ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่994 ทั้งสีอึ้งไปตามๆ กัน
เจียงสื้อสื้อก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นเหมือนกัน จำได้พูดสนับสนุนคำพูดของส้งหวั่นชีงไปว่า “แม่คะ ตามที่หวั่นชีงพูดแหละค่ะถ้าได้รับสารอาหารที่มากเกินไป มันก็ไม่ดีกับการคลอดลูกสักเท่าไหร่”
“พวกลูกสองคนนี้นี่ช่าง……”
แม่จิ้นส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ก็ได้ ทำตามที่พวกลูกพูดแล้วกัน”
เจียงสื้อสื้อกับส้งหวั่นชีงกันมาสบตากัน และต้องโล่งอกไปโดยไม่ได้นัดหมายกัน
“พี่สะใภ้ เราไปข้างบนกันเถอะ ฉันซื้อเสื้อผ้ามาให้ลูกของฉันด้วย
ส้งหวั่นชีงลากเจียงสื้อสื้อขึ้นชั้นบนไป พอเข้าห้องไป เธอก็กางเสื้อผ้าทารกที่เธอซื้อมาทั้งหมดกางไว้บนที่นอนราวกับเป็นการนำเสนอสิ่งของล้ำค่า
“ทำไมเธอถึงซื้อมาเยอะขนาดนี้เนี่ย?” เจียงสื้อสื้อตกใจกับเสื้อผ้าที่วางอยู่เต็มที่นอน
“มีของเด็กแรกเกิด ครบเดือน ยังไงก็มีครบทุกเดือนเลยค่ะ”
ส้งหวั่นชีงพูดไปก็เอาเสื้อผ้าขึ้นมาโชว์ “สวยมากเลยใช่มั้ยคะ?”
เธอมองเจียงสื้อสื้อด้วยความคาดหวัง
เจียงสื้อสื้อก็ให้ความร่วมมือโดยการยิ้มออกมา “มันก็สวยจริงๆ นั่นแหละ แต่ใส่ไม่กี่ครั้งก็ใส่ไม่ได้แล้ว”
“จริงเหรอคะ?” ส้วหวั่นชีงขมวดคิ้วเบาๆ
เจียงสื้อสื้อค่อยๆ ยิ้มออกมา “เธอไม่รู้เหรอว่าทารกน่ะโตเร็วมาก? ไม่จำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้าเยอะขนาดนี้ก็ได้ ไม่อย่างนั้นเด็กยังไม่ทันโตเสื้อผ้าก็จะเล็กเกินไปแล้ว”
ส้งหวั่นชีงแลบลิ้นออกมา แล้วพูดออกมาอย่างเขินๆ ว่า “ฉันแค่เห็นว่าสวยดีเลยซื้อมาหมดเลย ไม่ได้คิดเยอะขนาดนั้นด้วย”
“ไม่เป็นไร คนเป็นแม่ ยังไงก็อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกอยู่แล้ว”
เจียงสื้อสื้อช่วยเธอพับเสื้อผ้าจนเสร็จ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองเธอ “มีอะไรที่อยากได้มั้ย?”
ส้งหวั่นชีงชะงักไป “ทำไมจู่ๆ ถึงถามแบบนี้คะ?”
“ฉันที่เป็นพี่สะใภ้ ยังไงก็ต้องมีของขวัญให้หลานชายอยู่แล้วสิ”
“แบบนี้นี่เอง” ส้งหวั่นชีงคิดๆ ดู แต่ก็คิดไม่ออกว่าอยากได้อะไร “พี่สะใภ้ พี่ตัดสินใจเองเลยค่ะ ขอแค่เป็นของที่พี่ให้ ฉันกับลูกก็ชอบทั้งนั้นแหละค่ะ”
พอได้ยินอย่างนั้น เจียงสื้อสื้อก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส “ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็ดีใจมากเลย”
ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันพักหนึ่ง ตลอดช่วงบ่ายที่คู่จึงเอาแต่นั่งคุยกัน จนส้งหวั่นชีงรู้สึกเหนื่อยถึงยอมเลิกรา
เจียงสื้อสื้อกลับมาที่ห้องของตัวเอง แล้วเธอก็นึกถึงน้าชายเล็กกับน้าสะใภ้เล็กที่ยังอยู่ที่เมืองจิ้นขึ้นมา เธอจึงตัดสินใจโทรหาทั้งคู่ทันที
พอโทรไปทางนั่นก็รับสายเลย เสียงที่อ่อนโยนของซ่างหยิงดังขึ้น “สื้อสื้อ”
“น้าสะใภ้เล็ก ตอนนี้พวกน้าชายกลับไปที่โรงแรมรึยังคะ?” เจียงสื้อสื้อถาม
“อยู่ที่โรงแรมแล้ว มีอะไรรึเปล่า?”
