ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่34 เขาแค่อยากจะจัดการแก
บทที่34 เขาแค่อยากจะจัดการแก
ตอนที่เขากำลังคิดอยู่นั้น หลี่เซิ่งก็เดินเข้ามาพูดว่า “สวัสดีครับคุณชายรองผมเป็นผู้จัดการของบริษัทX.C. หลี่เซิ่งครับ”
จิ้นเฟิงเหราค่อยนั่งๆ ตรงขึ้นมาแล้วตอบว่า “คุณหลี่ สวัสดีครับ”
หลี่เซิ่งมองคนที่ยืมตรงหน้าอย่างระวัง แล้วยิ้มพร้อมพูด “คุณชายรองครับ คุณมาทั้งทีทำไมไม่ติดต่อมาก่อนล่ะครับ ผมจะได้ไปต้อนรับคุณ”
จิ้นเฟิงเหรายิ้มแล้วก็พูด “พอดีว่าผ่านพอดีครับ ก็เลยเข้ามาดูว่าโปรเจคทำถึงไหนแล้ว แต่ไม่คิดว่ามาผิดเวลาคุณหลี่กำลังยุ่งอยู่พอดีเลย ผมไม่ได้รบกวนใช่ไหมครับ?”
“ฮ่าๆ ไม่ได้รบกวนครับๆ”
หลี่เซิ่งยังไม่ทันได้ตอบ หลานซือเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับตอบไปก่อน
แล้วจิ้นเฟิงเหรา เพิ่งจะสังเกตเห็นเขา ก็เลยถามพร้อมความสงสัย “คุณคือ?”
หลานซือเฉินอึ้งและรู้สึกอายเล็กน้อย
อย่างน้อยๆ เขาก็เป็นคนดังใน เมืองจิ่นนะเนี่ย แต่จิ้นเฟิงเหรากลับไม่รู้จักเขา!
เจียงนวลนวลไม่ค่อยพอใจ ก็เลยถามออกไปว่า “นายไม่รู้จักซือเฉินหรอ?”
“ฉันต้องรู้จักเขาด้วยหรือ?”
จิ้นเฟิงเหรายักคิ้วเล็กน้อย แล้วกวาดสายตาไปทางหลานซือเฉิน เหมือนกำลังถามว่า นี่เป็นคนใหญ่คนโตจากไหนหรือ?
หลานซือเฉินรู้สึกขายหน้าเบาๆ แล้วเขาก็มองแรงไปที่เจียงนวลนวล แล้วรีบตอบเขาไปว่า “คุณชายรองไม่รู้จักผมก็เป็นเรื่องปกตินะครับ เพราะคุณเป็นคนใหญ่คนโต แล้วก็ยุ่งงานอยู่ทุกวัน แต่ผมเนี่ยได้ยินชื่อเสียงของคุณชายรองมาสักพักแล้วนะครับ ผมหวังตลอดว่าเราจะมีโอกาสได้รู้จักกันสักหน่อย แต่ว่าก็ไม่มีโอกาสเลย ไม่คาดคิดว่าวันนี้จะเจอคุณที่นี่ ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมากเลยนะครับ”
“อ๋อ”
จิ้นเฟิงเหราเย็นชามาก เขาดูหยิ่งที่สูงส่งเป็นคนที่ยากที่จะเข้าถึง
ตรงนี้ก็แอบเหมือนพี่ชายเขาอยู่บ้างเล็กน้อย
หลานซือเฉินไม่ได้สนใจอะไร เขาคิดว่าตัวเองดีพอ ก็เลยพูดต่อว่า “คุณชายรองผมเป็นประธานคนปัจจุบันของหลานซื่อกรุ๊ป หลานซือเฉิน นี่เป็นนามบัตรของผมครับ”
“อ๋อ เป็นคนของหลานซื่อกรุ๊ปนี่เอง”
จิ้นเฟิงเหรามองไปที่นามบัตรแต่ไม่ได้ยื่นมือไปรับ แต่พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่า ตระกูลหลานมีลูกหลานที่เก่งๆ อยู่คนหนึ่ง เป็นวัยรุ่นยุคใหม่ของ เมืองจิ่น มีความสามารถด้านการทำธุรกิจ เทียบเท่าลูกชายสองคนของตระกูลจิ้นได้เลยทีเดียว…… ตอนนั้นก็คิดอยู่ว่าต้องเจอกันสักหน่อยแล้ว ไม่คิดว่าได้เจอเจ้าตัวแล้วจริงๆ ”
พอหลานซือเฉินได้ยินก็แอบตกใจเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของจิ้นเฟิงเหราจะดูปกติ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเหมือนโดนเขาพูดแซะอยู่
