่าเธอไปเอาไวรัสมาจากไหน”
ในระหว่างที่พูดอย่างนั้น เขามองไปที่เจียงสื้อสื้อ
เจียงสื้อสื้อสบตากับเขาแล้วกะพริบตาปริบๆ”พวกคุณคงไม่ได้คิดว่าเอาไปจากฉันใช่ไหมคะ?”
โม่เหยียกับหานยู่ไม่ได้ตอบ แต่การแสดงออกของพวกเขาบอกกับเจียงสื้อสื้อว่าพวกเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ
“มันไม่น่าจะเป็นไปได้” เจียงสื้อสื้อปฏิเสธ
หานยู่ยักคิ้วขึ้น “ทำไมมันถึงเป็นไปไม่ได้คะ?”
“เพราะถ้าได้มันจากตัวฉันจริง แล้วฉันจะไม่รู้ตัวได้ยังไง?” เจียงสื้อสื้อครุ่นคิด เธอรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เธอจำไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ถ้าไม่ใช่คุณ แล้วเธอไปเอาไวรัสมาจากไหน?”
กลับไปที่ปัญหาที่แรกอีกครั้ง
เจียงสื้อสื้อส่ายหัว “ไม่รู้ค่ะ”
ทันใดนั้น เธอนึกถึงบางสิ่งเข้า คิ้วบางๆของเธอขมวดเข้าหากัน “เดี๋ยวก่อน ดูเหมือนฉันจะลืมอะไรไปอย่างหนึ่ง”
“เรื่องอะไรเหรอครับ?” โม่เหยียถาม
เจียงสื้อสื้อกัดริมฝีปาก “ฉันเคยเป็นลมครั้งหนึ่งขณะกินข้าวกับเธอ ฉันตื่นขึ้นมาที่บ้านของเธอ หรือว่า…”
เธอไม่กล้าที่จะคิดลึกลงไปกว่านั้น
“ไม่แน่ว่าเธออาจจะแอบดึงเลือดของคุณในขณะที่คุณเป็นลมอยู่ก็ได้”
การคาดเดาอย่างกล้าหาญของหานยู่ ทำให้เจียงสื้อสื้อต้องตกใจ
พูดตามตรง เธอไม่อยากมองว่าซ่างกวนหยวนเป็นผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์แบบนั้น แต่เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ซ่างกวนหยวนก็ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่โม่เหยียพูดจริงๆนั่นแหละ
เมื่อเห็นสีหน้าของเธอไม่ค่อยดี หานยู่จึงพูดปลอบใจเธอว่า “คุณหญิงคะ ต่อให้เธอจะแอบเอาเลือดของคุณไปค้นคว้าจริง แต่มันก็ไม่เป็นไรค่ะ ตราบใดที่เธอไม่ได้คิดร้ายกับคุณ ก็ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
“คุณคิดผิดแล้ว” โม่เหยียไม่เห็นด้วยกับเธอ “พวกคุณรู้ไหมว่าทำไมเธอถึงแอบฉีดยานั้นเข้าไป?”
“ทำไมเหรอคะ?” เจียงสื้อสื้อถามด้วยความสงสัย
“เพราะนั่นเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยของเธอ เธอจำเป็นต้องรู้ว่ายาที่เธอค้นคว้ามามันจะทำปฏิกิริยาอะไรกับไวรัส”
คนที่ทำการวิจัยทางการแพทย์เหมือนกัน โม่เหยียรู้ดีว่าซ่างกวนหยวนกำลังคิดอะไรอยู่
สีหน้าของหานยู่เริ่มเคร่งขรึมขึ้นมา “คุณพูดถูก มันเป็นแบบนั้นจริงๆ หากยามีปัญหา คุณหญิงก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย”
แค่คิดแบบนั้นโม่เหยียกับหานยู่ก็ตัวสั่นแล้ว
“จะบอกว่าฉันโชคดีมากที่รอดมาได้ใช่มั้ยคะ” เจียงสื้อสื้อถามอย่างติดตลก
“คุณหญิง ต่อไปก็ระวังหน่อยนะครับ ทางที่ดีนอกจากผมกับหานยู่แล้วก็ห้ามให้ใครรู้สภาพร่างกายของคุณอีก” โม่เหยียตั้งใจแนะนำ
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “ตกลงคะ ฉันจะระวังให้มากกว่านี้”
หลังจากมั่นใจว่าเธอไม่เป็นแล้ว โม่เหยียกับหานยู่ก็กลับไปที่เมืองจิ่นวันนั้นเลย
ส่วนเจียงสื้อสื้อนั้นตั้งใจจะไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ที่โรงพยาบาล แต่ก่อนที่เธอจะออกไปข้างนอก แขกที่ไม่ได้รับเชิญสองคนก็เข้ามา
นั่นก็คือ เฉินหยุนกับลูกสะใภ้คนรองของเธอ
ไม่ได้มาดี
แต่ซ่างหยิงยังคงยิ้มและถามไปว่า “พี่สะใภ้รอง ทำไมวันนี้คุณถึงมีเวลามาเอาป่านนี้ล่ะคะ?”
