ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 507
บทที่ 507 ฝากตัวเป็นศิษย์
“ฮ่าฮ่า รุ่นน้องหูก็พูดเกินไป จอมยุทธ์สิบคนที่ขึ้นเวทีในครั้งนี้นอกจากผมแล้วยังมีอัจฉริยะอย่างมหาปรมาจารย์ด้านกระบี่อีกคน คนนั้นไม่ควรมองข้ามเลย” จางเทียนเซอเอ่ยแกมหัวเราะ
“มหาปรมาจารย์ด้านกระบี่คนนั้นมองข้ามไม่ได้อยู่แล้ว แต่ผมคิดว่ารุ่นพี่จางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย” หูฉี่ซิงตอบกลับ ความจริงแล้วความสามารถของจางเทียนเซอสู้มหาปรมาจารย์ด้านกระบี่ไม่ได้หรอก ทว่าต่อหน้าจางเทียนเซอเขาจะพูดความจริงก็ไม่ได้ ต้องพูดประจบแบบนี้ถึงจะถูก
“รุ่นน้องหูก็ชมเกินไป ถึงแม้ฝีมือผมจะไม่ธรรมดาแต่เมื่อเทียบกับอัจฉริยะคนนั้นแล้วผมก็ยังถือว่าด้อยกว่าอยู่หน่อย” จางเทียนเซอเปลี่ยนสีหน้าก่อนเอ่ย ถึงแม้เขาจะหลงตัวเองยังไงแต่เขาก็รู้ดีแก่ใจ มหาปรมาจารย์ด้านกระบี่คนนั้นเป็นถึงอันดับต้นๆในรุ่นเยาวชนของสหพันธ์หวาเซี่ย เมื่อเทียบกับคนนั้น จางเทียนเซอก็เทียบไม่ติด
เฉินเฟิงไม่ได้สนใจจางเทียนเซออีก เขาเดินไปอีกด้านก่อนจะตักโจ๊กมาถ้วยหนึ่งพร้อมกับของหวานเล็กน้อยแล้วเริ่มลงมือทานอาหารเช้า
เมื่อทานเสร็จเฉินเฟิงก็เดินกลับไปยังห้องพักของตัวเอง
ผ่านไปสักพักหลังจากจิตใจสงบแล้ว เฉินเฟิงก็เริ่มฝึกวิชา
เขาผ่านขั้นหั้วจิ้งมาก็ครึ่งปีแล้ว
ครึ่งปีที่ผ่านมา เขามักจะอบอุ่นและเพิ่มความแข็งแกร่งพลังในร่างกายอยู่เสมอ
การกระทำและผลลัพธ์มักสอดคล้องกันเสมอ จากการอบอุ่นและเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังในร่างกายมาตลอดครึ่งปี ตอนนี้พลังของเฉินเฟิงจึงแข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาเพิ่งผ่านขั้นหั้วจิ้งใหม่ๆอยู่มาก
ตอนนี้เขาสามารถควบคุมพลังในร่างกายได้อย่างแม่นยำและปลดปล่อยมันออกมาได้แล้ว
การปลดปล่อยพลังออกมาคือสัญลักษณ์ของจอมยุทธ์ในขั้นหั้วจิ้ง!
จอมยุทธ์คนไหนสักคนในขั้นหั้วจิ้งแค่ออกหมัดทั่วไปพลังที่ปล่อยออกมาไม่ได้รุนแรงน้อยกว่ากระสุนปืนพกสักเท่าไหร่
สามารถเรียกได้ว่าจอมยุทธ์ในขั้นหั้วจิ้งคือการหลุดออกจากขอบเขตของคนธรรมดาแล้ว
ฟึบ ฟับ!
หลังจากการฝึกวิชาตลอดช่วงเช้า เฉินเฟิงก็ลืมตาขึ้นก่อนจะลุกขึ้นยืน เสียงเอ็นและกระดูกทั่วร่างกายดังลั่นไม่หยุดราวกับเสียงร้อง
กร๊อบแกร๊บ!
จากนั้นเฉินเฟิงก็กระโดดลงจากเตียงราวกับผี
ตึง!
วินาทีต่อมา เฉินเฟิงปิดรูขุมขน บิดร่างกาย เปลี่ยนลมปราณเป็นพลังรวมอยู่ที่หมัดก่อนจะชกออกไป
หมัดนี้ไร้เสียงและดูเหมือนจะเชื่องช้า ทว่าความจริงแล้วเร็วถึงขีดสุด!
