ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่669 เขาไม่เคยเห็นฉันอยู่ในสายตาเลย
บทที่669 เขาไม่เคยเห็นฉันอยู่ในสายตาเลย
ครึ่งเดือนหลังจากนั้น เสี่ยวเป่าก็ออกจากโรงพยาบาล
ครอบครัวบ้านจิ้นต่างก็พากันไปรับเขา จนทำให้ห้องพักผู้ป่วยคนเต็มไปหมด
เสี่ยวเป่ามองหาร่างของเจียงสื้อสื้อในหมู่ผู้คน เมื่อมองหาไม่พบ ก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อยด้วยความผิดหวัง
จนกระทั่งพวกเขากำลังจะกลับกันนั่นเอง เจียงสื้อสื้อจึงเข้ามาอย่างรีบร้อน เสี่ยวเป่าลุกขึ้นยืนอย่างยินดีปรีดา ปากร้องเรียกแม่ พลางโผเข้าหา
เจียงสื้อสื้อมองไปสอดส่ายไปที่ร่างของเขา ไม่อย่างนั้น หากเกิดเหตุอะไรขึ้นมาอีกล่ะก็ คนที่เป็นกังวลดูจะไม่ใช่มีเพียงเธอคนเดียว
“ขอโทษนะเสี่ยวเป่า มีเรื่องเล็กน้อยก็เลยมาหาช้าไปหน่อย”
เสี่ยวเป่าพูดอย่างชาญฉลาด “ไม่เป็นไรเลยครับแม่”
เจียงสื้อสื้อลูบหัวเขาไปมา ก่อนจะหยิบดอกทานตะวันที่เตรียมมาไว้ให้แก่เขา “ฉันหวังว่าต่อจากนี้เสี่ยวเป่าจะปลอดภัยและแข็งแรง มีความสุขเบ่งบานได้เหมือนกับดอกทานตะวันนะ”
“ขอบคุณครับแม้”
เสี่ยวเป่าดูจะมีความสุขเป็นพิเศษ ราวกับได้ถูกเติมเต็มการถูกเป็นที่รักอย่างไรอย่างนั้น
แม่จิ้นเองก็มีความสุขมากๆ เธอได้จัดงานเลี้ยงเล็กๆเพื่อต้อนรับเสี่ยวเป่ากลับบ้าน
พูดได้ว่าจริงๆแล้วนอกจากบ้านจิ้นทุกคนแล้ว ก็ยังมีเจียงสื้อสื้อกับเถียนเถียนร่วมด้วย
โต๊ะที่นั่ง เสี่ยวเป่านั่งข้างๆเจียงสื้อสื้อ ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ต่างก็คีบอาหารให้แก่เธอ ทั้งยังเรียกเธอว่าแม่ และให้เธอทานข้าวเยอะๆ
มันทำให้หัวใจของเจียงสื้อสื้อเต็มไปด้วยความอบอุ่น ราวกับเด็กน้ยคนนี้ได้เติบโตขึ้นในใจของเธอและได้ถักทอเชือกที่นุ่มนวลที่สุดของเธอ
ในใจของเธอนั้น เสี่ยวเป่าอยู่ในระดับเทียบเท่ากับเถียนเถียน
จนจวบกระทั่งตอนนี้เธอยังจำเสียงที่เสี่ยวเป่าประสบอุบัติเหตุได้อยู่เลย หัวใจของเธอนั้นราวกับถูกกระแทกเจ็บปวดจนแทบจะหายใจไม่ออก
เรื่องแบบนี้ เธอไม่อยากที่จะให้มันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอีก
เมื่อเห็นภาพของพี่น้องบ้านจิ้นกับส้งหวั่นซีงในเวลาเดียวกันนั้นก็เงียบงันกันไป
สายสัมพันธ์ของสายเลือดนี่มันช่างน่ามหัศจรรย์เสียนี่กะไร เสี่ยวเป่าตั้งแต่เด็กไม่เคยได้พบแม่ที่แท้จริง แต่กลับเชื่อใจและไว้วางใจในตัวของเจียงสื้อสื้อ
นอกจากเจียงสื้อสื้อแล้ว เขาก็ไม่ได้ดูจะรู้สึกพิเศษกับใครเลย
ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ไม่เคยคิดในด้านนี้มาก่อน
จริงๆแล้วพอมานึกคิดดีๆแล้ว มันเป็นบาดแผลลึกมากอยู่
ดวงตาดำลึกของจิ้นเฟิงเฉินจดจ้องไปยังร่างของเจียงสื้อสื้อ
หากเป็นไปได้ เขานั้นอยากที่จะประกาศออกไปเสียจริง
แต่มันเป็นไปไม่ได้ มันยังมีอีกหลายเรื่องที่ค้างคาและเขาก็ยังไม่ทำให้มันชัดเจน
อีกอย่าง เจียงสื้อสื้อเองก็ยังสูญเสียความทรงจำอยู่ ตัวเขายังสับสนอยู่ หากไปบอกเธอมันจะยิ่งยุ่งยากไปใหญ่
ผ่านมาหลายปีมานี้แล้ว มันก็ไม่จำต้องเร่งร้อนอะไร
อีกอย่าง สื้อสื้อเองก็อยู่เพียงใต้จมูกเขาเท่านี้ เขาจะไม่มีทางที่จะให้เกิดอะไรขึ้นอีกเป็นแน่
“มีอะไรเหรอ?”
