ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่997ห้ามพูดมั่วๆ อีก
การแสดงความเป็นเจ้าของแบบนี้ ทำให้จิ้นเฟิงเฉินที่ได้ยินถึงกับต้องยิ้มออกมา
ทันทีที่เจียงสื้อสื้อพูดจบ เขาก็จู่โจมริมฝีปากคู่นั้นของเธอเข้าไปอย่างแม่นยำ
หัวใจของเจียงสื้อสื้อกระตุกอย่างแรง มือของเธอเผลอไปกำเสื้อของเขาไว้อย่างไม่รู้ตัว
พัวพันอย่างแรง
ในตอนที่เจียงสื้อสื้อรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจนั้นเอง จิ้นเฟิงเฉินก็ละออกจากริมฝีปากของเธออย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
ดวงตาทั้งสี่จับจ้องเข้าหากันอีกครั้ง
เขายิ้มออกมาอย่างแฝงด้วยความนัย “ผมไม่ควรพาคุณมาที่บริษัทเลยจริงๆ”
เจียงสื้อสื้อชะงักไปแป๊บหนึ่ง ก่อนจะตั้งสติได้ ใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นมา แล้วผลักเขาออกไป “ไม่ยุ่งกับคุณแล้ว”
เธอกระโดดลงพื้นแล้วกลับไปนั่งลงที่โซฟา จากนั้นก็หยิบหนังสือเล่มเมื่อกี้ขึ้นมาอ่านต่อ
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มแล้วยักคิ้ว หันมามองเธออีกที่ก่อนจะเริ่มทำงานต่อ
ความจริงเจียงสื้อสื้อไม่ได้กำลังอ่านหนังสืออยู่ ริมฝีปากของเธอยังคงรู้สึกชา กลิ่นอายของเขายังคงติดอยู่ ทำเอาเธอไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้เลย
เธอรู้สึกโกรธแล้ว หุบหนังสืออย่างแรง จากนั้นก็นอนลงบนโซฟา
เมื่อได้ยินเสียง จิ้นเฟิงเฉินก็เงยหน้าขึ้นมามอง พอเห็นเธอนอนไปแล้ว มุมปากของเขาก็ยิ้มออกมาด้วยความรักใคร่
ช่างเหมือนเด็กน้อยซะจริง
……
ตอนแรกเจียงสื้อสื้อตั้งใจแค่จะนอนแป๊บเดียวเท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่าเธอจะหลับไปจริงๆ
ตอนที่ตื่นมา ท้องฟ้าข้างนอกก็ได้มืดไปแล้ว
เธอลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มบนตัวก็ได้เลื่อนลงไป
เธอจับผ้าห่มเอาไว้ เอนหัวไปมอง จิ้นเฟิงเฉินยังคงทำงานนั่งอยู่ในห้องทำงานอันกว้างขวาง ตั้งใจทำงานอยู่
แสงไฟส่องลงบนหัวของเขา จนเกิดเป็นแสงวงกลมอันอบอุ่นขึ้นบนหัวของเขา
เธอยิ้มออกมา สายตาไม่ยอมละออกจากเขา
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเธอ จิ้นเฟิงเฉินก็ได้เงยหน้าขึ้นมา จนสบตาเข้ากับเธอพอดี
“ตื่นแล้วเหรอครับ” ริมฝีปากขยับเบาๆ น้ำที่ทุ้มต่ำดังขึ้นในห้องที่เงียบสงัด
เจียงสื้อสื้อได้สติอีกครั้ง กะพริบตาปริบๆ พยักหน้า “ค่ะ ตื่นแล้ว”
“คุณหิวรึยังครับ?”
“ฉัน……”
ก่อนที่เจียงสื้อสื้อจะได้ตอบ ท้องของเธอก็ร้อง “โครกคราก” ขึ้นมาก่อน ใบหน้าที่ขาวนวลแดงก่ำขึ้นมาทันที
ภายในห้องทำงานนั้นเงียบมาก จิ้นเฟิงเฉินเองก็ได้ยินเหมือนกัน เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “รอผมอีกนิดนะครับเดี๋ยวเราไปหาอะไรกินกัน”
เจียงสื้อสื้ออายจนไม่กล้ามองหน้าเขา เธอแค่พยักหน้าเพื่อบอกว่าเข้าใจแล้ว
หลังผ่านไปประมาณสิบนาที ในที่สุดจิ้นเฟิงเฉินก็ทำงานเสร็จ เขาพาเจียงสื้อสื้อออกจากบริษัท แล้วไปยังร้านอาหารสำหรับคู่รักที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของเมืองจิ่น
ร้านอาหารตั้งอยู่ที่เชิงเขา ร้านนี้มีระเบียงขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองจิ่นได้เกือบทั้งเมืองเลย
รับลมยามดึก ชมวิวยามค่ำคืน กินอาหารเลิศรส แถมยังมีจิ้นเฟิงเฉินมาด้วย เจียงสื้อสื้อรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองนั่นมีความสุขอย่างถึงที่สุดแล้ว
จิ้นเฟิงเฉินที่เห็นเธอยิ้มออกมาเป็นช่วงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
หือ?” เจียงสื้อสื้อทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
“คุณยิ้มอะไรครับ?”