จากการปล่อยหมัดของเฉินเฟิงมีพลังไร้รูปร่างออกมาจากปลายหมัดของเขาด้วย
ปัง!
พลังนั้นทะลุกระจกไปกระทบกับเสาเหล็กด้านนอกห้องพัก!
หลังจากเสียงนั้นดังขึ้น เสาเหล็กด้านนอกห้องก็มีรอยยุบลงไป รอยยุบลึกประมาณครึ่งนิ้วมือและเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นรอยหมัด!
ไม่เคลื่อนไหวดุจดั่งภูเขา เมื่อเคลื่อนไหวดุจสายฟ้าฟาด!
นี่คืออานุภาพพลังของจอมยุทธ์ขั้นหั้วจิ้ง!
ช่วงหัวค่ำ เรือสำราญก็มาถึงเกาะมุ๋ยลาย
ขณะนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูห้องพักของเฉินเฟิงดังขึ้น เสียงที่ตามมาติดๆกับเสียงเคาะประตูคือเสียงใสๆของฉู่ชีงฉือ “พี่เฉิน ถึงจุดหมายแล้ว”
“ถึงแล้วหรือ?”
เฉินเฟิงพึมพำออกมาก่อนจะลืมตาขึ้น
จากนั้นก็ลงจากเตียงไปเปิดประตูให้ฉู่ชีงฉือ เมื่อประตูเปิดออกก็พบว่าฉู่ชีงฉือยืนรออยู่หน้าประตู
เมื่อเห็นหน้าเฉินเฟิงดวงตาคู่สวยของฉู่ชีงฉือก็กลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “พี่เฉินอีกห้านาทีเรือจะเทียบฝั่งแล้ว เราต้องเตรียมตัวแล้วล่ะ”
“อื้ม ฉันขอไปเก็บของสักครู่”
เฉินเฟิงยิ้มจางๆ ความจริงเขาคิดว่าเรือจะถึงฝั่งตอนกลางดึกเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะถึงตั้งแต่หัวค่ำแบบนี้ซึ่งเร็วกว่าที่เขาคาดการณ์ประมาณสี่ถึงห้าชั่วโมง
ฉู่ชีงฉือพยักหน้าเบาๆพลางเอ่ย “ค่ะ พี่เฉินไปเก็บของเถอะ ถ้าเสร็จเรียบร้อยก็เรียกฉันนะ” เมื่อกลับเข้ามาในห้องพักเฉินเฟิงก็เก็บเฉิงโยวไว้ในฝักดาบ จากนั้นก็เอาผ้าสีดำมาห่อฝักดาบไว้
การเดินทางในครั้งนี้เขาเอาสัมภาระมาไม่มาก นอกจากเฉิงโยวแล้วก็มีแค่โทรศัพท์มือถือเครื่องเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่มีของอะไรให้เก็บ
ไม่ถึงสองนาทีเฉินเฟิงก็ปรากฏตัวที่ประตูห้องอีกครั้ง “ไปกันเถอะ”
“ค่ะ” ฉู่ชีงฉือพยักหน้ารับ ก่อนที่สายตาของเธอจะหยุดอยู่ที่บริเวณด้านหลังของเฉินเฟิง เมื่อเห็นเฉิงโยวที่ถูกห่อด้วยผ้าสีดำฉู่ชีงฉือจึงอดถามออกมาไม่ได้ “พี่เฉิน สิ่งที่พี่สะพายอยู่บนหลังคืออะไร? ดาบหรือ?”
“ใช่ มันคือดาบ” เฉินเฟิงตอบกลับ
ฉู่ชีงฉือตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “พี่เฉินใช้ดาบเป็นด้วยหรือนี่?”
“เป็นนิดหน่อย” เฉินเฟิงอดที่จะลูบจมูกตัวเองไม่ได้ ความจริงแล้วในบรรดาอาวุธสิบแปดชนิด อาวุธที่เขาถนัดที่สุดก็คือดาบ
ในอดีตสิ่งที่เซียวกั่วจงสอนเขามากที่สุดก็คือการใช้ดาบ
เพียงแต่ว่าหลายปีมานี้เขาอาศัยอยู่ในชางโจวจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ดาบ
การต่อสู้ในครั้งนี้กลับทำให้เขามีโอกาสได้จับดาบอีกครั้ง
ใช้เป็นนิดหน่อยหรือ?