เขารีบตอบกลับไปอย่างไวพร้อมหัวเราะ “คุณชายรองก็ว่าไปครับ มันเป็นแค่ข่าวลือที่เขาพูดๆ กันครับ ผมจะเทียบคุณกับคุณชายใหญ่ติดได้ยังไงล่ะครับ คุณสองคนนั่นแหละที่เป็นรุ่นใหม่ไฟแรงที่สุดของเมืองจิ่นในตอนนี้”
พอจิ้นเฟิงเหราฟังจบเขาก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
คงไม่ต้องให้นายมาเป็นคนพูดหรอกว่ากูมีความสามารถ
หลี่เซิ่งเห็นเขาสองคนคุยกันขึ้นมา ก็เลยรีบขัดจังหวะ “คุณชายรองคุณมาดูความคืบหน้าของโปรเจคไม่ใช่หรอครับ เดี๋ยวผมไปเอาเอกสารในตอนนี้เลยครับ……”
……………………. ดูจบก็รีบไปเถอะ อย่ามาขัดขวางเราทำธุรกิจกันเลย
จิ้นเฟิงเหราเองก็ไม่อยากพูดมากกับหลานซือเฉิน เขารีบตอบตกลงว่า “ได้ นายไปหยิบมาเลย เดี๋ยวฉันมีนัดกับประธานธนาคาร ธนาคารย่าไท่ อย่าทำให้ฉันต้องเสียเวลา”
“ครับครับ ผมไปเดี๋ยวนี้เลยนะครับ”
หลี่เซิ่งไม่กล้าช้าแม้แต่วินาทีเดียว เขารีบสั่งคนให้ไปหยิบเอกสารมา
ทีมงานที่อยู่หลังหลานซือเฉินเริ่มเห็นว่าท่าทางจะเริ่มไม่ดี นี่เพิ่งจะคุยไปไม่กี่ประโยคเอง ยังไม่ทันได้คุยเรื่องงานเลยเขาก็จะไปแล้วหรอ
หลานซือเฉินเองก็ปวดหัวไม่แพ้กัน
แต่ว่าสักพักเขาก็ใจเย็นลง
ไหนๆ วิธีนี้ก็รับมือกับอีกฝ่ายไม่ได้ ถ้างั้นก็มาคุยเรื่องร่วมงานกันอย่าเปิดเผยเลยดีกว่า
ถึงยังไง ถ้าคุยเรื่องงานจิ้นเฟิงเหราก็คงไม่ปฏิเสธหรอก
พอคิดได้หลานซือเฉินก็เดินเข้าไปพูดกับเขาอีกรอบว่า “คุณชายรองได้ข่าวว่าช่วงนี้จิ้นกรุ๊ปกำลังจะร่วมงานกับสตีเฟนกรุ๊ปของเมืองนอก ร่วมมือกันพัฒนาชิปอิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ใช่ไหมครับ จริงๆ แล้วช่วงที่ผ่านมานี้บริษัทของผมก็ทำงานเกี่ยวกับด้านนี้อยู่เหมือนกันครับ ทางด้านเทคโนโลยีการวิจัยและพัฒนาของเราถือว่าเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศเลยนะครับ ช่วงก่อนหน้านี้ทีมงานคุณภาพของผมใช้เวลาสามเดือนทำเอกสารการวางแผนของโปรเจ็คนี้ ไม่ทราบว่ารบกวนเวลาของคุณสักครู่หนึ่งได้ไหมครับ?”
จิ้นเฟิงเหรานั่งอยู่กับที่ไม่ค่อยสนใจพวกเขาสักเท่าไหร่ พอได้คำประโยคพวกนี้เขาก็รู้สึกดูถูกเล็กน้อย คิดในใจว่า อันดับต้นๆ ของประเทศอะไรกัน ก็แค่บังเอิญออกแบบสินค้าใหม่ออกมา แล้วได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคแค่นั้นเอง อยู่ได้ไม่นานหรอก ยังจะกล้ามาโม้ว่าอันดับต้นๆ ของประเทศอีก
เขายิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “โปรเจ็คนั้นพี่ชายฉันเป็นคนรับผิดชอบ คุณพูดอะไรพวกนี้กับฉันมันไม่มีประโยชน์”
หลานซือเฉินไม่คิดว่าเขาจะปฏิเสธได้ตรงขนาดนี้ เขาก็เลยรีบพูดต่ออีกว่า “โปรเจ็คงานนี้ของเราดีจริงๆ นะครับ ผมเชื่อว่าถ้าคุณเห็นคุณต้องชอบแน่ๆ เลยครับ”
จิ้นเฟิงเหราตอบ “ฉันชอบก็ไม่ได้ช่วยอะไร เรื่องนี้นายต้องไปคุยกับพี่ชายฉัน”
“งั้น……..ไม่ทราบว่ารบกวนให้คุณชายรองแนะนำให้ผมได้รู้จักกับคุณชายใหญ่ได้ไหมครับ?” หลานซือเฉินถามไปแบบระวังๆ
จิ้นเฟิงเหราหัวเราะออกมาทันที
คิดว่ามันง่ายใช่ไหม….
