ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 411
บทที่ 441 เสียสละบางสิ่งเพื่อสิ่งที่สำคัญกว่า
“ก็แค่เสียสละบางคนเพื่อคนทั้งหมดที่เหลือเท่านั้นแหละ”
“ถ้าซุนฉู่ไม่ออกมารับโทษแทน งั้นที่จะต้องซวยคือทั่วทั้งจินเจี่ยจงนี่แหละ”
เฉินเฟิงพูดเสียงเรียบ ที่จริงแล้วหลายวันก่อน ตอนจ้าวเชียนชิวไปปักกิ่ง เขาก็เดาได้แล้วว่าต้องเป็นสถานการณ์อย่างตอนนี้
จอมยุทธ์อ้านจิ้งสามคนนั้นโดนจินเจี่ยจงจดเข้าบัญชีดำเรียบร้อย ไม่ว่ายังไงจินเจี่ยจงก็สลัดความผิดฐานเป็นหนอนบ่อนไส้กับนักดาบประเทศญี่ปุ่นไม่พ้นอยู่ดี
ในเมื่อสลัดความผิดนี้ไม่พ้น ก็มีแต่ต้องหาทางอธิบายกับสหพันธ์สงคราม
และซุนฉู่คือการอธิบายนั่นเอง
ปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้คนหนึ่งเพียงพอสยบความโกรธของสหพันธ์สงคราม
ส่วนเรื่องคนอื่นของจินเจี่ยจงจะร่วมมือกับนักดาบประเทศญี่ปุ่นหรือไม่นั้น…
เฉินเฟิงรู้สึกว่าน่าจะยังมีอีก แต่น่าจะเป็นแค่ระดับสูง
“ตอนนี้อย่างเดียวที่น่าเสียดายคือ ซุนฉู่ไม่ได้สารภาพว่าใครเป็นคนร้ายเบื้องหลัง เขากัดฟันยืนยันว่าตัวเขาเองมีความแค้นกับนาย เลยส่งนักดาบประเทศญี่ปุ่นไปฆ่านาย” สือโพ่จุนถอนหายใจ ออกแนวเสียดายเล็กน้อย
“เหอะๆ ความแค้น?”
“น่าขำ”
“ผมกับเขาไม่เคยเจอกันมาก่อน ผมยังไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเลยจนกระทั่งวันนี้ ระหว่างพวกเราจะมีความแค้นอะไรได้?” เฉินเฟิงยิ้มหยัน ซุนฉู่พูดแบบโกหกไม่เนียน คนมีตาก็ดูออกกันทั้งนั้น
แต่ต่อให้ดูออกแล้วจะเป็นยังไงล่ะ? ทุกคนต่างรู้กันดีว่าเบื้องหลังซุนฉู่มีเงาใครบางคนอยู่
แต่จะสืบได้ไหมล่ะ?
ไม่ได้น่ะสิ!
เพราะแค่สืบมาจนถึงซุนฉู่ได้ ก็โดนส่งปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้คนหนึ่งออกไปเลย
ถ้าสืบต่อไป ใครจะรู้ว่าจะไปโดนเทพองค์ไหนเข้าอีก
เพราะสหพันธ์สงครามก็แค่องค์กรอิสระ เงาเบื้องหลังซุนฉู่เห็นได้ชัดแล้วว่าจะกระทบตระกูลดังในประเทศได้
คนที่จะสามารถสืบตระกูลดังในประเทศได้มีแต่สหพันธ์บูโดเท่านั้น
แต่ตัวสหพันธ์บูโดสาขาจงไห่เองยังไม่สะอาดเลย ให้คนของสหพันธ์บูโดสาขาจงไห่ไปสืบหาคนเบื้องหลังซุนฉู่ ใครจะรู้ว่าจะสืบได้อะไร?