เมื่อเจียงสื้อสื้อสังเกตุได้ถึงสายตาที่จดจ้องมา มันก็ทำให้เธอรู้สึกประหม่า วางตะเกียบลง ไม่กล้ากินต่อ
จิ้นเฟิงเหรายิ้มกว้างก่อนจะพูดเชิงปลอบใจ “ไม่มีอะไรๆ พี่สะใภ้ทานต่อเถอะนะ”
พี่สะใภ้บ้าอะไรล่ะ เจียงสื้อคิดคัดค้านกับชื่อเรียกในใจแต่คิดไปคิดมา เธอก็ปล่อยไป
เดินทีก็ไม่มีใครใส่ใจนัก หากเธอพูดขึ้นมา ก็จะกลายเป็นทำให้คนสนใจกันขึ้นมา
เมื่อปาร์ตี้จบลง เจียงสื้อสื้อจึงพาเถียนเถียนกลับ
เสี่ยวเป่าใช้มือข้างหนึ่งจับมือเจียงสื้อสื้อ อีกข้างหนึ่งจับมือเถียนเถียน สายตาเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
“แม่ครับ ไม่ไปไม่ได้เหรอ?” เสียงของเสี่ยวเป่าเต็มไปด้วยความเว้าวอน
เจียงสื้อสื้อหัวใจสั่นไหว คุกเข่าลง ใช้มือข้างหนึ่งลูบไปที่ศีรษะของเสี่ยวเป่า พลางพูดเสียงอ่อนหวานอบอุ่น “เสี่ยวเป่า ไว้วันหลังฉันจะมาเยี่ยมหาบ่อยๆนะ”
“จริงนะครับ?”
เสี่ยวเป่าอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง ตราบใดที่เขาจะมีแม่อยู่แล้วหละก็ เพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว
“พี่คะ หนูเองก็จะมาเยี่ยมพี่บ่อยๆนะ” เถียนเถียนเองก็พูดด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน
เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นกอดน้องสาวสุดน่ารักของเขา จูบเข้าไปที่แก้วหนึ่งทีก่อนจะพูดอย่างมีความสุข “น้องของพี่ หนูดีที่สุดเลย”
“พี่ดีกว่าอีกค่ะ” เถียนเถียนพูดพลางทำตาโต
คนที่อยู่บริเวณนั้นเมื่อเห็นฉากของเด็กสองคนคุยกัน ก็ทำให้พวกเขาเกิดรอยยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
สามคนที่รู้เรื่องราวในนั้น ต่างก็รู้สึกถึงความแข็งแกร่งในสายเลือด
พ่อจิ้นกับแม่จิ้นกลับรู้สึกโล่งใจ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาพร้อมๆกัน
ในใจก็ได้แต่คิด หากแม่จริงๆของเสี่ยวเป่ามา ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้เสี่ยวเป่าเชื่อใจได้เพียงนี้หรือเปล่า
เสี่ยวเป่ามองตามตลอดในขณะที่เจียงสื้อสื้อพาเถียนเถียนขึ้นรถจากไป เมื่อหันตัวกลับมาเขาก็ไปกอดขาของจิ้นเฟิงเฉิน พูดเว้าวอน “พ่อครับ เอาไว้ทีหลังพ่อพาแม่กับน้องมาอยู่กับเราได้หรือเปล่า?”
“ได้สิ”
จิ้นเฟิงเฉินใช้มือหนาลูบไปที่ศีรษะของลูกชายอย่างเบามือ สายตายังคงมองออกไปยังที่ห่างไกลดังเดิม
ซึ่งที่ตรงนั้น มันไม่มีร่างของเจียงสื้อสื้อแล้ว
หากเสี่ยวเป่าได้รู้ว่าเจียงสื้อสื้อนั้นเป็นแม่จริงๆของเขานั้น คงจะมีความสุขมากกว่านี้มากๆเชียวหละ
จิ้งเฟิงเฉินนั้นได้แต่คาดหวังว่าวันนั้นมันจะมาถึงในเร็ววันนี้
พอถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะได้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวและไม่แยกจากกันไปไหนอีก
……
ในเวลาเดียวกันนั้นจื้อเฟิงที่ได้เห็นฉากนี้ ก็อดที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้
ไม่คิดเลยว่าขนาดเจียงสื้อสื้อไปอยู่กินกับชายอื่นแล้ว ในใจของจิ้นเฟิงเฉินจะยังคงมีเพียงเธอเพียงแค่คนเดียว
เธอเกลียดนัก!
และในเมื่อเธอไม่สบอารมณ์ เธอจึงนึกถึงคนที่จะไม่สบอารมณ์มากกว่าเธอ
จื้อเฟิงจึงขับรถตรงเพื่อที่จะไปหาเจียงนวลนวล
“เหอะ เธอดูสภาพเธอในตอนนี้สิ เหมือนมาไม่มีผิด!”จื่อเฟิงตั้งใจที่จะใช้คำพูดร้ายๆเพื่อกระตุ้น
เจียงนวลนวลร่างซูบผอม ใบหน้าดูน่าหวาดกลัว
นัยตาถมึงทึง ไร้แวว
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ก็ทำให้เจียงนวลนวลคลั่งขึ้นมา เธอทำเสียงขู่คำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
จู่เฟิงเมื่อเห็นแบบนั้นเธอก็รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย เห็นไหมหละ ยังมีคนที่ย่ำแย่ไปมากกว่าเธอเสียอีก
“เธอจะมาขู่คำรามเอากับฉันตรงนี้จะไปมีประโยชน์อะไรหละ เธอควรจะไปหาเจียงสื้อสื้อนู่น”จื่อเฟิงยกมือขึ้นกอดอก เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
เมื่อได้ยินชื่อของเจียงสื้อสื้อ ตาของเจียงนวลนวลก็เบิกโพลงขึ้นไปอีก
นัยตาที่ไร้แววปรากฏความเกลียดชังและริษยาออกมาอย่างชัดเจน จนทำให้ผู้ได้เห็นต้องตกใจ
จื่อเฟิงกรีดริมฝีปากยกยิ้มขึ้น พูดเบาๆช้าๆ: “น่าสงสารเสียจริง ที่ท่านประธานไม่เคยที่จะมองมาที่เธอเลย จนกระทั่งตอนนี้จึงได้กลายเป็นขยะที่ไร้ค่าถูกขังเอาไว้ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันแบบนี้”
ราวกับไม่เคยได้เห็นสีหน้าซีดเผือดขาวของเจียงนวลนวล จื่อเฟิงก็พูดต่อไป : “นี่เธอรู้มั้ย เจียงสื้อสื้อในตอนนี้หละได้ทุกอย่างเลยหละ วันๆก็จะมีจิ้นเฟิงเฉินอยู่ข้างกายเธอ อยากได้อะไรก็หามาให้ หากเธอต้องการชีวิตเธอขึ้นมา ฉันคิดว่าจิ้นเฟิงเฉินก็คงจะไม่ลังเลที่จะฆ่าเธอหรอก!”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เจียงนวลนวลก็ม้วนขดตัวด้วยความหวาดกลัว
จื่อเฟิงเดินวนรอบตัวเธอ ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้ม แต่คำพูดที่ออกมานั้นมันช่างชั่วร้ายและน่ากลัว
“ทำไมหละ ไม่ตอบสนองซะหน่อยเลยเหรอ ที่น่ารำคาญมากที่สุดคือการที่พวหมีเงินแบบพวกเธอ ทำตัวดีไปเพื่ออะไร คนที่ทำงานให้เขาหละมันก็ฉันทั้งนั้น มันเป็นฉัน แต่ในสายตาของเขาไม่เคยมีฉันเลย!”
ยิ่งพูดก็ยิ่งเกิดอารมณ์ขึ้นมา จื่อเฟิงถีบเจียงนวลนวลแรงๆ
เมื่อถูกเธอถีบ เจียงนวลนวลก็ล้มลงกับพื้น ไม่อาจคลานขึ้นมาได้ง่าย
ราวกับคนไม่มีกระดูกอย่างไรอย่างนั้น เหมือนจะตะเกียกตะกายขึ้นมา แต่ก็ลุกขึ้นมาไม่ได้
จื่อเฟิงพยายามที่จะเยาะเย้ยเธอด้วยคำพูดที่โหดร้ายที่สุด ค่อยๆ เจียงนวลนวลก็นิ่งไป
ร่างกายเริ่มกระตุกขึ้นมาอย่างรุนแรง
ร่างทั้งร่างสั่นสภาพน่ากลัว
สองตาเหลือกไปมา ปากบิดเบี้ยว มันทั้งน่ากลัว แต่น่าเจ็บปวด
จื่อเฟิงมองอยู่ข้างๆโดยที่ไม่คิดที่จะเข้าไปช่วยเลยแม้แต่นิดเดียว
สิบกว่านาทีเต็มๆกว่าที่เจียงนวลนวลจะหยุดลง โดยตาของเธอหลับลง และไม่ขยุกขยิกตัว
จื่อเฟิงเดินเข้ามา ก้มลงมองไปที่เธอ