ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 592
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 592 ครึ่งทางปรมาจารย์
หลังจากที่ถูกขวัญนินจาลักพาตัวไป เธอคงจะหมดหวังไปแล้ว
เพราะเธอไม่คิดว่า จะมีคนสามารถข้ามน้ำข้ามภูเขา ผ่านความยากลำบากและอัตราย ช่วยเธอออกมาจากขวัญนินจาได้ แต่แล้วเฉินเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้น
ในคืนนั้น สำหรับยอดฝีมือขวัญนินจา เห็นเฉินเฟิงที่เดินออกมาจากความมืดนั้น เป็นเหมือนดั่งเทพแห่งนักฆ่า
แต่สำหรับหลินหวั่นชีว ที่หมดหวังแล้ว เห็นเฉินเฟิงที่เดินออกมาจากความมืดนั้น กลับเป็นเหมือนเทพแห่งนักสู้ เป็นเทพแห่งนักสู้ที่มาพร้อมกับเมฆมงคลหลากสี
ภาพที่ทั้งสองคนกอดกันแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
หลินหวั่นชีวไม่สนใจสายตาของผู้คนรอบๆอย่างสิ้นเชิง เธอกอดเฉินเฟิงไว้แน่นเพียงอย่างเดียว ใช้วิธีแบบนี้บ่งบอกว่าเฉินเฟิง มีความสำคัญต่อเธออย่างมาก
เมื่อตอนที่เธอถูกจับเป็นตัวประกันไปยังประเทศญี่ปุ่น เธอเตรียมพร้อมยอมรับความตายแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า เมื่อถึงวินาทีสุดท้าย เฉินเฟิงกลับปรากฏตัวขึ้นเหมือนดั่งเทพบุตร
เมื่อเธอถูกเฉินเฟิงช่วยเหลือออกมา หลังจากที่กลับมาถึงหวาเซี่ยอย่างปลอดภัย ก็ได้รู้ข่าวว่าเฉินเฟิงถูก วงการศิลปะการต่อสู้ของประเทศญี่ปุ่น กับอิทธิพลใต้ดินร่วมมือกันล่าสังหาร นาทีนั้นไม่มีใครรู้ว่าเธอหมดหวังขนาดไหน
เธอถึงขั้นแอบตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า หากเฉินเฟิงตายอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เธอก็จะไปหาวิธีฆ่าตัวตายอย่างดูดี ไปเป็นเพื่อนเฉินเฟิงในถนนยมโลก
ภาพที่ทั้งสองคนกอดกันแน่นนี้ แทบจะทำให้สีหน้าของผู้ชายทั้งหมดเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา อยากที่จะไปแทนที่เฉินเฟิง และพวกผู้หญิงก็อิจฉาเหมือนกัน อิจฉาความรักที่กล้าหาญขนาดนี้
อืม?
ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มตระกูลหลี่ประเทศกาวลี่ กับจีนสี่เย้นก็เดินออกมาจากทางออกสนามบิน มองเห็นภาพนี้อย่างชัดเจน
วินาทีนั้น พวกเขาต่างก็หยุดฝีเท้าลงอย่างไม่ได้นัดหมาย มองดูเฉินเฟิงกับหลินหวั่นชีว ที่กอดกันไว้แน่นด้วยสีหน้าไม่คาดคิด ความรู้สึกในตอนนั้นเป็นเหมือนดั่งเห็นอะไรที่ไม่คาดคิดที่สุดในโลก
เพราะพูดถึงรูปร่างหน้าตากับท่าที จีนสี่เย้นพ่ายแพ้ให้กับหลินหวั่นชีวทั้งหมด และ…เธอผ่านการศัลยกรรมมา
หลังจากกอดกันแล้ว เฉินเฟิงถือกระเป๋าเดินทาง จูงมือหลินหวั่นชีวแล้วจากไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้หันไปมองชายหนุ่มตระกูลหลี่ประเทศกาวลี่ กับจีนสี่เย้นที่อยู่ด้านข้างเลย
คางคกอยากกินเนื้อหงส์?
ครองโสดตลอดไป?
มองดูเงาร่างเฉินเฟิงกับหลินหวั่นชีวที่จากไป หวนคิดถึงคำพูดก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มตระกูลหลี่ประเทศกาวลี่ หรือจีนสี่เย้น ต่างก็รู้สึกเหมือนโดนคนตบหน้า จนใบหน้าร้อนผ่าว
ตบหน้ากันชัดๆ
นาทีนี้ พวกเขาแทบอยากที่จะมุดแผ่นดินหนีทันที
…………
จากที่เดินออกมาจากสนามบินพร้อมกับหลินหวั่นชีวแล้ว เฉินเฟิงค่อยพบว่า มันนอกสนามบินมีรถจิ๊บทหารสีเขียวสองคันจอดอยู่
รถจิ๊ปสองคันนี้เป็นป้ายตัวเอนำหน้า ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาไม่น้อยต่างก็หันมามอง
ด้านหน้าของรถจิ๊ป มีชายวัยกลางคนสวมชุดทหารยืนอยู่อย่างสงบ
เมื่อมองเห็นเฉินเฟิง สีหน้าของชายวัยกลางคนเผยยิ้มออกมาทันที
“หัวหน้าหวังมาได้อย่างไร?”