“คืนนี้หนูอยากชวนพวกน้ามากินข้าวด้วยกันหน่อยค่ะ”
ซ่างหยิงตอบรับในทันที
ด้วยความที่ไม่อยากให้พวกเขาเดินทางหลายรอบ เจียงสื้อสื้อจึงได้นัดกินข้าวตรงโรงแรมที่ทั้งสองพักซะเลย
จากนั้นเธอก็พูดเรื่องนี้กับพ่อจิ้นและแม่จิ้น
“พ่อคะ แม่คะ คืนนี้เราไปกินข้าวกับน้าชายเล็กและน้าสะใภ้เล็กได้มั้ยคะ? เพราะพรุ่งนี้พวกเขาก็จะกลับแล้ว”
พ่อจิ้นพยักหน้า “ได้สิ เรียกเฟิงเหรากับหวั่นชีงไปด้วยนะ”
“ค่ะ”
………
ในคืนนั้น จิ้นเฟิงเฉินกับเจียงสื้อสื้อได้พาลูกๆ มาถึงที่โรงแรมก่อน
“พ่อย่าแม่ย่าของเธอล่ะ?” ซ่างหยิงมองไปที่ด้านหลังของทั้งสอง แล้วถามด้วยความสงสัย
“พวกเขานั่งรถมากับเฟิงเหราค่ะ จะมาถึงช้าหน่อย” เจียงสื้อสื้ออธิบาย
“อ๋อ” ซ่างหยิงพยักหน้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้มกับทั้งสองว่า “รีบเข้าไปเร็ว ดูเมนูอาหารก่อน อยากกินอะไรก็สั่งได้เลย”
เจียงสื้อสื้อตอบรับด้วยรอยยิ้ม แล้วจูงเด็กทั้งสองคนเข้าไปข้างใน
หลังพวกเธอเข้าไปได้ไม่นาน พวกเฟิงเหราก็มาถึง
หลังจากทักทายกันเสร็จ ทุกคนก็พากันไปนั่ง
“ชิงแก นี่คือ ลูกสะใภ้รองของคุณเหรอคะ?” ซ่างหยิง มองไปที่ส้งหวั่นชีงแล้วถามขึ้น
“ใช่ค่ะ” แม่จิ้นรีบแนะนำให้ส้งหวั่นชีงรู้จัก “หวั่นชีง นี่คือน้าสะใภ้เล็กของสื้อสื้อ”
“น้าสะใภ้เล็ก” ส้งหวั่นชีงเรียกออกมาอย่างน่าเอ็นดู
ซ่างหยิงยิ้มหน้าบาน “สวัสดีจ้ะ”
ส้งหวั่นชีงยิ้มกลับ “ตอนบ่ายหนูกับ พี่สะใภ้ได้เล่าเรื่องของน้าสะใภ้เล็กให้ฉันฟังเยอะเลย พอตอนนี้ได้มาเจอ เป็นเหมือนที่พี่บอกเลยค่ะ น้ายังสาวและสวยมากเลยค่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น ซ่างหยิงยิ้มจนหุบยิ้มไม่ได้แล้ว “หนูนี่ช่างปากหวานจริงๆ เลยนะ”
“ที่หนูพูดมาทั้งหมดมันคือความจริงนะคะ”
ส้งหวั่นชีงกับเจียงสื้อสื้อหันมาสบตากัน จากนั้นทั้งคู่ก็ยิ้มออกมาพร้อมกัน
“ได้ยินสื้อสื้อบอกว่า พรุ่งนี้พวกคุณก็จะกลับเมืองหลวงแล้วใช่มั้ยคะ?” แม่จิ้นถาม
ฟางเถิงพยักหน้า “ใช่ครับ เราตั้งใจมาเยี่ยมเสี่ยวเป่า ตอนนี้เสี่ยวเป่าก็ไม่เป็นอะไรแล้ว เราจึงควรกลับไปได้แล้ว”
แม่จิ้นรู้สึกเสียใจนิดหน่อย “ฉันยังอยากให้พวกคุณอยู่ต่ออีกหลายวันนะ ฉันจะได้พาพวกคุณไปเที่ยวสักหน่อย”
“ต่อไปยังมีโอกาสอีกเยอะค่ะ” ซ่างหยิงมองคนอื่นๆ จากนั้นก็เชิญด้วยรอยยิ้ม “ยินดีต้อนรับทุกคนไปเที่ยวที่เมืองหลวงนะคะ”
พอส้งหวั่นชีงได้ยินแบบนั้นเธอก็รีบตอบไปทันที “ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นต่อไปเราทั้งครอบครัวจะไปรบกวนน้านะคะ”
ซ่างหยิงยิ้มออกมา “ด้วยความยินดีจ้ะ”
นอกจากจิ้นเฟิงเหรากับส้งหวั่นชีงแล้ว นี่ถือเป็นครั้งที่สองที่ทั้งสองครอบครัวได้พบกัน แต่บรรยากาศนั้นเหมือนทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกันเลย ทุกคนต่างกินข้าวไปพูดคุยกันไป
เจียงสื้อสื้อเงยหน้าขึ้นมามองทุกคน มุมปากอดไม่ได้ที่จะแย้มขึ้นมา
ดีจริงๆ
หลังกินข้าวเสร็จ ส้งหวั่นชีงก็ดึงเจียงสื้อสื้อไปนั่งตรงโซฟาที่อยู่ข้างๆ
ห้องวีไอพีนั้นใหญ่มาก ยังมีที่ไว้สำหรับร้องเพลงอีก