เมื่อได้ยินคำตอบนี้มุมปากของฉู่ชีงฉือก็ยกยิ้ม หากคนอื่นบอกว่าใช้เป็นนิดหน่อยอาจจะเป็นแบบนั้นจริง แต่เมื่อเฉินเฟิงบอกว่าใช้เป็นนิดหน่อยเกรงว่าจะไม่หน่อยเหมือนที่พูด
“พี่เฉิน ฉันขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพี่ได้ไหม?” ฉู่ชีงฉือกลอกตาไปมาก่อนจะโพล่งขึ้นมา
“หืม?” เฉินเฟิงทำหน้าแปลกใจก่อนจะเหลือบมองฉู่ชีงฉือแวบหนึ่งพลางเอ่ยถาม “ทำไมจู่ๆถึงอยากฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของฉัน?”
“ฉันรู้สึกว่าฝีมือการใช้ดาบของพี่ไม่ธรรมดา” ฉู่ชีงฉือตอบกลับอย่างจริงจัง
เฉินเฟิงยิ้มฝืดๆ “เธอยังไม่เคยเห็นฉันใช้ดาบเลย……”
“อีกไม่นานก็จะได้เห็นแล้วไงคะ” ฉู่ชีงฉือเอ่ยตัดบทเฉินเฟิง
“เช่นนั้นรอเธอได้เห็นฉันใช้แล้วค่อยว่ากันใหม่เถอะ” เฉินเฟิงเอ่ยอย่างจนปัญญา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆฉู่ชีงฉือถึงมีความคิดแบบนี้ หากเธออยากเรียนดาบ ตระกูลฉู่ก็มีคนสอนมากมาย ถึงตระกูลฉู่จะไม่มีทางมหาปรมาจารย์ด้านกระบี่ก็มีและสามารถทำให้ฉู่ชีงฉือได้เรียนการใช้ดาบอย่างเป็นระบบที่สุด
“ไม่ได้” ฉู่ชีงฉือส่ายหน้าก่อนจะยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ฉันจะฝากตัวเป็นลูกศิษย์ตอนนี้เลย”
“ตอนนี้……” เฉินเฟิงลำบากใจเล็กน้อย จากความสามารถของเขาให้เป็นอาจารย์ของฉู่ชีงฉือก็ไม่มีปัญหา ทว่าในฐานะที่เขาเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเซียวกั่วจง หากเขาจะรับลูกศิษย์ก็จำเป็นต้องถามความเห็นของเซียวกั่วจงก่อน
“พี่เฉิน พี่ไม่อยากรับฉันเป็นลูกศิษย์หรือ?” เมื่อเห็นเฉินเฟิงขมวดคิ้ว ฉู่ชีงฉือก็แสดงสีหน้าน่าสงสารออกมา
เฉินเฟิงยิ้มฝืด “ไม่ใช่ไม่อยากรับแต่หากฉันจะรับลูกศิษย์ก็ต้องถามความเห็นของอาจารย์ฉันก่อน”
“ต้องถามความเห็นอาจารย์ของพี่ก่อนหรือ……” ฉู่ชีงฉือละล่ำละลัก เธอคิดแต่ว่าจะฝากตัวเป็นศิษย์ของเฉินเฟิงยังไง ทว่าลืมคิดถึงปัจจัยทางสำนักของเฉินเฟิงไปเลย การฝากตัวเป็นศิษย์ในวงการศิลปะการต่อสู้กับวงการทั่วไปแตกต่างกันอย่างชัดเจน
การฝากตัวเป็นศิษย์ในวงการทั่วไปไม่ได้ประณีตขนาดนั้น แค่เรียกอาจารย์ มีตำแหน่งก็ถือว่าฝากตัวเป็นศิษย์แล้ว
ทว่าในวงการศิลปะการต่อสู้ การฝากตัวเป็นศิษย์ถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่
ต้องคำนับและสาบานต่ออาจารย์บรรพบุรุษ……
สรุปคือมีความเกี่ยวข้องกับธรรมเนียมที่ถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น การฝากตัวเป็นศิษย์ในวงการศิลปะการต่อสู้จึงค่อนข้างซับซ้อน