ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่1242 จะไปกล้าหวังสูงถึงคุณได้ยังไง
เหลียงซินเวยขึ้นไปบนรถโดยสาร นั่งลงตรงแถวหลังสุด
เธอหันมองทิวทัศน์ที่วิ่งผ่านไปเรื่อยๆ ความรู้สึกเจ็บปวดปรากฏขึ้นที่แววตาของเธอเล็กน้อย
มันจบแล้ว
ความรักที่ยังไม่ทันได้เริ่มมันก็ได้จบลงไปแล้ว
ต่อไป เธอคงไม่ได้พบกับฟางยู่เชินอีก
พอคิดถึงตรงนี้ จมูกก็เกิดเมื่อยล้าขึ้นมา ดวงตาของเธอถูกบดบังไปด้วยหมอกบางๆ
เธอยกมือขึ้นมาเช็ด
ไม่จำเป็นต้องร้องไห้
เดิมที่เธอกับเขาก็อยู่โลกคนละใบกันอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็ถือเป็นการตัดความคิดถึงของเธออย่างเป็นทางการสักที
แต่ว่า หัวใจมันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บอยู่ดี
พอมาถึงร้านอาหาร เหลียงซินเวยก็เดินเข้าไปในต้องแต่งตัวของพนักงานทันที
หลังเปลี่ยนชุดเสร็จ เธอก็เตรียมจะออกไปข้างนอก แล้วเห็นส้งหร่านกำลังวิ่งเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางที่เร่งรีบ
“เวยเวย”
เหลียงซินเวยใส่ผ้ากันเปื้อนไป เอ่อถามไป “มีอะไรเหรอ?”
“มีคนมาหาเธอน่ะ”
“ใครเหรอ?”
เหลียงซินเวยขมวดคิ้ว ใครกันนะที่มาหาเธอเช้าขนาดนี้?
จู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
เธอยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง จะเป็นเขาไปได้ยังไง?
ส้งหร่านกลืนน้ำลาย แล้วตอบไปว่า “เป็นฟางยู่เชินน่ะ”
เหลียงซินเวยรู้สึกอึ้งไป เป็นเขาจริงๆ ด้วย
มือเล็กๆ กำแน่น เธอพูดไปว่า “ไปบอกเขา ว่าฉันกำลังยุ่ง ไม่ว่างไปเจอเขาหรอก”
ส้งหร่านมองเธอขึ้นๆ ลงๆ แล้วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “แต่เธอไม่ได้ยุ่งนี่”
เหลียงซินเวยรู้สึกรำคาญ “นี่เธอฟังไม่ออกเหรอว่าฉันไม่อยากเจอเขา?”
“อ๋อ” ส้งหร่านหันหลังเตรียมที่จะออกไป แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ หันกลับมาด้วยความสงสัยที่มีอยู่เต็มหน้า “แล้วทำไมเธอถึงไม่อยากเจอเขาด้วยล่ะ?”
นั่นเป็นถึงประธานของฟางซื่อกรุ๊ปเลยนะ เป็นชายในฝันของผู้หญิงมากมาย แต่เธอกลับบอกว่าไม่อยากเจอเขาซะงั้น นี่จะมันหลงตัวเองเกินไปมั้ย
“ส้งหร่าน!”
