ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 440
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 440 เธอชื่อว่าหลินหวั่นชีว
ถ้าสวรรค์ให้โอกาสเธออีกครั้งหนึ่ง เธอคงไม่ทำตัวแบบนั้นกับเฉินเฟิง
“ลูกสาว แกกับเฉินเฟิง… เรื่องของพวกแกสองคนมีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม?” หลินหลันอดถามไม่ได้ ตั้งแต่การแสดงที่มีต่อเฉินเฟิงในวันนั้น เขายังคมีความรู้สึกกับเสี้ยเมิ่งเหยา ขอแค่มีความรู้สึก แล้วทำไมคนสองคนถึงไม่กลับมาคืนดีกันล่ะ
“แม่ว่าไงล่ะ?” เสี้ยเมิ่งเหยาฉีกยิ้มที่มุมปากอย่างเยาะเย้ย ถึงแม้ว่าจะคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก ว่าหลังจากที่ตนเองพูดความจริงออกไปแล้ว หลินหลันจะมีการแสดงออกแบบนี้
ทว่าตอนที่หลินหลันพูดความจริงแบบนั้นออกมา เธอยังมีความรู้สึกขยะแขยงมาไม่ทันตั้งตัว เพราะนี่เป็นมารดาของตนเอง ผู้หญิงที่หิวเงิน
เหมือนว่าฟังถึงน้ำเสียงที่ถากถางของเสี้ยเมิ่งเหยาแล้ว ทันใดนั้นหลินหลันเก้อเขินทันที
“ลูกสาว ก่อนหน้านี้แม่ ที่มีความบ้าอำนาจอยู่บ้าง แถมดื้อดึงสุดๆ แม่ก็ทำเพื่อแกทั้งนั้น”
“นอกจากนี้แล้ว เฉินเฟิงเขาเป็นถึงคนของตระกูลเฉิน แล้วทำไมตั้งแต่แรก เขาไม่บอกฐานะที่แท้จริงของเขา แล้วยังหลอกพวกเรามาตลอดทำไมกัน?”
“ถ้าไม่หลอกลวงพวกเรา ระหว่างแกกับเขา ก็คงไม่ต้องมาถึงขั้นนี้เหมือนวันนี้หรอก” หลินหลันพูดความผิดของตนเองออกมา
“ถ้าเขาไม่หลอกลวงพวกเรา? แม่ก็คงไม่ด่าเขาว่าไอ้ไร้ประโยชน์ใช่ไหม?” เสี้ยเมิ่งเหยาพูดอย่างแสยะยิ้ม
“งั้นน่าจะเพราะว่า ถ้าฉันรู้ว่าเขาเป็นคนในตระกูลเฉิน อย่าพูดเลยว่าจะด่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์อีก สายเกินไปที่ฉันจะประจบด้วยซ้ำ” หลินหลันทำปากแข็ง ถึงแม้ว่าคำพูดหน้าด้านนี้ แต่นี่เป็นวิธีคิดในก้นบึ้งหัวใจของเธอ ถ้ารู้ว่าเฉินเฟิงมีฐานะเป็นทายาทอภิมหาเศรษฐี เธอต้องถวายหัวยกให้เฉินเฟิงเป็นเทพเทวดาเลยทีเดียว
“คุณยังพูดเรื่องความจริง” เสี้ยเมิ่งเหยาอดไม่ไหวที่จะถากถางอีกประโยค เธอประหลาดใจมาก หลังจากที่หลินหลันรู้เรื่องเฉินเฟิงกับฐานะของตระกูลเฉินที่เป็นศัตรูกันในเวลานี้แล้ว จะมีการแสดงออกอย่างไร?
การที่ถูกเสี้ยเมิ่งเหยาพูดความเป็นจริงใส่ หลินหลันกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ หลินหลันในเวลานี้แค่คิดว่าจะทำยังไงดีที่ให้เฉินเฟิงกลับมาคืนนี้กับเสี้ยเมิ่งเหยา
“ลูกสาว แม่ดูออก ว่าเฉินเฟิงยังคงชอบแกอยู่ หรือไม่แกไปหาเขา แล้วพูดเรื่องกลับมาคืนดีกันใหม่ไหม?”
“ฉันรู้สึกว่าพวกแกสองคนแค่ทำผิดพลาดไป มันน่าเสียดายจริงๆ”
“น่าเสียดาย?” เสี้ยเมิ่งเหยายิ้มแห้งๆ ให้ “ตอนนี้รู้แล้วว่าน่าเสียดายแล้วสิ? ทำไมตอนอยู่ที่ด้านหน้าที่ว่าการอำเภอ แม่ก็ไม่ได้พูดอย่างนี้นี่”
หลินหลันฉีกยิ้ม “ตอนนั้นแม่ยังไม่รู้ฐานะเขานี่”
“ตอนนี้รู้แล้ว แม่มั่นใจว่าเฉินเฟิงให้ความสุขกับแกได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้คิดแทนพวกแก”
“ถ้าแม่อยากคิดแทนฉันแล้วละก็ ต่อไปก็หยุดมาก่อกวนที่บริษัทน้อยหน่อย” เสี้ยเมิ่งเหยาเอ่ยปากอย่างเย็นชา หลายวันมานี้หลินหลันเอาแต่มาที่บริษัทคางเหม่ยกรุ๊ปตามอำเภอใจ ทำราวกับเอาบริษัทคางเหม่ยกรุ๊ปเป็นเหมือนบ้านของตนเอง พนักงานบริษัทคางเหม่ยกรุ๊ปต่างเริ่มซุบซิบ ทว่าด้วยว่าเธอทำงานในฐานะประธานบริษัท แม้กระทั่งพนักงานเหล่านี้พูดซุบซิบนินทาเรื่องหลินหลัน ก็ไม่กล้าจะออกปากพูดอะไร
“ต่อไปแม่มาที่บริษัทให้น้อยหน่อย ส่วนเรื่องกลับไปคืนดีกับเฉินเฟิงนั้น แกเก็บเอาไปคิดดู” หลินหลันยิ้มให้ เพราะว่าตอนนี้ไม่ว่าเสี้ยเมิ่งเหยาจะพูดอะไรมาเธอก็รับฟังทั้งนั้น ขอแค่สามารถทำให้เสี้ยเมิ่งเหยามีความสุขได้ ให้เธอทำอะไรเธอทำได้ทุกอย่าง
หลังจากที่ส่งหลินหลันกลับไปแล้ว เสี้ยเมิ่งเหยาก็ควานหาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ แล้วก็หาเบอร์โทรศัพท์ของเฉินเฟิง
ทุกครั้งที่มองเบอร์ที่คุ้นตานี้ สีหน้าของเสี้ยเมิ่งเหยาจะสับสนมาก
ครั้งนี้ก็เช่นเดิม
ถึงกับต้องใช้เวลาสิบกว่านาที เสี้ยเมิ่งเหยาถึงกดโทรศัพท์ออกไป
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ก็มีเสียงรับสายออกมาจากทางปลายสาย
“คุณอยู่ที่ไหน?” เสี้ยเมิ่งเหยาพยายามทำน้ำเสียงของตนเองให้ปกติ
“อยู่บริษัท” เฉินเฟิงก็ตอบทันควัน
“เรื่องป้าสอง…รบกวนคุณด้วยนะ”
“ไม่รบกวนอะไร ก็แค่โทรศัพท์ออกไปเท่านั้นเอง” เฉินเฟิงยิ้มให้เวลาตอบ ความจริงแล้ว เหมือนที่เขาพูดนั่นแหละ อยากให้หลินเย่นทำตัวดี มีวิธีการมากมาย วิธีที่ง่ายที่สุกคือโทรศัพท์หาหลิวคุน ให้หลิวคุนเป็นคนจัดการ
“เมื่อครู่หลินเย่นมาหาฉัน เธอพูดว่าเธอรู้ตัวว่าทำผิดไปแล้ว” หลังจากที่ลังเลอยู่สักพัก เสี้ยเมิ่งเหยาถึงได้เอ่ยออกมา
เฉินเฟิงตะลึงอยู่ประเดี๋ยว จากนั้นก็ยิ้มให้ “ฉันรู้แล้ว เรื่องโรงแรมของสามีของเขานั้น ฉันจะให้คนไปยกเลิกการปิดอย่างรวดเร็ว”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อครู่ฉันบอกแม่ไปแล้วเรื่องที่คุณเป็นคนของตระกูลเฉิน ช่วงนี้เขา คงต้องไปยุ่งวุ่นวายกับคุณแน่” เสี้ยเมิ่งเหยาพูดอย่างขอโทษ เมื่อครู่เธอเองก็ถูกหลินหลันโมโหใส่ ถึงได้อดใจไม่ไหว เลยต้องพูดเรื่องฐานะที่แท้จริงของเฉินเฟิง ตอนนี้สามารถสงบสติอารมณ์ได้แล้ว จนรู้สึกเสียใจที่เผลอพูดออกไป
ด้วยนิสัยด้านได้อายอดของหลินหลันแล้ว สองสามวันนี้ต้องไปวุ่นวายกับเฉินเฟิงแน่นอน
“ไม่เป็นไร” เฉินเฟิงยิ้มให้ แต่ไม่ได้ใส่ใจ
“ใช่สิ เธอ….เป็นไงบ้างแล้ว?” เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เสี้ยเมิ่งเหยาเอ่ยปากถาม
“เธอดีขึ้นเยอะแล้ว ไม่มีปัญหาใหญ่หลวงอะไร ช่วงนี้ก็อยู่ที่โรงพยาบาล” เฉินเฟิงพูดไปตามความจริง คนที่เสี้ยเมิ่งเหยาเอ่ยปากถาม ก็คือหลินหวั่นชีว
“คุณพูดเรื่องราวความเป็นมาของเธอได้ไหม?” เสี้ยเมิ่งเหย่าสูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอดแล้วเอ่ยปากถาม เธออยากรู้ ว่าเฉินเฟิงรู้จักกับหลินหวั่นชีวยังไง เธอจำเป็นต้องถามคำถามนี้ตรงๆ
“ได้สิ” เงียบอยู่สักพัก เฉินเฟิงก็พยักหน้าให้
“เธอชื่อว่าหลินหวั่นชีว ฉันเจอกับเธอครั้งแรกที่….”