ดังนั้นพอสืบมาถึงซุนฉู่ ก็เป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว
สำหรับคนเบื้องหลังซุนฉู่ ถึงสหพันธ์สงครามจะไม่ได้ชัดเจนอะไร แต่เฉินเฟิงก็พอเดาได้
แต่อำนาจของพวกเขาดูน่ากลัวไปหน่อยสำหรับเฉินเฟิง
ต่อให้เดาได้ เฉินเฟิงก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เขาได้แค่ตีเนียนหูหนวกตาบอดเท่านั้น
“เสี่ยวเฟิง หลังจากเรื่องนี้แล้ว จินเจี่ยจงคงจะเกลียดนายเข้ากระดูกแล้วแน่ๆ ดังนั้นนายต้องระวังตัวให้มากๆนะ” สือโพ่จุนเตือนเสียงต่ำ
“พี่สือวางใจเถอะ ผมจะระวังตัวครับ” เฉินเฟิงพยักหน้า สมควรแล้วที่จินเจี่ยจงจะเกลียดเขา แต่ตอนนี้พวกเขาเองก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะมีสหพันธ์สงครามคอยกุมเชิงอยู่
ถ้าตอนนี้เขาเป็นอะไรไป เป้าหมายแรกที่สหพันธ์สงครามจะสงสัย ก็คือจินเจี่ยจง
ดังนั้นถ้าจินเจี่ยจงฉลาด ก็ควรจะสวดมนต์ภาวนาให้เขาอย่าเป็นอะไรไปตอนนี้ ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา จินเจี่ยจงเละแน่
ที่จริงแล้วตอนนี้จินเจี่ยจงก็ไม่ดีนัก
สถานการณ์แบบนี้หลังจากที่จ้าวเชียนชิวกลับไป ยิ่งเห็นได้ชัด
ในสำนักต่างโอดครวญไปตามๆกัน
เรื่องที่ซุนฉู่สมคบคิดนักดาบประเทศญี่ปุ่นแพร่ไปทั่ววงการศิลปะการต่อสู้
ศิษย์สำนักจินเจี่ยจงที่ภูมิใจในสำนักที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสำนักที่แกร่งมาก หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป แทบจะแปลงร่างเป็นหนูข้างถนนที่โดนจอมยุทธ์คนอื่นของวงการศิลปะการต่อสู้รังเกียจ
จะบอกว่าไม่รู้สึกโกรธ มันเป็นไปไม่ได้หรอก
ซุนฉู่เป็นถึงรองเจ้าสำนักจินเจี่ยจง ในหลายเรื่องเขาสามารถเป็นตัวแทนจินเจี่ยจงได้เลย
แต่ตอนนี้เขากลับทำเรื่องที่น่าอับอายขนาดนี้
มันทำให้ศิษย์มากมายไม่เข้าใจกัน
พวกเขาคิดไม่ออกจริงๆว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้ซุนฉู่สมคบคิดนักดาบประเทศญี่ปุ่น?
ในฐานะรองเจ้าสำนักจินเจี่ยจง ถ้ามีความแค้นกับใครจริง เขาสามารถสั่งศิษย์ในสำนักออกไปล้างแค้นให้เขาได้นี่นา
แต่เขากลับเลือกวิธีที่โง่ที่สุดแบบนี้: สมคบคิดนักดาบประเทศญี่ปุ่น
เขาไม่รู้จริงๆหรอว่า วงการศิลปะการต่อสู้ของหวาเซี่ยกับวงการศิลปะการต่อสู้ของประเทศญี่ปุ่นไม่ถูกกันมานานปี?
เขาไม่เข้าใจจริงๆหรอว่าการสมคบคิดนักดาบประเทศญี่ปุ่นมาลอบฆ่าจอมยุทธ์หวาเซี่ยมันถือเป็นการละเมิดวงการศิลปะการต่อสู้น่ะ?