ตอนที่เธอเรียกชื่อออกมาห้วนๆ ส้งหร่านก็รับรู้ได้ทันทีว่าเธอนั้นโกรธแล้ว จึงได้แลบลิ้น แล้วแสดงรอยยิ้มที่เป็นมิตรออกมา “ฉันจะออกไปบอกเขาเดี๋ยวนี้เลย”
พูดจบ ก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อเธอเองก็ออกไปไม่ได้สักพักแล้ว
เหลียงซินเวยจึงได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างซับซ้อน
เธอไม่รู้ว่าการที่ฟางยู่เชินมาหาเธอนั้นต้องการอะไรกันแน่ แต่ถ้าเลี่ยงที่จะเจอเขาได้เธอก็เลือกที่จะไม่เจอดีกว่า เพื่อไม่ให้การตัดสินใจตัวเองต้องไขว้เขวอีก
ส้งหร่านเดินออกไปนอกร้าน มองไปก็เห็นผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าราวพอดี ขาของเธอหยุดชะงักลง ลังเลไปแป๊บหนึ่ง แล้วค่อยเดินเข้าไป
“คุณฟางคะ ต้องขอโทษด้วยค่ะ เวยเวยเธอกำลังยุ่งอยู่ เลยออกมาเจอคุณไม่ได้ค่ะ”
เธอสามารถมองเห็นความผิดหวังที่แสดงออกมาจากใบหน้าอันหล่อเหลานั่น
เธอรู้สึกทนไม่ได้ อ้าปากพะงาบพะงาบอยากบอกเขาว่าค่อยมาอีกทีวันหลัง แต่พอนึกถึงพฤติกรรมที่เหลียงซินเวยแสดงออกมา พอคำพูดมาถึงที่ปากก็ต้องถูกกลืนมันลงไปอีกครั้ง
การที่เวยเวยไม่อยากเจอเขา เธอคงต้องมีเหตุผลของตัวเองแน่ๆ
“เธอจะว่างเมื่อไหร่ครับ?” ฟางยู่เชินถาม
เขาเข้าใจดีว่าเหลียงซินเวยนั้นไม่อยากเจอเขา ไม่ใช่ยุ่งจนออกมาไม่ได้ซะหน่อย
แต่เขาไม่อยากยอมแพ้ไปทั้งอย่างนี้
เขาอยากคุยกับเธอให้ชัดเจน
สายตาของส้งหร่านเลิ่กลั่กไปแวบหนึ่ง “อะ……อันนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
ฟางยู่เชินครุ่นคิด แล้วถามไปว่า “ผมเข้าไปรอในร้านได้มั้ยครับ?”
“ถ้าเข้าไปทานอาหารก็ต้องได้อยู่แล้ว แต่ถ้าแค่ไปนั่งรอเวยเวยละก็ เกรงว่าคงจะไม่ได้ค่ะ”
ฟางยู่เชินมองเข้าไปในร้าน ครุ่นคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดไปว่า “ถ้าอย่างนั้นผมสั่งอะไรนิดหน่อยก็ได้ครับ”
เพราะไม่ว่ายังไง วันนี้เขาก็ต้องคุยกับเหลียงซินเวยให้รู้เรื่อง
ตอนที่เหลียงซินเวยออกมาแล้วเห็นฟางยู่เชินที่นั่งอยู่ตรงมุมร้าน เธอก็อึ้งไปพักหนึ่ง พอตั้งสติได้ เธอก็รีบวิ่งไปหาส้งหร่านทันที
“ทำไมเธอถึงไม่บอกฉันล่ะว่าเขาเข้ามาในร้านแล้ว?”
พอได้ยินเธอถามมาแบบนั้น ส้งหร่านก็ยิ้มออกมาอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษนะ เขาไม่ให้ฉันบอกเธอ ฉันเลยไม่ได้บอกน่ะ”
“นี่เธอยังเป็นเพื่อนฉันอยู่รึเปล่าเนี่ย?” เหลียงซินเวยเริ่มโมโหแล้ว
“พอแล้ว ไม่ต้องโกรธแล้ว” ส้งหร่านชี้ๆ ไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหัวมุม แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “เห็นแก่ความพยายามของเขา เธอก็ไปเจอเขาสักหน่อยเถอะ”
“เธอไม่รู้เลยว่า……” เหลียงซินเวยรู้สึกหงุดหงิดใจ
เธอไม่อยากใกล้ชิดกับฟางยู่เชินแล้วจริงๆ มันไม่ได้ส่งผลดีกับเธอเลย มันมีแต่จะทำให้เธอถลำลึกลงไปเรื่อยๆ
ส้งหร่านถอนหายใจออกมา “ใช่ ฉันมันไม่รู้จริงๆ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเธอ มันก็ควรต้องเผชิญหน้ากับมันไม่ใช่รึไง?”
