ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่1276 เธอยอมแพ้ไปซะเถอะ
“หุบปาก!”
ซ่างกวนหยวนที่ถูกจี้ใจดำก็ได้ตะโกนออกมาเสียงดัง ดวงตาสองข้างจับจ้องมาที่เจียงสื้อสื้ออย่างโกรธเกรี้ยว
เจียงสื้อสื้อยังคงทำตัวสบายๆ แต่สองมือที่อยู่ข้างตัวกลับกำลังแสดงความรู้สึกจริงๆ ของเธอออกมาอยู่
เหมือนกับที่ซ่างกวนหยวนเกลียดเธอ เธอเองก็เกลียดซ่างกวนหยวนเหมือนกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะซ่างกวนหยวน เธอกับเฟิงเฉินก็ไม่ต้องแยกจากกัน
เรื่องที่เฟิงเฉินยืนอยู่ตรงหน้าแล้วจำไม่ได้ว่าเธอเป็นใคร ยิ่งไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน
“เจียงสื้อสื้อ ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะ ชีวิตนี้เรื่องของเธอกับเฟิงเฉินนั้นไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว” ซ่างกวนหยวนพูดพร้อมกับกัดฟันแน่น
“จริงเหรอ?” เจียงสื้อสื้อยักคิ้ว “ก่อนที่พวกเธอจะได้แต่งงานกัน อย่าเพิ่งมั่นใจขนาดนั้น”
“ถ้าเธอกล้าทำลายงานแต่งของฉันกับเฟิงเฉินละก็ ฉันไม่มีทางปล่อยเธอไว้แน่!” ซ่างกวนหยวนพูดเตือนเธอ
“เขาไม่ได้รักเธอ” เจียงสื้อสื้อมองไปยังจิ้นเฟิงเฉินที่ยืนอยู่ข้างหลังซ่างกวนหยวน ริมฝีปากสีแดงแย้มขึ้น “เขาไม่มีทางลืมฉันไปอย่างหมดสิ้นหรอก ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องจำฉันได้แน่นอน”
พอเห็นท่าทางที่มั่นอกมั่นใจของเธอ ซ่างกวนหยวนก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่สิ่งที่มากกว่าคือความละอายใจและความหวาดกลัว
เพราะเธอไม่สามารถยืนยันได้ว่า ชีวิตนี้จิ้นเฟิงเฉินจะจำเจียงสื้อสื้อไม่ได้แล้วจริงๆ รึเปล่า
ซ่างกวนหยวนไม่อยากเสวนากับเธอต่อแล้ว จึงได้หันไปพูดกับจิ้นเฟิงเฉินว่า “เราลงไปข้างล่างกันเถอะค่ะ”
พูดจบ เธอก็ยื่นมือไปจับมือของจิ้นเฟิงเฉิน
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ จิ้นเฟิงเฉินกลับหลบออก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตอบสนองแบบนี้
“เฟิงเฉินคะ?” ซ่างกวนหยวนมองเขาด้วยรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อ
จิ้นเฟิงเฉินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงต้องหลบมือของเธอด้วย แต่พอเห็นเธอที่ทำหน้าไม่ถูกจากความผิดหวังนั้น ในใจก็รู้สึกผิดขึ้นมา
ซ่างกวนหยวนช่วยชีวิตเขาไว้
แต่เหมือนเขาจะรู้สึกเชื่อในคำพูดของเจียงสื้อสื้อแล้ว
ผู้หญิงคนนี้ มักจะทำให้เขามีความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
พอนึกถึงตรงนี้ ความคิดของเขาก็เริ่มเตลิด จนถึงขั้นสงสัยว่า การที่เขาจะแต่งงานกับซ่างกวนหยวนนั้นมันเป็นเรื่องที่ถูกหรือผิดกันแน่
“เฟิงเฉิน เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ” ซ่างกวนหยวนถือโอกาสจับมือเขาไว้ เก็บความผิดหวังทั้งหมดเอาไว้ แล้วพูดด้วยท่าทางที่รักใคร่
จิ้นเฟิงเฉินตั้งสติได้ แล้วพยักหน้าเบาๆ “ครับ”
พอเห็นมือที่กุมเข้าหากันของทั้งคู่ เจียงสื้อสื้อที่อุตส่าห์มีความหวังขึ้นมา สีหน้าก็ดูเจ็บปวดขึ้นมาทันที ส่วนในใจนั้นหนักยิ่งกว่า
มันเจ็บยิบๆ ราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
ซ่างกวนหยวนรีบถือโอกาสพูดเสริมไปด้วยความได้ใจว่า “นี่สื้อสื้อ เธอยอมแพ้ไปซะเถอะ”
“ยอมแพ้เหรอ?” เจียงสื้อสื้อหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ขำออกมา “โชคร้ายหน่อยนะ พอดีฉันมันไม่เคยรู้จักคำว่ายอมแพ้มาก่อนน่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น สีหน้าของซ่างกวนหยวนก็ดูแย่ขึ้นมาทันที
เรื่องถึงขั้นนี้แล้วแท้ๆ ทำไมเธอถึงยังดื้อด้านได้ขนาดนี้นะ?
