ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่1312 นายจะต้องจำได้แน่นอน
“หนูชอบแด๊ดดี้กับหม่ามี๊ที่สุดเลยค่ะ”
เถียนเถียนเงยหน้าขึ้น พูดด้วยท่าทางจริงจังสุด ๆ
“หม่ามี๊เองก็ชอบเถียนเถียนที่สุดเลยนะ” เจียงสื้อสื้อลูบหัวน้อย ๆ ของเธออย่างอ่อนโยน แล้วลองเอ่ยถาม “แต่ว่า ตอนนี้ลูกปล่อยแด๊ดดี้ให้พี่ชายได้ไหมจ้ะ”
“ได้ค่ะ”
เถียนเถียนนั่งลงข้าง ๆ อย่างว่าง่าย
เจียงสื้อสื้อมองไปทางเสี่ยวเป่า พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เสี่ยวเป่า แนะนำโมเดลที่ลูกต่อพวกนั้นให้แด๊ดดี้หน่อยสิจ้ะ”
เมื่อพูดถึงโมเดลที่ตัวเองชื่นชอบ ดวงตาทั้งสองของเสี่ยวเป่าก็ลุกวาว เขาชี้ไปที่โมเดลบนโต๊ะกาแฟและแนะนำทีละชิ้น
เขาพูดชัดถ้อยชัดคำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ซึ่งไม่เข้ากับอายุของเขานัก
เขามีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่ตัวเองคิดมาก
คิ้วโค้งโก่งแบบนั้น เหมือนตัวเขาในเวอร์ชั่นหดเล็กลงเลยจริง ๆ
จิ้นเฟิงเฉินมองเสี่ยวเป่าแล้วคิ้วของเขาก็คลายอย่างอ่อนโยน
“แด๊ดดี้ อยากต่อโมเดลกับเสี่ยวหว่านไหมฮะ?” เมื่อแนะนำเสร็จแล้ว เสี่ยวเป่าถามอย่างระมัดระวัง
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้าอย่างไม่รีรอ “ได้สิ”
เมื่อเห็นเขาตกลงแล้ว ทันใดนั้นเสี่ยวเป่าก็ดีใจมาก
หาได้ยากที่เด็กน้อยทั้งสองจะมีความสุขขนาดนี้ เจียงสื้อสื้อเองก็รู้สึกว่าหมอกควันที่ปกคลุมหัวใจของเธอได้หายไปในที่สุด
เธอสูดหายใจลึกแล้วถาม “เฟิงเฉิน ตอนเที่ยงนายจะอยู่กินข้าวด้วยกันกับพวกเราไหม?”
จิ้นเฟิงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า “ได้สิ”
ตอนนี้เขายังไม่อยากกลับไปตระกูลซ่างกวน ไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับซ่างกวนหยวนคนที่ทำให้เขาอึดอัด
อยู่ที่นี่ เขารู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายและอบอุ่นที่ไม่เคยมีมาก่อน
บางที นี่คงจะเป็นความรู้สึกของบ้าน
“พวกเธอสี่คนครอบครัวออกไปกินนอกบ้านเถอะ โอกาสหายากแบบนี้” ซ่างหยิงเสนอ
เจียงสื้อสื้อเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาสี่คนนั้นไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานานมากแล้วจริง ๆ เธอพยักหน้า “ก็ดีนะ พวกเราออกไปกินข้างนอกกัน”
เมื่อได้ยินว่าจะไปกินนอกบ้าน เถียนเถียนก็ถามขึ้นทันที “แด๊ดดี้ หนูกินแฮมเบอร์เกอร์ได้ไหมคะ?”
“ไม่ได้!” ไม่รอให้จิ้นเฟิงเฉินตอบคำถาม เจียงสื้อสื้อก็พูดขึ้นมาก่อน
“ทำไมล่ะคะ?” เถียนเถียนยู่หน้าน้อย ๆ มุ่ยปากและมองเธออย่างไม่พอใจ
“เพราะถ้ากินแฮมเบอร์เกอร์ก็จะอ้วนไงล่ะ” เจียงสื้อสื้อเลิกคิ้ว แล้วแสดงท่าทีอย่างโอเวอร์เกินจริง “หรือเถียนเถียนอยากจะกลายเป็นหนูน้อยจ้ำม่ำกันล่ะจ้ะ?”
