ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่1132 ความสุขที่เรียบง่าย
ในคืนที่จัดงานวันเกิด ฟางยู่เชินไม่ได้เลิกงานเร็วกว่าปกติ อีกทั้งยังทำงานนอกเวลาจนเกือบจะสองทุ่มจึงค่อยๆไปที่บ้านตระกูลเย่
ระหว่างทาง เขารับโทรศัพท์จากแม่ของเขาซ่างหยิง
“ไอ้ลูกเวร แกจงใจใช่มั้ย” เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธของแม่ดังมาจากทางปลายสายนั้น
ฟางยู่เชินกระตุกยิ้มมุมปาก “แม่ครับ ถ้าผมบอกว่าไม่ใช่ แม่จะเชื่อมั้ย”
“แกคิดว่าแม่จะเชื่อเหรอ” ซ่างหยิงย้อนถามเขา
“ไม่เชื่อ”
ข้างหน้าเป็นไฟแดง ฟางยู่เชินค่อยๆเหยียบเบรกรถ พูดว่า “แม่ครับ พอดีมีประชุมทางโทรศัพท์ ดังนั้นก็เลยสายขนาดนี้ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“ดีที่สุดขอให้เป็นอย่างนั้น ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน”
“อยู่ระหว่างทางไปบ้านตระกูลเย่ครับ”
“เอาของขวัญไปด้วยหรือเปล่า”
ฟางยู่เชินหันไปมองถุงที่วางอยู่บนเบาะข้างคนขับ ตอบว่า “แม่วางใจได้ ผมเอามาแล้ว”
“อย่างนั้นก็ดี ถึงแล้วอย่าลืมทักทายกับคุณอาเย่กับคุณน้าเย่ของลูกด้วย รู้มั้ย”
เธอเห็นเขาเป็นเหมือนเด็กน้อยอย่างนั้น แม้แต่เรื่องพื้นฐานง่ายที่สุดก็ยังต้องคอยกำชับ
เขาถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ “แม่ครับ ผมรู้แล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว แค่นี้ก่อนนะคะ ผมยังต้องขับรถนะครับ”
ตอนที่เขาเตรียมจะวางสายนั้น ซ่างหยิงรีบร้องเตือนขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว ทำตัวดีๆกับเย่เสี่ยวอี้หน่อย รู้มั้ย”
“รู้แล้วครับ วางแล้วนะ”
ไม่รอให้แม่พูดอะไร เขาวางสายทันที
เขาหัวเราะเบาๆ ความจริงเขาคิดจะนำของขวัญไปมอบให้ แล้วก็จากไปเลย
พอไฟเขียวสว่าง เขาก็ออกรถ ขับมุ่งหน้าไปทางคฤหาสน์ตระกูลเย่ตามขบวนรถ
……
เมื่อถึงสถานที่จัดงานวันเกิด คนรับใช้ของตระกูลเย่ก็นำเขาไปพบกับเย่เสี่ยวอี้
เย่เสี่ยวอี้อยู่ข้างกายพ่อของเธอ เหม่อลอยเล็กน้อย หันไปมองทางด้านนอกเป็นครั้งคราว
เสิ่นมั่นชิงสังเกตเห็นแล้ว อดไม่ได้ที่จะกระเซ้าเย้าแหย่ว่า “คนนี้ยังไม่มา ใจลูกก็ไม่สงบเสียแล้วเหรอ”
ความรู้สึกของตนเองถูกมองออกแล้ว เย่เสี่ยวอี้กระทืบเท้า “แม่!”
พ่อเย่ที่อยู่ข้างๆหัวเราะร่วนพูดว่า “ลูกสาวโตแล้วก็ต้องออกเรือน”
“พ่อ ทำไมแม้แต่พ่อก็……” เย่เสี่ยวอี้เบะปาก ถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ
“พ่อทำไมเหรอ” พ่อเย่สีหน้างุนงง
“หนูเป็นลูกสาวสุดที่รักของพ่อนะคะ หรือว่าพ่อก็อยากจะให้หนูแต่งงานกับยู่เชินแบบนี้เหรอคะ”
พูดถึงแต่งงานกับยู่เชิน เย่เสี่ยวอี้ก็เขินอายจนก้มหน้าหนี
“อ้าว” พ่อเย่ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “ที่แท้ลูกก็ไม่อยากแต่งเหรอ อย่างนั้นเรื่องการหมั้นหมายของสองตระกูล พ่อก็คงต้องปฏิเสธแล้ว”
“ไม่ได้ค่ะ!” เย่เสี่ยวอี้ร้อนใจขึ้นมาทันที พอเธอเงยหน้าขึ้นมาก็สบตาเข้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของพ่อเย่
ทันใดนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขากำลังแกล้งแหย่เธอ
เธอโกรธแล้ว เมินหน้าหนี “พ่อ หนูไม่สนใจพ่อแล้ว”
เวลานี้เอง จู่ๆพ่อเย่ก็พูดขึ้นมาว่า “ยู่เชินมาแล้ว”
เย่เสี่ยวอี้ยังโกรธอยู่ คิดว่าเขาแกล้งเธออีกแล้ว ไม่ยอมหันหน้ามา “พ่อคะ หนูไม่มีทางเชื่อพ่อแล้ว”
“คุณอาเย่ คุณน้าเย่ สวัสดีครับ”
จนกระทั่งเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหู เย่เสี่ยวอี้จึงหันมา มองคนที่มาด้วยความตกใจ
ฟางยู่เชินมองเธอด้วยรอยยิ้มบางๆ ยื่นกล่องในมือมา “เสี่ยวอี้ สุขสันต์วันเกิด”
เย่เสี่ยวอี้มองเขาอย่างอึ้งตะลึง ไม่ปกปิดความหลงใหลในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“เสี่ยวอี้ ยังไม่รีบรับของขวัญของยู่เชินอีก” เสิ่นมั่นชิงผลักเธอเบาๆ
ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว รีบรับของขวัญมา “ขอบคุณค่ะ”
“รีบเปิดดูสิ ว่ายู่เชินให้อะไรกับลูก”
เสิ่นมั่นชิงเหลือบมองฟางยู่เชิน กระซิบเบาๆข้างหูลูกสาว
เย่เสี่ยวอี้มองสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของแม่ อยากจะบอกเธอมากว่าความจริงแล้วของขวัญนี้เธอเป็นคนเลือกเอง
เธอเปิดกล่องออก
เมื่อมองเห็นสร้อยคอเพชรในกล่อง รอยยิ้มบนใบหน้าของเสิ่นมั่นชิงก็ยิ่งสดใส สร้อยเส้นนี้แค่มองก็รู้แล้วว่าราคาไม่ใช่ถูกๆ
ดูท่ายู่เชินจะให้ความสำคัญกับวันเกิดของเสี่ยวอี้ไม่น้อย
“สวยมาก” เย่เสี่ยวอี้มองไปที่ฟางยู่เชิน หน้าอึดอัดเล็กน้อย “ยู่เชิน คุณช่วยใส่ให้ฉันได้มั้ย”
ฟางยู่เชินขมวดคิ้วเล็กน้อย
ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ ให้เขาช่วยใส่สร้อยคอให้ คืออยากให้ทุกคนเข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเขาผิดเหรอ
“ได้มั้ยคะ” แม้จะมองออกว่าเขาไม่เต็มใจ แต่เย่เสี่ยวอี้ก็ยังไม่ยอมถอดใจ
เสิ่นมั่นชิงที่อยู่ข้างๆพูดขึ้นว่า “ยู่เชิน ช่วยหน่อยนะ”
ผู้ใหญ่เอ่ยปากแล้ว ฟางยู่เชินก็ปฏิเสธไม่ได้ เขาหยิบสร้อยคอขึ้นมา
เย่เสี่ยวอี้ก็ขยับเข้าไปใกล้
ทั้งสองคนแทบจะใกล้ชิดกันมาก กลิ่นหอมสะอาดของเขาก็แทรกซึมเข้าไปในประสาทสัมผัสของเธอทันที หน้าแดงเรื่อด้วยความเขินอาย
พอคิดว่าต่อไปผู้ชายที่แสนดีคนนี้จะกลายเป็นสามีของตนเอง มุมปากของเธอก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