“เขาเป็นผู้ชายที่ฉันรักอย่างสุดหัวใจ ส่วนฉันก็เป็นผู้หญิงที่เขารักอย่างสุดหัวใจ ในจุดนี้มันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปได้หรอก”
พูดจบ เจียงสื้อสื้อก็เดินดุ่มๆ ออกไป
แต่ก่อนที่จะไป เธอก็ยังจ้องหน้าจิ้นเฟิงเฉินอย่างลึกซึ้งไปทีหนึ่ง
แวบเดียวที่มองไปนั้นมีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดออกไป
ต่อให้ผ่านไปหลายวันจิ้นเฟิงเฉินก็ลืมมันไม่ได้
พอเจียงสื้อสื้อไปแล้ว ซ่างกวนหยวนถึงได้ผ่อนคลายลง ในตอนนั้นเอง เธอเพิ่งรู้ตัวว่าฝ่ามือของเธอนั้นมีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา
พอเห็นเจียงสื้อสื้อลงมา ซ่างหยิงก็รีบเดินเข้าไปหาทันที
“เป็นยังไงบ้าง?”
เจียงสื้อสื้อส่ายหน้าเบาๆ
ซ่างหยิงขมวดคิ้ว “เป็นเพราะซ่างกวนหยวนใช่มั้ย?”
“ไม่ค่ะ” เจียงสื้อสื้อหายใจเข้าลึกๆ “ไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้น แต่เป็นหนูเองค่ะที่คิดง่ายเกินไป”
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ?” ซ่างหยิงถามด้วยความเป็นห่วง
เจียงสื้อสื้อเม้มปากแน่น คิดๆ ดู แล้วพูดออกมาว่า “น้าสะใภ้เล็กคะ เรากลับกันก่อนดีกว่า แล้วค่อยคิดหาทางทีหลังค่ะ”
ซ่างหยิงพยักหน้า “ตกลง”
หลังพวกเธอออกไป ซ่างกวนหยวนกับจิ้นเฟิงเฉินถึงลงมาข้างล่าง
พอซ่างกวนหยวนเห็นคนของตัวเองพยักหน้าให้เธอ มุมปากก็แย้มขึ้นด้วยความได้ใจ แค่เจียงสื้อสื้อคนเดียว จะไปทำให้เฟิงเฉินฟื้นคืนความทรงจำได้ยังไง
พอคิดได้แบบนั้น เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
ดูแล้วตอนนี้ งานแต่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว
เธอมองไปยังจิ้นเฟิงเฉินที่กำลังพูดคุยกับพนักงานอยู่ ใบหน้าที่แต่งได้อย่างสวยงาม ก็ได้ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
พอเสร็จจากงานแต่งแล้ว เธอก็จะได้กลายเป็นภรรยาของเฟิงเฉินอย่างถูกต้องสักที
……
ตอนที่เย่เสี่ยวอี้ก่อเรื่องที่ร้านอาหารนั้น ได้ถูกคนถ่ายคลิปเอาไว้ แล้วเอาไปปล่อยลงเน็ต ในเวลาไม่นานก็ได้กลายเป็นกระแสขึ้นมาทันที
เมียหลวง “สั่งสอน” เมียน้อย คนผิดได้ถูกลงโทษอย่างสาสม
พาดหัวข่าวที่ได้ใจทุกคนแบบนี้ก็ได้มีออกมาแล้ว บางคนถึงขั้นออกมาแฉตัวตนของเย่เสี่ยวอี้กับเหลียงซินเวยกันเลยทีเดียว
คุณหนูผู้สูงส่ง กับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่แสนธรรมดา