หลังจากที่พูดเรื่องราวการทำความรู้จักกันของหลินหวั่นชีวทุกรายละเอียดบอกไปหมดแล้ว ในที่สุดเฉินเฟิงก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา
“เธอเป็นผู้หญิงที่ดี” น้ำเสียงของเสี้ยเมิ่งเหยาดูสับสน การตัดสินของเธอก่อนหน้านี้ ไม่ผิดไปเลย ข้างกายของเฉินเฟิง ปรากฏ “เธอ” อีกคนหนึ่งขึ้น
คำว่า “เธอ” ความรักที่มีให้เฉินเฟิง ก็ไม่ได้น้อยกว่าเธอเลย
“ดูแลเธอให้ดี” หลังจากถอนหายใจแล้ว เสี้ยเมิ่งเหยาก็ตัดสายทิ้ง
อีกฝั่งที่อยู่ปลายสาย เฉินเฟิงได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
ไม่พูดไม่ได้เลย เรื่องราวในวันนี้มันพัฒนามาถึงขึ้นนี้ มันเกินความคาดเดาจากเขาไปทั้งเยอะ
ตอนที่เฉินเฟิงกำลังคิดว่าจะจัดการเรื่องความสัมพันธ์กับหลินหวั่นชีวอย่างไรดี สือโพ่จุนก็โทรศัพท์เข้ามา
“เสี่ยวเฟิง เรื่องการจัดการจินเจี่ยจงมีคำสั่งออกมาแล้วนะ” เสียงในโทรศัพท์ สือโพ่จุนพูดตรงๆ
“จัดการยังไง?” เฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะถามกลับ
“ทำลายวรยุทธ์ของรองประมุขซุนฉู่ให้สิ้นซาก จากนั้นก็เนรเทศให้ออกจากเมืองซะ”
“นอกจากนี้ ลูกศิษย์ของจินเจี่ยจงที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลอบสังหารในครั้งนี้ทุกคน ให้เข้าคุกจอมยุทธ์โทษจำคุกสิบปี” สือโพ่จุนพูดสั่งการ
“ได้” เฉินเฟิงรับคำสั่ง ไม่พูดได้เลยว่า ผลลัพธ์ของการจัดการสหพันธ์สงคราม มันอยู่นอกเหนือความคาดการณ์ของเขาไปมาก
สองวันก่อนจินเจี่ยจงหัวหน้าประมุขจะมาที่เมืองหลวง หลังจากที่รองหัวหน้าประมุขซุนฉู่ร่วมมือสมคบคิดกับนักดาบประเทศญี่ปุ่น เฉินเฟิงยังคิดว่า สหพันธ์สงครามคงต้องจัดการแบบในทางกว้างเท่านั้น
เพราะถึงอย่างไรซุนฉู่ก็เป็นจอมยุทธ์หมิงจิ้งคนหนึ่ง
มหาปรมาจารย์ท่านนี้ไม่บอกปีที่แน่ชัด หมิงจิ้ง ก็คือพลังสูงสุดแล้ว
ตามบันทึกจอมยุทธ์หมิงจิ้งวงการต่อสู้ของสหพันธ์บูโดแห่งหวาเซี่ย มีไม่ถึงหนึ่งร้อยคน
ทุกครั้งที่สูญเสียปรมาจารย์ไป สร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับวงการศิลปะการต่อสู้ของหวาเซี่ยเป็นอย่างมาก
เดิมคิดว่าทางสหพันธ์สงครามจะขังซุนฉู่หลายปีเพื่อรับโทษ
แต่ไม่คิดเลยว่า สหพันธ์สงครามจะตัดสินใจทำลายวรยุทธ์ของซุนฉู่ทั้งหมด
“ครั้งนี้จินเจี่ยจงหักแขนหักขาลงโทษอย่างหนัก ซุนฉู่ไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในสี่มหาปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ เขายังเป็นศิษย์น้องของหัวหน้าเจ้าสำนักของจ้าวเชียนชิวด้วย เมื่อเอามาโยงกับจ้าวเชียนชิวเป็นคนที่สนิทสนมกันดี แต่ว่าวันนี้กลับถูกจินเจี่ยจงสั่งลงโทษวินัยสูงสุด…” น้ำเสียงของสือโพ่จุนมีความรู้สึกความเสียใจอยู่บ้าง ปรมาจารย์ทางด้านศิลปะการต่อสู้ท่านหนึ่ง เมื่อจินเจี่ยจงบอกว่าไม่เอาก็ถูกจัดการซะงั้น