“เวยเวย เธอกำลังมองอะไร”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นข้างหู ดึงสติของเหลียงซินเวยกลับมา เธอหันไปมอง สบตาเข้ากับสายตาห่วงใยของเพื่อนร่วมงาน ยิ้มบางๆ “ไม่ได้มองอะไร”
เพื่อนร่วมงานมองไปตามทางที่เธอเพิ่งมอง เบิกตาโตด้วยความตกใจ “ว้าว คนนั้นคือแฟนของคุณเย่เหรอคะ หล่อมากสูงมากเลย”
เหลียงซินเวยมยกมุมปากขึ้นเบาๆ “น่าจะใช่นะ เอาละ ไม่ต้องมองแล้ว งานของพวกเรายังไม่เสร็จเลยนะ”
เธอลากเพื่อนร่วมงานไป และไม่ไกลจากด้านหลังของพวกเธอ พอฟางยู่เชินใส่สร้อยคอเสร็จแล้ว ก็ถอยหลังไปสองก้าว เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างตนเองกับเย่เสี่ยวอี้
“พ่อแม่คะ สวยมั้ย” เย่เสี่ยวอี้โชว์สร้อยคอให้พ่อแม่ดู
พ่อเย่และเสิ่นมั่นชิงล้วนพยักหน้าชมว่า “สวย สวยมาก ฟางยู่เชินตาแหลมมากจริงๆ”
“นั่นคือ” เย่เสี่ยวอี้ก้าวมาข้างหน้าควงแขนของฟางยู่เชิน “ยู่เชิน ฉันชอบสร้อยเส้นนี้ที่คุณให้มาก”
ฟางยู่เชินคลี่ยิ้มมุมปาก “เหรอครับ ชอบก็ดี
สร้อยเส้นนี้เธอเป็นคนเลือกเอง จะไม่ชอบเหรอ
“พ่อแม่ หนูอยากพาฟางยู่เชินไปพบกับเพื่อนของหนูค่ะ ได้มั้ยคะ” เย่เสี่ยวอี้ถาม
เธออยากจะแนะนำผู้ชายที่แสนดีคนนี้กับเพื่อนๆของเธอ รวมทั้งประกาศความเป็นเจ้าของของตนเองด้วยเลย
“ได้ลูก ได้แน่นอน” เสิ่นมั่นชิงพยักหน้าพลางยิ้มหวาน
“ยู่เชิน พวกเราไปกันเถอะ”
เย่เสี่ยวอี้ไม่ได้ถามความเห็นของฟางยู่เชินเลย ก็ลากเขาไปด้านในคฤหาสน์
ฟางยู่เชินแอบถอนหายใจในใจ ตอนแรกคิดว่าให้ของขวัญเสร็จก็จะกลับเลย ตอนนี้ดูท่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
ทันใดนั้น หางตาเขาเหลือบมองเห็นร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่ง
เขารีบหันไปมอง หลังจากที่มองเห็นคนคนนั้นชัดเจนแล้ว มุมปากก็ยกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่
เหลียงซินเวยมและเพื่อนร่วมงานสองคนรับผิดชอบแยกประเภทและจัดวางถาดอาหารบุฟเฟ่ต์บนโต๊ะ
“คนรวยก็คือคนรวย แค่งานวันเกิดก็จัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้” เพื่อนร่วมงานมองการจัดตกแต่งอย่างสวยงามรอบๆตัว อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความซาบซึ้ง
“ใช่สิ พวกเราอย่างมากก็แค่กินบะหมี่ก็ถือว่าฉลองวันเกิดแล้ว” เหลียงซินเวยมเงยหน้า ยิ้มให้กับเธอ
เพื่อนร่วมงานถอนหายใจอีก “ประโยคนี้ฟังแล้วทำไมมันเศร้าขนาดนี้นะ”
“ไม่ต้องเศร้า พวกเราก็มีความสุขแบบเรียบง่าย ไม่ใช่เหรอ”
เหลียงซินเวยมไม่ได้อิจฉาเย่เสี่ยวอี้ สำหรับเธอแล้ว เธอมีอานอานก็มีความสุขมากแล้ว
“แต่ว่าจนไง”
“ในเมื่อรู้ว่าจน ยังไม่รีบทำงานอีก ระวังจะโดนหักเงินเดือน” เหลียงซินเวยแกล้งแหย่เพื่อนร่วมงาน
พอเพื่อนร่วมงานได้ยิน ก็รีบตั้งสติ “ลำบากขนาดนี้ ยังถูกหักเงินเดือนอีก อย่างนั้นฉันก็ไม่มีความสุขแล้ว”
เหลียงซินเวยมองเห็นเพื่อนร่วมงานตั้งใจทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง ก็ส่ายหน้ากลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่
เธอหันไปมองตำแหน่งที่ฟางยู่เชินยืนอยู่เมื่อครู่ คนไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
รอยยิ้มอันขมขื่นคลี่ออกมาจากมุมปาก ตกลงว่าเธอกำลังคาดหวังอะไรอยู่กันแน่