จนทำให้เรื่องนี้เป็นกระแสมากยิ่งขึ้นไปอีก
พวกนักข่าวที่อยากเกาะกระแสต่างก็พากันมายังร้านอาหารที่เหลียงซินเวยทำงานอย่างไม่ขาดสาย จนทำให้ทางร้านไม่สามารถเปิดร้านได้ตามปกติได้
“ผู้จัดการ ต้องขอโทษจริงๆ มันเป็นความผิดฉันเอง” เหลียงซินเวยขอโทษผู้จัดการไม่ยอมหยุด
ผู้จัดการทำหน้าจริงจัง “เวยเวย ข้างนอกนั่นมีนักข่าวอยู่เต็มไปหมด ฉันว่าเรื่องนี้คงไม่สงบลงง่ายๆ หรอก เพื่อทางร้าน เพื่อทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นสามารถทำงานได้ตามปกติ เธอคงต้องหยุดงานสักพักแล้วล่ะ”
พอได้ยินว่าเธอต้องหยุดงาน สีหน้าของเหลียงซินเวยก็เปลี่ยนไปทันที แต่เธอก็ยังรับปากไป “ค่ะ ฉันจะหยุดงาน”
ขอแค่สามารถทำให้ร้านอาหารกลับมาเปิดได้ตามปกติ หยุดงานก็หยุดงาน
ผู้จัดการลังเลไปแป๊บหนึ่ง “เวยเวย มีเรื่องหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องพูดกับเธอให้เข้าใจ”
“เรื่องอะไรคะ?”
“เรื่องวุ่นวายในครั้งนี้มันใหญ่โตจนระดับสูงของกรุ๊ปก็รู้แล้ว การที่เธอต้องพักงานก็เป็นการตัดสินใจจากเบื้องบน ที่สำคัญ……”
พูดถึงตรงนี้ ผู้จัดการก็ชะงักไป “การพักงานในครั้งนี้เป็นการพักงานอย่างไม่มีกำหนดนะ”
เหลียงซินเวยรู้สึกร้อนรนแล้ว “หมายความว่ายังไงคะ? คือต้องการไล่ฉันออกใช่มั้ยคะ?”
“เธอใจเย็นๆ ก่อน ฟังฉันนะ” ผู้จัดการให้กำลังใจเธอ แล้วพูดต่อว่า “เบื้องบนต้องการให้เรื่องนี้เงียบไปก่อน ค่อยตัดสินใจกันอีกทีว่าจะให้เธอกลับมาทำงานตามเดิมรึเปล่า”
“แล้วถ้าตอนนั้นพวกเขาไม่ยอมล่ะคะ?”
เหลียงซินเวยทำงานในร้านอาหารนี้มาหลายปี ถ้าต้องมาถูกไล่ออกเพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมกับเธอเลย
“ไม่หรอก” ผู้จัดการให้กำลังใจ “ในช่วงที่เธอหยุดงาน ฉันจะหมั่นไปพูดกับพวกหัวหน้าถึงพฤติกรรมการทำงานที่ผ่านมาของเธอ ฉันคิดว่าไม่มีบริษัทไหนอยากเสียพนักงานดีๆ ไปหรอกนะ”
พอได้ยินแบบนั้น เหลียงซินเวยก็แอบรู้สึกสบายใจขึ้น “ขอบคุณค่ะ ผู้จัดการ”
“เธอไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ว่าแต่เธอเถอะ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?” ผู้จัดการถาม
เหลียงซินเวยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ฉันจะเป็นอะไรได้ล่ะคะ ในเมื่อคำพูดที่ต่อว่าฉันอยู่ในเน็ต ฉันก็เลือกที่จะไม่ไปอ่านมัน”
“ถ้ามีอะไรอยากให้ฉันช่วย ก็บอกได้เลยนะ”
เหลียงซินเวยพยักหน้า “ค่ะ”