เหลียงซินเวยใจเย็นลง แล้วพูดขอโทษไปเบาๆ “ขอโทษนะ ฉันค่อนข้างหงุดหงิด เลยพูดแรงไปหน่อย”
“ไม่เป็นไร” ส้งหร่านตบไหล่เธอเบาๆ “ว่าแต่เธอนั่นแหละ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“ฉัน……” เหลียงซินเวยเม้มๆ ปาก “เดี๋ยวถ้าฉันได้คุยกับเขาให้รู้เรื่อง ก็จะไม่เป็นไรแล้ว”
พูดจบ เธอก็เดินตรงไปหาฟางยู่เชิน ส้งหร่านดึงเธอเอาไว้
“นี่เวยเวย ไม่ว่าเธอมีปัญหาอะไรกับเขา เธอต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ให้ได้ เข้าใจมั้ย?” ส้งหร่านพูดเตือนด้วยความเป็นห่วง
เป็นอีกฝ่ายเป็นถึงประธานของบริษัทใหญ่ ถ้าไปมีปัญหาด้วยมันก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร
รู้ว่าเธอกำลังเป็นห่วงอะไร เหลียงซินเวยจึงตบๆ ไปที่มือของเธอ แล้วพูดปลอบไปว่า “เธอไม่ต้องเป็นห่วง จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นแหละ”
พอฟางยู่เชินเห็นเหลียงซินเวยเดินเข้ามาหา เขาก็รีบลุกขึ้นมา สายตาที่เคร่งขรึมจ้องไปยังใบหน้าเล็กๆ ที่สะสวยของเธอ
“เวยเวย”
รอเธอเดินมาใกล้ๆ เขาก็เรียกออกไปเบาๆ
เหลียงซินเวยมองเขาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แล้วถามไปด้วยน้ำเสียงที่เฉยชาว่า “ประธานฟาง ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ?”
การแสดงออกที่เย็นชาของเธอ ทำให้ฟางยู่เชินรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทันที
“เวยเวย เราสองคนห่างเหินแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ? เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอครับ?”
“คุณเป็นถึงประธานของฟางซื่อกรุ๊ป ส่วนฉันเป็นแค่พนักงานเล็กๆ คนหนึ่งของร้านอาหารเท่านั้น จะไปกล้าหวังสูงถึงคุณได้ยังไงคะ?”
คำพูดของเธอฟังแล้วก็เหมือนเหล็กปลายแหลมที่ทิ่มแทงเข้ามาในใจของเขา มันรู้สึกทรมานมาก
ฟางยู่เชินขมวดคิ้ว “คุณไปรู้จักคำพูดที่มันประหลาดๆแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
หาว่าเธอประหลาดอย่างนั้นเหรอ?
สายตาของเหลียงซินเวยกระตุกไปทีหนึ่ง สีหน้าเย็นชายิ่งกว่าเดิม เธอหันหน้าไป แล้วทำมือเหมือนเชิญให้เดินไป “ประตูอยู่ทางนั้น เชิญประธานฟางออกจากร้านด้วยค่ะ”
เธอคิด ระหว่างพวกเธอไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว
ฟางยู่เชินในตอนนี้ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “เวยเวย ผมไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจเหรอครับ? คุณถึงได้ทำตัวแบบนี้กับผม?”
เหลียงซินเวยเม้มมุมปาก ไม่ตอบอะไร
พอเห็นแบบนั้น ฟางยู่เชินก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ถ้าคุณโกรธเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น ผมต้องขอโทษคุณจริงๆ ตอนนั้นผมไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี เลยทำให้คุณต้องรู้สึกแย่”
พอพูดถึงเรื่องเมื่อคืนนั้น เหลียงซินเวยก็หลับตาไปพักหนึ่ง แล้วลืมตาขึ้น จากนั้นก็มองเข้าอย่างไม่พอใจ “ประธานฟางคะ คุณเป็นคนที่กำลังจะหมั้นแล้ว ทางที่ดีคุณก็ไม่ต้องมาหาฉันอีก ฉันกลัวมันจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็นขึ้น”
“ผมไม่ได้จะหมั้นสักหน่อย!” ด้วยความร้อนรน ฟางยู่เชินเลยพูดเสียงดังไปนิด ทำให้คนอื่นๆ ในร้านต่างก็หันหน้ามามอง
ฟางยู่เชินใจเย็นลง กำข้อมือของเหลียงซินเวยไว้แน่น แล้วพูดไปว่า “คุณมากับผม เราจำเป็นต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
ไม่รอให้เหลียงซินเวยได้ตั้งตัว เขาก็ดึงเธอออกจากร้านไปแล้ว
ส้งหร่านที่มองดูพวกเขาอยู่ไม่ไกล ขมวดคิ้วอย่างแรง สีหน้าค่อนข้างเป็นกังวล
สรุปนี่เวยเวยกับฟางยู่เชินมีปัญหาอะไรกันแน่เนี่ย?
“เสี่ยวส้ง ผู้ชายเมื่อกี้ใช่ฟางยู่เชินรึเปล่า?” ผู้จัดการเดินมาหาเธอแล้วเอ่ยเธอ
ส้งหร่านรีบตอบไปทันที “ใช่ค่ะ ฟางยู่เชินนั่นแหละ”
เมื่อได้คำตอบที่ชัดเจน สีหน้าของผู้จัดการก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที