ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่933 สืบทอดกิจการครอบครัว
“หม่ามี๊ หนูอยากนอนกับหม่ามี๊”
เถียนเถียนเงยขึ้นในอ้อมแขนของเจียงสื้อสื้อ สีหน้าเต็มไปด้วยการรอคอย
“นี่……”
เจียงสื้อสื้อมองไปที่จิ้นเฟิงเฉินโดยอัตโนมัติ
คนหลังก็เหลือบมองเธอ แล้วก็พูดว่า “เถียนเถียน ลูกโตแล้ว ต้องนอนเองให้ได้”
“หนูไม่เอา หนูอยากนอนกับแม่” เถียนเถียนกอดเจียงสื้อสื้อแน่น
เจียงสื้อสื้อใจอ่อน “ให้เธอนอนที่นี่เถอะ”
เธอหันหน้าไปมองเสี่ยวเป่า ตั้งแต่เข้าห้องมา เสี่ยวเป่ายังไม่ได้พูดอะไรสักประโยคหนึ่ง ได้แต่ยืนเงียบๆ
เขามองเถียนเถียน แววตาเขามีความอิจฉาโผล่ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เขาเองก็อยากนอนกับหม่ามี๊ แต่แด๊ดดี้บอกว่าลูกผู้ชายต้องนอนคนเดียว
เจียงสื้อสื้อยิ้ม แล้วก็โบกมือให้เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่า มานี่”
เสี่ยวเป่าเดินเข้าไปอย่างเชื่อฟัง
เจียงสื้อสื้อลูบหัวเล็กๆ ของเขา เจียงสื้อสื้อสอบถามอย่างอ่อนโยน “ลูกก็นอนกับหม่ามี๊ โอเคไหม? ”
เสี่ยวเป่าแอบหันไปมองจิ้นเฟิงเฉิน
คนบางคนถอนหายใจออกมา แล้วก็พูดออกมาอย่างไม่มีทางเลี่ยง “นอนที่นี่ให้หมดเลยก็ได้”
พอได้ยินดังนั้น รอยยิ้มสว่างไสวก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสี่ยวเป่าและเถียนเถียน แล้วเด็กน้อยทั้งสองคนก็ขึ้นไปบนเตียงอย่างมีความสุข
“ฉันจะไปนอนห้องนอนแขก” จิ้นเฟิงเฉินโน้มตัวลงจูบเบาๆ ที่หน้าผากของเจียงสื้อสื้อ
“ฝันดี”
เจียงสื้อสื้อมองเขาอย่างเขินอาย “ลูกอยู่นะ”
จิ้นเฟิงเฉินหันไปมองเด็กน้อยทั้งสองคน แล้วก็เห็นว่าพวกเขาจ้องตัวเองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
เขาหัวเราะออกมา หลังจากนั้นก็จูบพวกเขาด้วย “ฝันดี นอนหลับให้เรียบร้อย ห้ามรบกวนหม่ามี๊”
“ฝันดีแด๊ดดี้!”
เด็กน้อยทั้งสองคนพูดพร้อมกัน
มองดูภรรยาและลูกของเขาอยู่บนเตียง ความอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขากระซิบบอก “มีเรื่องอะไรก็บอกฉันนะ ฝันดี”
หลังจากนั้น ก็เดินออกจากห้องไป
……
ฟางยู่เชินรีบกลับเมืองหลวงในคืนนั้น ตอนที่ถึงบ้านนั้นก็เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว
เขาไม่ทันได้พักผ่อน ก็เตรียมตัวเตรียมข้อมูลสำหรับการประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันพรุ่งนี้
กว่าจะเรียบร้อยก็ฟ้าสางพอดี
เขาหมุนคอที่เมื่อยล้าของเขา สายตามองไปยังกองเอกสารบนโต๊ะ แล้วมุมปากก็คลี่ยิ้มขึ้น
คราวนี้น่าจะสามารถเอาชนะการต่อสู้นี้ได้
“อะเชิน”
ตอนนี้เอง ก็มีเสียงประหลาดใจเสียงหนึ่งดังขึ้น
ฟางยู่เชินหันหน้าไป คนคนนั้นก็คือพ่อของเขานั่นเอง ฟางเถิง
ฟางเถิงเดินเข้ามา แว็บเดียวก็เห็นกองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ คิ้วก็ขมวดเข้าหากัน “แกไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหรอ? ”
ฟางยู่เชินพยักหน้า “อืม”
“แล้วแบบนี้แกจะมีพลังในการเข้าร่วมประชุมรึเปล่า? ” ฟางเถิงมองเขาอย่าเป็นห่วง
ฟางยู่เชินยิ้มเบาๆ “พ่อ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่มีทางทำให้พ่อต้องขายหน้า”
พอได้ยินดังนั้น ฟางเถิงเองก็คลี่ยิ้มเหมือนกัน แต่ว่าใบหน้ายังคงมีร่องรอยของความกังวลอยู่ “ไม่ใช่ว่าพ่อไม่เชื่อแก แต่ว่าพวกกรรมการบริหารพวกนั้นไม่ธรรมดาเลย ต้องใช้พละกำลังและใจจดใจจ่ออย่างมาก”
“พ่อ ผมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จนถึงตอนนั้นพวกเขาไม่ยอมก็ต้องยอม”
“เตรียมอะไรไว้?”
“ถึงเวลาพ่อก็รู้เอง”ฟางยู่เชินยังไม่ได้บอกเรื่องการร่วมมือกับจิ้นกรุ๊ป เพราะว่าอยากจะเซอร์ไพรส์ทุกคนในการประชุมคณะกรรมการบริษัท
แน่นอน สำหรับคนบางคนแล้ว มันอาจจะเป็นเรื่องที่น่าตกใจกลัว
“ถ้ายังงั้นก็ได้ จำไว้ว่าพวกเราจะไม่ต่อสู้ในศึกที่พวกเราไม่ได้เตรียมตัว ในเมื่อจะต่อสู้แล้วก็ต้องชนะ”
ในฐานะที่เป็นพ่อ เขาก็แค่ต้องการให้ลูกเขามีความสุข ตอนนี้ตระกูลฟางแย่แล้ว ความจริงแล้วเขาไม่อยากจะให้ลูกชายต้องเลอะโคลนไปด้วยเลย
แต่ว่าในขณะเดียวกันเขาเองก็เป็นลูกชายเหมือนกัน เห็นคุณท่านแก่ขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายไม่ดีเหมือนแต่ก่อน เขาไม่ควรจะต้องเหน็ดเหนื่อยและเป็นกังวลอีกต่อไป
ทั้งตระกูลฟางนี้ คนที่มีความสามารถและเหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งรองจากคุณท่านก็มีเพียงแค่อะเชินเท่านั้น
ดังนั้น ต้องกัดฟันสู้กับมัน ต้องต่อสู้กับบ้านใหญ่ บ้านรอง
ฟางยู่เชินยิ้มอย่างมั่นใจ “พ่อ ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกครับ ผมชนะอยู่แล้ว”
ไม่ใช่แค่เขาจะชนะ แต่เขาจะชนะอย่างสวยงามด้วย
……
ตอน9โมงเช้า การประชุมคณะกรรมการของฟางซื่อกรุ๊ปก็จัดขึ้นตรงเวลา
คณะกรรมการบริหารทุกท่านมาเข้าร่วม นั่งเรียงทั้งสองฝั่งโต๊ะประชุม ฟางยู่เชินกับพ่อถูกจัดให้นั่งตำแหน่งด้านหลัง ห่างจากคุณท่านประมาณ 7-8คน
“ถ้าเกิดว่าลุงใหญ่ของลูกเดินถูกทาง ป่านนี้ก็คงไม่เป็นแค่ผู้จัดการที่ไม่ยอมทำการทำงานหรอก”
ฟางเถิงกระซิบพูดด้วยความโกรธ
ฟางเฉิงเป็นคนจัดตำแหน่งที่นั่งในวันนี้ เขาจงใจจัดให้คู่พ่อลูกฟางเถิงนั่งไกลที่สุดเพราะว่ารังเกียจพวกเขา
ฟางยู่เชินเงยหน้าขึ้นมองฟางเฉิงที่ยิ้มอย่างมีชัย แสงอันแหลมคมแวบอยู่ใต้ดวงตาของเขา
นี่คือความเศร้าโศกของตระกูลที่ร่ำรวย
ต่อให้คุณไม่ได้คิดร้ายกับใคร แต่ก็ยังมีคนที่จะคิดร้ายกับคุณอยู่ดี
เมื่อไหร่คุณแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น คุณถึงจะสามารถป้องกันตัวเองและคนรอบข้างได้
“พ่อ อย่าโกรธไปเลย พวกลุงใหญ่ก็ทำอะไรได้แค่เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เท่านั้นแหละ”
ฟางเถิงถอนหายใจออกมา “พ่อไม่โกรธแล้ว”
ที่จริงแล้วเขาเสียใจ เสียใจที่ตระกูลฟางเปลี่ยนไปกลายมาเป็นแบบทุกวันนี้ พ่อน้องต้องมาต่อสู้กับเพื่ออำนาจจนเหมือนศัตรูกัน
ฟางยู่เชินเข้าใจความรู้สึกของพ่อตัวเอง เขามองสองพี่น้องฟางอี้หมิงและฟางเย้นซิน
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สายตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ วันนี้เขาจำเป็นต้องชนะ
ไม่นาน คุณท่านฟางก็มาถึงแล้ว
เขาใช้ไม้ค้ำยันทั้งสองมือ สายตาที่เฉียบคมของนกอินทรีกวาดมองทุกคนที่อยู่ตรงนั้น แล้วก็หยุดอยู่ตรงฟางยู่เชินอยู่หลายวินาที
ฟางอี้หมิงสังเกตเห็น แล้วก็เหลือบมองฟางยู่เชิน พอเห็นว่าเขามั่นใจเต็มเปี่ยม ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเยาะเย้ย
ต่อให้มีการสนับสนุนจากคุณท่านแล้วยังไงกัน คนที่ไม่มีผลงานประสบความสำเร็จในหน้าที่ ยังไงก็ไม่มีวันเหมาะสมที่จะเป็นคนรับช่วงต่อตระกูลฟางได้หรอก
“ขอขอบคุณที่สละเวลาจากตารางงานที่ยุ่งของคุณเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการนี้ ผมน่ะอายุมากแล้ว สุขภาพร่างกายก็ไม่เหมือนแต่ก่อน ดังนั้นก็เลยตั้งใจจะเลือกหนึ่งในหลานหลายคนเพื่อสืบทอดธุรกิจของครอบครัว……”
เสียงของคุณท่านดังก้องอยู่ในห้องประชุมขนาดใหญ่
คนอื่นฟังอยู่เงียบๆ จนเขาพูดจบ ถึงได้พูดออกมา
“ท่านประธานครับ แล้วท่านมีคนที่เหมาะสมในใจหรือยังครับ? ”
“ใช่ครับ ท่านประธาน คุณน่าจะเลือกไว้ตั้งแต่แรกแล้วสินะ”
……
ทุกคนพูดตามๆ กัน ไม่มีอะไรมากไปกว่าต้องการให้คุณท่านพูดคนที่ตัวเองชอบออกมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง คุณท่านถึงได้ค่อยๆ พูดออกมา “ผมได้เลือกไว้ในใจอยู่แล้ว แต่ก็อยากฟังความคิดเห็นของทุกท่านด้วย”
ฟางเฉิงรู้สึกว่าจะนั่งรอความตายแบบนี้ไม่ได้ ดังนั้นก็เลยลุกขึ้นยืน “อี้หมิงนั้นยอดเยี่ยมตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก หลายปีที่ผ่านมาในบริษัทนี้เขาก็ทำได้ดี ความสามารถของเขาเป็นอย่างไรทุกท่านก็น่าจะเห็นชัดเจนแล้ว”
พอพูดประโยคนี้ออกไป กรรมการคนอื่นๆ ก็กระซิบกระซาบคุยกัน โดยทั่วไปแล้วพวกเขาค่อนข้างจะพอใจกับฟางอี้หมิง
บ้านรองอย่างฟางรุ่ยก็ไม่ยอมน้อยหน้า รีบลุกขึ้นแสดงความคิดเห็น “ถูกแล้วที่อี้หมิงค่อนข้างจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยม แต่ว่าเย้นซินเองก็ไม่เลวเหมือนกัน เขาสร้างประโยชน์ให้ฟางซื่อกรุ๊ปมากมาย แล้วนิสัยก็ดี เชื่อว่าเขาต้องกลายเป็นคนที่เหมือนกับคุณท่านอย่างแน่นอน”
พวกคณะกรรมการมองหน้ากัน ตามความคิดเห็นของพวกเขานั้นทั้งคู่ค่อนข้างจะโอเค จะให้เลือกมาคนหนึ่งนั้นค่อนข้างยาก
“ท่านประธาน ท่านคิดว่ายังไงครับ? ” มีคนโยนคำถามไปให้คุณท่านฟาง
คนนั้นไม่ได้ตอบรับทันที เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองฟางยู่เชิน
“อะเชิน แกมีอะไรอยากจะพูดไหม? ”
พอถามแบบนี้ออกไป สายตาของทุกคนก็ตกไปอยู่ที่ฟางยู่เชิน
ฟางยู่เชินลุกขึ้นช้าๆ หลังจากนั้นก็เริ่มส่งเอกสารที่ตัวเองได้เตรียมไว้