“พี่สะใภ้ พี่ร้องเพลงนะ” ส้งหวั่นชีงยัดไมค์เข้าไปในมือของเจียงสื้อสื้อ
“ฉันเหรอ?” เจียงสื้อสื้อรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจ
“ใช่ค่ะ นานๆ น้าชายเล็กกับน้าสะใภ้เล็กจะมาที พี่ต้องแสดงหน่อยสิคะ”
เหตุผลที่เธอยกมานั้นมันทำให้เจียงสื้อสื้อไม่อาจปฏิเสธได้ เธอจึงจำต้องเลือกเพลงที่เหมาะกับบรรยากาศออกมา
แต่การที่จะให้เธอมาร้องเพลงจริงๆ มันก็รู้สึกลำบากใจอยู่เหมือนกัน
เธอหันไปมองจิ้นเฟิงเฉิน แล้วก็พบว่าเขากำลังจ้องมาที่ตัวเองอยู่ด้วยแววตาที่เคร่งขรึมกว่าปกติ
นั่นยิ่งทำให้เธอลำบากใจขึ้นไปอีก
“รีบร้องเร็ว พี่สะใภ้”
พอเสียงเพลงดังขึ้น ส้งหวั่นชีงก็ยุขึ้นมา
เจียงสื้อสื้อหันกลับมา สบตากับดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเธอ จึงทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ จากนั้นก็จำใจต้องร้องออกมา
น้ำเสียงที่อ่อนโยนและหวานย้อนดังขึ้นในห้องวีไอพี
พวกผู้อาวุโสที่กำลังคุยกันอย่างเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่นั้นก็ต้องหยุดลง แล้วพากันมองมาที่เจียงสื้อสื้อ
ทั้งสี่อึ้งไปตามๆ กัน
แม่จิ้นเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ “ไม่นึกเลยว่าสื้อสื้อจะร้องเพลงเพราะขนาดนี้”
พอได้ยินอย่างนั้น ซ่างหยิงก็ตั้งสติได้เหมือนกัน เธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สงสัยจะเป็นพันธุกรรมมั้ง เพราะแม่ของเธอก็ร้องเพลงเพราะเหมือนกัน”
พอพูดถึงฟางเสว่มั่น แม่จิ้นก็ไม่มีกะจิตกะใจจะฟังเพลงแล้ว เธอได้หันมาถามอย่างเป็รห่วงว่า “ตอนนี้เสว่มั่นเป็นยังไงบ้างแล้วคะ ร่างกายดีขึ้นบ้างรึเปล่า?”
“ตั้งแต่ที่พี่สามกลับบ้าน ไม่ว่าร่างกายหรือสภาพจิตใจต่างก็ดีขึ้นมากเลยค่ะ ทุกวันนี้เธอก็เอาแต่พูดคุยเป็นเพื่อนพ่อ อ่านหนังสือ ถ้าคนเราไม่มีเรื่องให้เครียด ร่างกายมันก็จะดีขึ้นเองค่ะ”
พอแม่จิ้นได้ยินอย่างนั้น เธอก็รู้สึกโล่งอกไปมาก “คุณพูดถูกที่สุด เสว่มั่นนั้นมีเรื่องให้เครียดมากเกินไป ถึงทำให้ร่างกายทรุดหนักขนาดนั้น”
“ต่อไปคงไม่มีอีกแล้วค่ะ”
พวกเธอทั้งสองนั้นเป็นห่วงฟางเสว่มั่นจริงๆ จนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ตอนนั้นเอง ฟางเถิงก็ได้พูดขึ้นว่า “พอแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว มาตั้งใจฟังสื้อสื้อร้องเพลงกันเถอะ”
“ใช่ค่ะ ฟังเพลงฟังเพลง” แม่จิ้นกับซ่างหยิงสบตากันแล้วยิ้ม จากนั้นก็หันไปดูสื้อสื้อร้องเพลง
จิ้นเฟิงเฉินนั่งดูเจียงสื้อสื้อร้องเพลงอย่างเงียบๆ แววตานั้นอ่อนโยนจนเหมือนจะมีน้ำไหลออกมา มุมปากได้ยิ้มออกมาเล็กน้อย
น้ำเสียงของเธอนั้นเหมือนกับเสียงน้ำที่ไหลริน ไพเราะและอ่อนโยน ฟังแล้วช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน
เมื่อเพลงจบลง ในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ แต่ทันใดนั้น เสียงปรบมือก็ดังกระหึ่มไปทั่วห้อง
“พี่สะใภ้ พี่ร้องเพลงเพราะมากเลยค่ะ” ส้งหวั่นชีงปรบมือด้วยความตื่นเต้น