ที่แท้เขากำลังถามเรื่องนี้นี่เอง
เจียงสื้อสื้อวางศอกไว้บนโต๊ะ ประสานมือไว้ใต้คาง แล้วจับจ้องมาที่เขา “ฉันรู้สึกว่าฉันมีความสุขมา และตอนนี้ก็อารมณ์ดีมากเลยค่ะ”
แสงไฟส่องเข้ามาในดวงตาของเธอ ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ส่องแสงระยิบระยับ
มุมปากของจิ้นเฟิงเฉินได้ยิ้มออกมา “คุณชอบที่นี่เหรอครับ?”
“ชอยบค่ะ” เจียงสื้อสื้อหันหน้าไป มองดูบรรยากาศที่งดงามยามค่ำคืน แล้วพูดออกมาจากใจว่า “ฉันไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายแบบนี้มานานมากแล้วค่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น ความรู้สึกที่ยากจะสัมผัสได้ก็แวบขึ้นมาในแววตาของจิ้นเฟิงเฉิน
“ที่สำคัญ……” เจียงสื้อสื้อหันกลับมา สบตากับดวงตาดำๆ คู่นั้น “ฉันไม่รู้ว่าตัวเองยังเหลือเวลาอีกนานเท่าไหร่ ดังนั้น……เวลาที่ควรมีความสุข ก็ควรมีความสุขกับมันให้มากๆ”
จิ้นเฟิงเฉินหลับตาและไตร่ตรอง “อย่าพูดบ้าๆ แบบนั้น คุณจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”
น้ำเสียงของเขาค่อนข้างจริงจัง แม้แต่สีหน้าก็ดูเย็นชาลง
เจียงสื้อสื้อรู้ดีว่าเขาโกรธแล้ว โกรธเพราะคำพูดที่เธอพูดออกมา
เธอยิ้มออกมา “ฉันแค่ล้อเล่นเท่านั้น ฉันยังคิดอยู่เลยว่า ต่อได้ตอนแก่ฉันยังอยากมาที่นี่กับคุณอีกครั้ง” พอเธอพูดมาแบบนั้น สีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินก็ได้อ่อนโยนลงมาบ้าง “ต่อไปห้ามพูดอะไรไม่เข้าเรื่องอีก เข้าใจมั่วครับ?”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เจียงสื้อสื้อรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “เดี๋ยวเรามาถ่ายรูปกันสักใบนะคะ วิวสวยๆ แบบนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด”
เธอเห็นคู่รักหลายๆ คู่กำลังถ่ายรูปอยู่ เธอจึงรู้สึกอยากถ่ายบ้าง
รูปที่เธอถ่ายคู่กับเขานั้นมีน้อยมาก ถ้ามีโอกาสได้ถ่ายเพิ่มสักรูปก็ต้องรีบถ่ายเอาไว้ เก็บเอาไว้ให้เขาเป็นที่ระลึก
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า “ครับ”
หลังกินอาหารเสร็จ เจียงสื้อสื้อก็ดึงจิ้นเฟิงเฉินไปที่ราวระเบียง แล้วเรียกพนักงานมา
“รบกวนคุณช่วยถ่ายรูปให้เราหน่อยได้มั้ยคะ?”
หลังจากที่เจียงสื้อสื้อถามไป พนักงานก็ตอบตกลงทันที
พวกเขาถ่ายรูปไปหลายใบ เจียงสื้อสื้อเอามาดู ถ่ายได้ไม่เลวเหมือนกัน
“ขอบคุณค่ะ”
เธอกล่าวขอบคุณกับพนักงานคนนั้น จากนั้นก็เอารูปให้จิ้นเฟิงเฉินดู ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก “รูปมันออกมาดีมากเลยใช่มั้ยคะ?”
จิ้นเฟิงเฉินมองรูปแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา “ครับ สวยดี”
เจียงสื้อสื้อก้มหน้าไปดูรูปทีละใบ มองดูตัวเองในรูปที่กำลังยิ้มอย่างคนบ้า แล้วรอยยิ้มตรงปากก็ค่อยๆ จางหายไป
เธอคาดหวังเพียงใดที่อยากจะยิ้มอย่างบ้าบอแบบนี้กับเขาไปชั่วชีวิต
ถึงความคิดจะสวยงามเพียงใด แต่ความจริงนั้นกลับเจ็บปวดเหลือเกิน
เธอรู้ดีว่าร่างกายของตัวเองนั้นเป็นยังไง ก็เหมือนกับระเบิดที่รอวันระเบิด ไม่รู้ว่าจะระเบิดเมื่อไหร่
จิ้นเฟิงเฉินสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเธอ เขาขมวดคิ้ว “คิดอะไรอยู่ครับ?”
พอได้ยินเสียงของเขา เจียงสื้อสื้อก็เก็บความรู้สึกทั้งหมดลงไป รอยยิ้มที่สดใสเผยออกมาอีกครั้ง “ไม่ได้คิดอะไรค่ะ แค่รู้สึกว่ารูปมันสวยมาก คุณเองก็ดูดีมาก”
จิ้นเฟิงเฉ้นจ้องเขม็งมาที่เธอ เหมือนเห็นอะไรบางอย่างจากรอยยิ้มนั้น
เจียงสื้อสื้อรู้สึกละอายใจ แสร้งทำเป็นเมินหน้าหนีโดยไม่ได้คิดอะไร “เหมือนจะดึกมากแล้วนะคะ เรากลับกันเถอะ”
เธอเดินตรงไปที่ภัตตาคารก่อนเมื่อมองดูแผ่นหลังที่กำลังจากไปของเธอ จิ้นเฟิงเฉินก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เขาหวังแค่ว่าตัวเองจะกังวลมากไป