เฉินหยุนทำเสียงฮึดฮัด “ทำไม ฉันมาไม่ได้เหรอ?”
“พี่สะใภ้รอง ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” ซ่างหยิงอธิบายอย่างรวดเร็ว “ฉันแค่คิดว่าช่วงนี้คุณกำลังยุ่งอยู่กับงานมงคลอยู่ แล้วเอาเวลาที่ไหนมาถึงที่นี่ได้?”
“งานมงคลเหรอ?”
เฉินหยุนเยาะเย้ย “แน่นอนว่ามันเป็นงานมงคลสำหรับพวกคุณอยู่แล้ว แต่สำหรับฉัน มันเป็นงานอัปมงคลต่างหาก!”
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?” ซ่างหยิงถามอย่างเป็นห่วง
“ถามเธอดูสิ” เฉินหยุนผลักผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเธอออกมา
ผู้หญิงคนนั้นมองไปที่ซ่างหยิงแล้วก้มหน้าลง เธอดูค่อนข้างปวกเปียก ไม่ได้ดูมีพิษสงเหมือนอย่างเคยเลย
ซ่างหยิงขมวดคิ้วขึ้น “ซานซาน บอกป้าซิว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“ฉัน…” ซานซานกัดริมฝีปาก ดูเหมือนจะลำบากใจมาก
“น้าสะใภ้เล็กคะ” เจียงสื้อสื้อเดินลงชั้นล่างอย่างมีความสุข แต่เมื่อเห็นเฉินหยุนกับซานซานรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ค่อยๆ จางลง
“สื้อสื้อ พักนี้เธอสบายดีมั้ย?” เฉินหยุนถามออกมาพร้อมกับรอยยื้มที่แฝงด้วยความนัย สายตาที่มองเจียงสื้อสื้อก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เจียงสื้อสื้อ
เดินไปและพยายามขยับมุมปากของเธออย่างไม่เต็มใจนัก “ก็ดีนะคะ”
“จริงเหรอ?” เสียงของเฉินหยุนสูงปรี๊ดขึ้นมาทันที “แต่ฉันกลับมีช่วงเวลาที่เลวร้ายมากเลย!”
เจียงสื้อสื้ออยากจะย้อนเธอจริงๆ ว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ?
แต่ก็ยังอดกลั้นมันไว้ได้ “น้าสะใภ้รองคะ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
“เกิดอะไรขึ้นกับฉันเหรอ? ก็เธอนั่นแหละที่เป็นคนทำ!” เฉินหยุนตะคอกออกมาอย่างโกรธเคือง “ถ้าเธอไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาสร้างปัญหา จนทำให้เย้นซินต้องอับอายมากขนาดนั้น แล้วเขาต้องมาแต่งงานกับผู้หญิงไม่เอาไหนแบบนี้ไหม?!”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เจียงสื้อสื้อก็ตกตะลึงอย่างมาก
เธอจะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองขอให้ซานซานไปก่อปัญหา?
เธอมองไปที่ซานซานโดยไม่รู้ตัว ซานซานสบตากับเธอ จากนั้นก็เบือนหน้าหนี
“พี่สะใภ้รอง พี่หมายความว่ายังไงคะ ทำไมฉันไม่เข้าใจเลย?” ซ่างหยิงสีหน้างุนงง
“ฉันบอกว่า แม่นี่ให้ซานซานไปก่อปัญหาในวันเกิดพี่รองของเธอ แล้วยังข่มขู่เราด้วย” เฉินหยุนกัดฟัน และทุกคำพูดออกจากปากของเธออย่างชัดเจน
ซ่างหยิงขมวดคิ้วและหันไปมองเจียงสื้อสื้อ “สื้อสื้อ ที่น้าสะใภ้รองของหนูพูดมามันจริงหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่อยู่แล้วค่ะ” เจียงสื้อสื้อปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด “หนูไม่รู้จักซานซานเลยด้วยซ้ำ แล้วหนูจะเธอไปก่อความวุ่นวายได้ยังไงคะ?”
เฉินหยุนเย้ยหยัน “เธอไม่ยอมรับใช่ไหม? ก็ได้ ซานซาน เธอพูดสิ ว่าใช่แม่นี่รึเปล่าที่ส่งเธอไปก่อความวุ่นวาย?”
ซานซานเหลือบมองเจียงสื้อสื้อ มองต่ำลง ราวกับว่าเธอมีความมุ่งมั่นอย่างมาก จากนั้นก็ส่ายหัว “ไม่ใช่ค่ะ ไม่มีใครขอให้ฉันไปก่อเรื่องทั้งนั้น ฉันไปด้วยตนเองค่ะ”