“ไม่อยาก!” เถียนเถียนหันหน้าหนี “หนูไม่ได้อยากกลายเป็นหนูน้อยจ้ำม่ำสักหน่อย”
“งั้นก็ห้ามกินเบอร์เกอร์นะจ้ะ”
คำพูดต่อมาของเจียงสื้อสื้อทำให้หน้าน้อย ๆ ของเถียนเถียนพลันหม่นลงแล้วหันไปมองจิ้นเฟิงเฉินอย่างน้อยใจ
จิ้นเฟิงเฉินจะไปทนได้อย่างไร เขาใจอ่อนขึ้นมาทันที “ไม่ต้องไปฟังหม่ามี๊ กินแฮมเบอร์เกอร์ไม่กลายเป็นคนอ้วนหรอก นอกจากนี้ถึงหนูจะอ้วนก็ยังเป็นลูกรักของแด๊ดดี้นะ”
“แด๊ดดี้ แด๊ดดี้เยี่ยมที่สุดเลย” เถียนเถียนกอดคอเขาแล้วหอมแก้มของเขาทั้งสองข้าง
“จิ้นเฟิงเฉิน นายจะเอาใจลูกจนเสียคนนะ!” เจียงสื้อสื้อพูดอย่างไม่พอใจ
“หล่อนเป็นลูกสาวของฉัน ไม่เอาใจหล่อนเอาจะให้เอาใจใครล่ะ?” จิ้นเฟิงเฉินพูดเหมือนมันเป็นเช่นนั้นแน่นอนอยู่แล้ว
เจียงสื้อสื้อยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
ก่อนหน้านี้เขายังค่อนข้างไม่คุ้นเคยกับเด็กน้อยสองคนนี้อยู่เลย แค่ครู่เดียวเขากลับเอ็นดูลูกถึงขนาดนี้
ความสัมพันธ์ทางสายเลือดนั้นช่างแข็งแกร่งจริง ๆ
“ไปกันเร็วหน่อยเถอะ ถึงเวลาจะได้ไม่ต้องรอคนเยอะที่ร้าน” ซ่างหยิงเอ่ย
เจียงสื้อสื้อเดินเข้าไปจูงมือของเสี่ยวเป่า “ไปกันเถอะ”
ซ่างหยิงมองพวกเขาสี่คนครอบครัวออกจากบ้านไปด้วยรอยยิ้มปริ่ม อดไม่ได้ที่จะเอ่ยทอดถอนใจ “ยังไงคนในครอบครัวเดียวกันก็ต้องอยู่ด้วยกันล่ะนะ”
……
ระหว่างทางไปร้านอาหาร เด็กน้อยทั้งสองนั่งอยู่ที่เบาะหลังพูดคุยเจื้อยเจี้ยวไม่หยุด ดูออกได้เลยว่าพวกเขามีความสุขมากจริง ๆ
เจียงสื้อหันไปมองพวกเขาเล็กน้อย แล้วมองไปทางชายหนุ่มที่กำลังขับรถอย่างจริงจังอยู่ที่ที่นั่งคนขับ ด้วยแววตาอบอุ่นอ่อนโยน
เธอรู้สึกราวกับว่าได้กลับไปยังอดีต
เขาที่ต่อให้จะยุ่งก็เจียดเวลามาพาเธอและลูกออกไปเที่ยว ทุก ๆ ครั้งทุกคนต่างก็มีความสุขเบิกบานใจ
เป็นความรู้สึกที่เสมือนอยู่อีกโลกหนึ่งอย่างบอกไม่ถูก
เธอหัวเราะเบา ๆ แล้วพูด “เฟิงเฉิน ขอบคุณนะ”
จิ้นเฟิงเฉินอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาหันมามองเธอเล็กน้อยก่อนพูดอย่างงุนงง “ทำไมอยู่ ๆ ถึงพูดขอบคุณล่ะ?”
“ไม่ทำไมหรอก ฉันแค่อยากจะขอบคุณนาย”
เจียงสื้อสื้อหันมองไปทางถนนข้างหน้ารถแล้วพูดต่อ “ช่วงเวลาที่นายไม่ได้อยู่ข้างพวกเรา ฉันกับลูกต่างคิดถึงนายอยู่เสมอไม่ว่าเวลาไหน ในที่สุดตอนนี้นายก็กลับมา ฉันมีความสุขมากจริง ๆ”
จิตนาการได้เลยว่าวันเวลาที่เขาไม่อยู่นั้น เธอต้องอยู่อย่างยากลำบากมากแค่ไหน
ถึงยังไงเขาก็ยังไม่อาจทางลืม ภาพของเธอที่ร้องไห้อย่างเจ็บปวดรวดร้าวที่สนามบินในตอนนั้น
“แต่ว่า….ฉันยังต้องกลับไป” จิ้นเฟิงเฉินเอ่ย
เจียงสื้อสื้อสูดหายใจลึก “ไม่เป็นไรหรอก นายค่อยมาพวกเราอีกก็ได้”
เธอรู้ว่าเรื่องบางเรื่องไม่สามารถรีบร้อนได้ในคราวเดียว จำเป็นต้องค่อย ๆ ทำไป
เขาสามารถมาหาเธอและลูกได้ก็เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่แล้ว