พี่ชายเขาไม่ใช่ว่าใครที่ไหนอยากเจอก็เจอได้นะ
“อย่าดีกว่าครับ ช่วงนี้พี่ชายผมอารมณ์ไม่ค่อยดี เขาไม่อยากเจอคนนอกสักเท่าไหร่ครับ”
พอหลานซือเฉินได้ยิน เขาก็พอฟังออกว่าจิ้นเฟิงเหรากำลังตอบแบบส่งๆ ไม่ได้ตั้งใจที่จะช่วยสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังอยากจะพยายามอีกหน่อย หลี่เซิ่งเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไปในทางที่ไม่ดี ก็เลยรีบขัดเขาไว้ “คุณชายรองที่เป็นเอกสารที่คุณต้องการครับ”
“เอามาให้ผมเลยครับ”
จิ้นเฟิงเหรา รับไปแล้วก็เปิดเช็กดู
หลานซือเฉินไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่มีใครสนใจเขาเลย
ผ่านไปสักพัก จิ้นเฟิงเหราดูเอกสารเสร็จ เขาดูพอใจกับงาน “ได้ครับ งั้นก็ทำตามนี้เลย ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันไปก่อนนะ พวกคุณยุ่งก่อนเลยครับ”
พอพูดจบเขาก็หยิบกุญแจรถบนโต๊ะขึ้นมากำลังจะเดินออกไป
หลานซือเฉินรีบตามเขาไป “คุณชายรอง……..”
จิ้นเฟิงเหราหยุดเดินแล้วก็พูดขัดเขาว่า “ประธานหลาน เราทำธุรกิจมันก็ต้องมีมาก่อนมาหลัง วันนี้ที่ผมมาเพราะว่าบริษัทX.C.ร่วมงานกับผม ผมมาก็แค่มาคุยเรื่องงาน ถ้าหลานซื่อกรุ๊ปอยากร่วมงานกับจิ้นกรุ๊ปจริงๆล่ะก็ รอโอกาสหน้าละกันนะครับ”
ความหมายที่เขาอยากจะสื่อก็คือ ตอนนี้ฉันไม่ให้โอกาสร่วมงานกับนายหรอกนะ
พอพูดจบ จิ้นเฟิงเหราก็เดินออกไป
คนของหลานซื่อกรุ๊ปที่อยู่ในห้องรับแขกสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่
โดยเฉพาะ หลานซือเฉิน
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขายอมลดตัวลงมาขอร้องคนอื่น แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เขาหน้าเสียมาก
แต่ดันเป็นเขาเองที่ไปขอให้คนอื่นมาร่วมงานด้วย…………..
ในขณะที่เขากำลังโกรธ หลี่เซิ่งกลับมีความสุข
เดิมทีเขากลัวว่าจิ้นเฟิงเหรามาทำให้การซื้อขายพัง
แต่ไม่คาดคิดว่าเขามาทำให้มันง่ายขึ้นกว่าเดิมอีก
เขาอารมณ์ดีมากจนไม่สามารถหุบยิ้มได้ “ประธานหลาน ผมคิดว่าสิ่งที่คุณชายรองพูดก็ถูกนะ ตอนแรกคุณตัดสินใจที่จะซื้อกิจการของเรา คุณจะมาเปลี่ยนใจเพราะเขามาไม่ได้ อีกอย่างคุณก็ได้ยินแล้ว คุณชายรองบอกว่าครั้งหน้ายังมีโอกาสร่วมงานกับหลานซื่อกรุ๊ปอีก เพราะฉะนั้นยังไงคุณก็ไม่เสียหายหรอก ใครๆ เขาก็รู้ไม่ว่าโปรเจ็คไหน ถ้าจิ้นกรุ๊ปร่วมงานด้วย แค่กำไรอย่างเดียวก็หลายพันล้านแล้ว เงินแค่นี้เอามาเทียบไม่ได้หรอก คุณว่าใช่ไหม?”
หลานซือเฉินฟังแล้วก็ยิ่งอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่
รอบนี้ที่เขามาคุยงานมีแต่เสียกับเสียอย่างเดียว
……………….
วันที่2 หลานซื่อกรุ๊ปรีบจัดการเอกสารด้านต่างๆ ของการซื้อขายกิจการ แล้วซื้อกิจการบริษัทX.C.เข้าหลานซื่อกรุ๊ปด้วยราคา 500ล้าน
วันที่3 จิ้นกรุ๊ปเสนอยกเลิกสัญญากับบริษัทX.C.ด้วยเหตุผลที่เขาทำผิดข้อเสนอสัญญา
พอหลานซือเฉินได้ข่าวเรื่องนี้ เหมือนโดนฟ้าผ่าเลย เขาโกรธมาก “ผิดสัญญาหรือ? เขาผิดสัญญาข้อไหน?”
ผู้จัดการคนใหม่ของบริษัทX.C.ตอบกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ตอนที่จิ้นกรุ๊ปเซ็นสัญญากับบริษัทX.C. เขากำหนดไว้ว่า โปรเจคนี้ต้องให้พนักงานคนเดิมดูแลเท่านั้น แต่ว่าใครจะไปรู้ว่าพนักงานคนนี้ถูกไล่ออก และไม่ได้แจ้งกับทางจิ้นกรุ๊ป พอเขารู้เรื่องนี้ เขาก็เลยยกเลิกสัญญาทันที”
หลานซือเฉินรู้สึกมันเริ่มมีอะไร “พนักงานคนนั้นชื่ออะไร?”
คนนั้นตอบกลับมาว่า “เจียง…………..เจียงสื้อสื้อ”