ในใจของศิษย์มากมายต่างเก็บกดความไม่พอใจไว้ เดิมคิดว่าพอจ้าวเชียนชิวกลับมา จะให้คำอธิบายที่มีเหตุผลกับพวกเขา
แต่ใครจะรู้ว่า พอจ้าวเชียนชิวกลับสำนัก กลับไม่มองพวกเขาเลยสักนิด และมุดหัวเข้าห้องฝึกยุทธ์
การกระทำนี้ทำให้ศิษย์ในสำนักมากมายที่ไม่พอใจจ้าวเชียนชิวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งผิดหวังมากยิ่งขึ้น วันนั้นเลยมีศิษย์จำนวนไม่น้อยเก็บข้าวของไปจากจินเจี่ยจงเอาดื้อๆ
ซึ่งจ้าวเชียนชิวไม่รู้เรื่องนี้เลย
แน่นอนว่า ต่อให้เขารู้ เขาก็ไม่แสดงอะไรออกมา
เพราะ ณ วินาทีนี้เขามีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าต้องทำ
พอเข้าห้องฝึกยุทธ์ จ้าวเชียนชิวเดินตรงไปที่กำแพงด้านตรงข้ามประตู
เขามองไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง พอแน่ใจว่าไม่มีใครก็ยื่นมือไปเอาภาพที่ฝาผนังลงมา
ตอนนี้ถ้ามีใครอยู่ด้วย คงจะได้เห็นภาพที่น่าอัศจรรย์นี้
หลังจากจ้าวเชียนชิวหยิบภาพลงมา กำแพงที่ขาวเนียนแต่เดิมกลับแตกแยกออกเป็นทางเข้า เหมือนประตูอัตโนมัติ ค่อยๆเปิดช่องทางออกมา แสดงให้เห็นทางลับสีดำ ทางลับนี้สูงประมาณหนึ่งจุดห้าเมตร กว้างประมาณหนึ่งเมตร แทบจะใหญ่เท่ากับภาพ
ส่วนด้านใน นอกจากความดำมืดแล้ว มองไม่เห็นอะไรเลย
จ้าวเชียนชิวมองรอบด้านอย่างระแวงอีกครั้ง พอแน่ใจว่าด้านหลังไม่มีใคร ก็กระโดดเข้าทางลับทันที
หลายวินาทีต่อมา ผนังทางลับขยับตัวเข้าหากันและปิดสนิท ผนังก็กลับเป็นสีขาวเหมือนตอนแรกเลย
หลังจากจ้าวเชียนชิวเข้าทางลับ ทางด้านในยังดำมืดสนิท
แต่สำหรับจอมยุทธ์หั้วจิ้งแล้ว ความมืดแค่นี้ไม่เป็นอุปสรรคอะไรเลย
จ้าวเชียนชิวเดินเร็วคล้ายบิน แทบจะเหมือนเดินในทางเรียบ ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ออกจากทางลับ
พอออกจากทางลับ ความสว่างเริ่มเข้ามาในสายตา
สิ่งที่เข้าสู่สายตาคือถ้ำที่ตกแต่งอย่างสวยงาม มีพื้นที่ราวสามสิบกว่าตารางเมตร
ถ้ำถูกทำความสะอาดไว้ดีมาก สามารถเห็นได้ชัดเลยว่า มีคนมาที่นี่อย่างสม่ำเสมอ
“สถานการณ์เป็นยังไง?”
หลังจากจ้าวเชียนชิวเข้าถ้ำ บนเก้าอี้ตรงกลางถ้ำมีเงาร่างดำที่ใส่เสื้อคลุมสีดำค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เบนสายตามาที่จ้าวเชียนชิว
“เกิดเรื่องแล้ว” จ้าวเชียนชิวมองเงาดำนั่นก่อนพูดเสียงขรึม
“แค่ลอบฆ่าจอมยุทธ์อ้านจิ้งคนหนึ่ง จะเกิดเรื่องอะไรได้?” เงาดำขมวดคิ้ว น้ำเสียงบ่งบอกความไม่พอใจ
“เขาไม่ใช่อ้านจิ้ง!” จ้าวเชียนชิวพยายามสะกดกลั้นความโมโหในใจและพูดออกมา ตอนแรก เขาก็คิดว่าเฉินเฟิงจะเป็นอ้านจิ้ง เลยให้ซุนฉู่ไปติดต่อนักดาบประเทศญี่ปุ่นที่เคยรู้จักเมื่อก่อน เดิมคิดว่านักดาบญี่ปุ่นคนนั้นจะฆ่าเฉินเฟิงได้ง่ายดาย แต่ใครเลยจะคิดว่า เขาไม่เพียงแตะต้องเฉินเฟิงไม่ได้เลยแม้แต่ปลายเล็บ ยังโดนเฉินเฟิงจับตัวไว้ได้อีก
“ไม่ใช่อ้านจิ้ง? เป็นหั้วจิ้งหรอ?!” เสียงเงาดำแหบพร่า ทำให้คนขนหัวลุกสะท้านเยือก
“ไม่แน่ใจ แต่เป็นไปได้มากว่าใช่” จ้าวเชียนชิวพูดเสียงขรึม เขาไม่ค่อยแน่ใจระดับของเฉินเฟิงจริงๆ แต่วิเคราะห์ตามสถานการณ์วันนั้น ต่อให้เฉินเฟิงไม่ใช่หั้วจิ้ง ก็คงไม่ห่างไกลกันมากนัก