ทว่า ตอนนี้เธอมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ
นั่นก็คือจะต้องทำยังไงถึงจะได้เลือดของเขามา
เจียงสื้อสื้อเหลือบมองมือที่อยู่บนพวงมาลัยของเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
……
เมื่อมาถึงร้านอาหาร พวกเขาได้หาที่นั่งสักมุมหนึ่งแล้วนั่งลง
“อยากกินอะไรกันล่ะ?” จิ้นเฟิงเฉินถามอย่างเป็นธรรมชาติ
เจียงสื้อสื้อยิ้มบาง “นายสั่งเถอะ ขอแค่นายสั่งมา ฉันกับลูกก็ชอบทั้งนั้น”
“งั้นเหรอ?” จิ้นเฟิงเฉินมองไปทางเสี่ยวเป่าและเถียนเถียน
เด็กน้อยทั้งสองพยักหน้าแรง ๆ
จิ้นเฟิงเฉินหัวเราะ “โอเค งั้นฉันสั่งล่ะนะ”
ไม่รู้ว่าเขาจำอะไรขึ้นมาได้หรือเป็นความบังเอิญ อาหารที่เขาสั่งทุกอย่างนั้น ล้วนเป็นของที่เธอและลูกชอบทั้งหมดเลยจริง ๆ
“ได้ไหม?” เมื่อสั่งเสร็จ จิ้นเฟิงเฉินหันมามองเจียงสื้อสื้อแล้วเอ่ยถาม
“ได้แน่นอน” เจียงสื้อสื้อบีบฝ่ามือแน่น รู้สึกอย่างร้องไห้ขึ้นมา
ความจริงแล้วลึกลงไปในควาทรงจำของเขานั้น ยังคงจดจำเธอและลูกได้
“แด๊ดดี้ หนูชอบกินเกี๊ยวกุ้งที่สุดเลยค่ะ” อยู่ ๆ เถียนเถียนก็พูดออกมาเช่นนั้น
จิ้นเฟิงเฉินเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “งั้นเหรอ?”
“ผมชอบกระดูกหมูนึ่งที่สุดฮะ” เสี่ยวเป่าเองก็พูดขึ้นบ้าง
“งั้นเหรอ?” จิ้นเฟิงเฉินหัวเราะ “ทำไมที่ฉันสั่งไปเมื่อกี้นี้ถึงเป็นของที่พวกเธอชอบทั้งนั้นเลย?”
“เพราะแด๊ดดี้คือแด๊ดดี้ของพวกเราไง” เสี่ยวเป่าและเถียนเถียนพูดประสานเสียงกัน
จิ้นเฟิงเฉินการกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ใช่แล้ว ฉันคือแด๊ดดี้ของพวกเธอ”
เจียงสื้อสื้อเองก็อดยิ้มไม่ได้ “ที่จริงแล้วนายก็สั่งของที่ฉันชอบด้วยเหมือนกัน”
“หืม?” จิ้นเฟิงเฉินมองเธออย่างสงสัย
“ที่นายสั่งเป็นของที่ฉันชอบทั้งนั้นเลยล่ะ” เจียงสื้อสื้อมองเขาด้วยแววตาลึกซึ้ง
ในตอนนั้นเองจิ้นเฟิงเฉินจึงเพิ่งตระหนักได้ว่ามันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ บางทีความชอบของพวกเขาคงฝังลึกอยู่ในใจของเขามานานแล้ว
เกรงว่าถึงเขาจะเสียความทรงจำไป ก็ยังเกิดแรงเฉื่อยที่จะทำเรื่องแบบเดียวกันกับเมื่อก่อน
“นายจะต้องจำขึ้นมาได้แน่นอน” เจียงสื้อสื้อกุมมือเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงแน่วแน่
จื้นเฟิงเฉินยิ้ม “อื้ม ฉันเองก็หวังอย่างนั้น”
บางทีอาจเป็นเพราะมีจิ้นเฟิงเฉินอยู่ด้วย เด็กทั้งสองจึงกินได้เยอะ และเจียงสื้อสื้อก็กินมากกว่าปกติ
เมื่อเห็นจิ้นเฟิงเฉินช่วยเด็กทั้งสองเช็ดปากอย่างอบอุ่นอ่อนโยน เจียงสื้อสื้อก็นึกถึงเรื่องเลือดขึ้นมา สายตาเธอจับจ้องที่แก้วบนโต๊ะ
“อยากกินอีกไหม?” จิ้นเฟิงเฉินถามเด็กน้อยทั้งสองด้วยความอ่อนโยน
“อื้ม” เถียนเถียนพยักหน้า
“งั้นก็กินเยอะ ๆ” จิ้นเฟิงเฉินคีบซี่โครงชิ้นหนึ่งวางลงในถ้วยของเธอ
ในตอนที่เขาดึงมือกลับนั้นเอง ศอกของเขาก็กระแทกแก้วน้ำตกลงพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