เฉินเฟิงค่อนข้างแปลกใจ ชายวัยกลางคนตรงหน้านี้ก็คือหวังเฟิง ที่ส่งชุดทหารไปให้เขาเมื่อก่อนหน้านี้
หวังเฟิงเป็นผู้รับผิดชอบกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษของยันเจียง ในนามแล้ว เขาอยู่ในฐานะหัวหน้า แต่ความจริงแล้ว ตำแหน่งของเขากลับเป็นพลตรี และยังเป็นพลตรีที่มีอำนาจ ยังไงเขาก็เป็นคนควบคุมดูแลกองกำลังพิเศษมังกร เป็นกองกำลังพิเศษที่มีความแข็งแกร่งในการสู้รบที่สุดของหวาเซี่ย
“ท่านผู้อาวุโสก่วน ให้ผมมารับคุณ”
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”
หวังเฟิงยิ้มแย้ม ปฏิบัติการของเค้าในครั้งนี้ได้รับคำสั่งมาจากก่วนหนานเทียน หลังจากที่ได้รู้ผลงานการสู้รบของเฉินเฟิงในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ก่วนหนานเทียนก็ให้เขารีบมายังสนามบินทันที เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่มีต่อเฉินเฟิง
“ขึ้นรถก่อนเถอะ พวกท่านผู้อาวุโสก่วน กำลังรอคุณอยู่” หวังเฟิงพูดขึ้นอีกครั้ง
เฉินเฟิงพยักหัว แล้วก็ขึ้นไปนั่งบนรถจิ๊ปพร้อมกับหลินหวั่นชีว
หลังจากนั้นสองชั่วโมง รถจิ๊ปขับมาถึงภูเขาซีของยันเจียง
เฉินเฟิงมาที่นี่เป็นครั้งแรก ถึงแม้ที่นี่จะเป็นสำนักงานใหญ่ของกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ แต่ระบบความปลอดภัยของที่นี่กลับไม่ได้ดูลึกลับเหมือนที่คิดไว้ ความรู้สึกที่เห็นเป็นเหมือนกับสถานที่ธรรมดา แม้กระทั่งตลอดเส้นทาง เฉินเฟิงยังเห็นมีพวกคนแก่กำลังรำไทเก๊กและเล่นหมากรุกกัน
หากคนที่ขับรถไม่ใช่หวังเฟิง หัวหน้ากองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ เฉินเฟิงคงคิดว่า หวังเฟิงมีผิดที่แล้ว
“ที่นี่ไม่เหมือนกับที่คุณคิดไว้เลยใช่ไหม?” เหมือนดูออกว่าเฉินเฟิงกำลังแปลกใจ หวังเฟิงหัวเราะพร้อมพูดขึ้น
“ก็นิดหน่อย” เฉินเฟิงยิ้มพร้อมพยักหน้า ในความคิดของเขา กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ น่าจะตั้งอยู่ในสถานที่ลึกลับและมีการป้องกันอย่างเข้มงวด แต่ความจริงแล้ว กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กลับให้ความรู้สึกเหมือนบ้านพักคนชรามากกว่า
“กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ ไม่จำเป็นต้องมีการป้องกัน ไม่เคยมีใครกล้ามาก่อเรื่องที่นี่” หวังเฟิงยิ้มพูด ตั้งแต่มีการก่อตั้งกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ ก็เคยจัดให้มีนายทวาร แต่ต่อมานายทวารเหล่านี้ก็ถูกยกเลิก
เพราะคนในกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ ไม่จำเป็นต้องได้รับการปกป้อง
ใครที่สามารถเข้ามาอยู่ในกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ ปล่อยออกไปคนหนึ่ง ก็ล้วนเป็นเหมือนดั่งราชาแห่งทหาร
ยอดฝีมือแบบนี้ ยังจำเป็นต้องได้รับการปกป้องหรือ?
พวกเขาปกป้องความปลอดภัยเหล่านั้นมากกว่า
หลังจากนั้นหลายนาที หวังเฟิงจอดรถไว้ด้านนอกบริเวณกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ
ยังไม่ทันลงจากรถ เฉินเฟิงก็เห็นคนแก่หลายคน เล่นหมากรุกกันอยู่ในสวน
คนแก่คนหนึ่งในนั้น ก็คือก่วนหนานเทียน ก่อนหน้านี้ไม่นาน รับผิดชอบการพนันกับสมาคมการค้าจงไห่ กับสมาคมการค้าเชียสุ่ย
หลังจากที่หวังเฟิงจอดรถสนิทแล้ว ก่วนหนานเทียนก็วางมือเดินลงมาทันที แม้ว่าการแสดงออกของเขาจะดูสงบมาก แต่มุมหางตาของเขาที่เงยขึ้นเล็กน้อย แต่ทรยศต่อความสุขของเขาที่มีในขณะนี้
“ท่านผู้อาวุโสก่วน”
หลังจากลงรถแล้ว เฉินเฟิงทักทายก่วนหนานเทียนอย่างเคารพนับถือ ทันใดนั้น สายตาของเขาก็มองไปยังคนแก่ด้านข้างก่วนหนานเทียน รูปร่างของคนแก่คนนี้สูงมาก สูงกว่าก่วนหนานเทียนกว่าครึ่งศีรษะ
ในตอนนี้ คนแก่ตัวสูงก็กำลังมองดูเฉินเฟิง
เวลานี้ ก่วนหนานเทียนหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้านี่ ทำได้ไม่เลว”
“ไม่เลวจริงๆ เทียนจ้าวเจินเหย่เป็นถึงปรมาจารย์อันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น เจ้านี่จัดการจนเขาพิการ เท่ากับเป็นการ ทำให้ประเทศญี่ปุ่น สูญเสียปรมาจารย์บูโดไปหนึ่งคน” คนแก่ตัวสูงด้านข้างก่วนหนานเทียนพูดขึ้น
“ใช่ ผมชื่อโจวโพ่คอง ผมเป็นรองประมุขสหพันธ์สงคราม”
ไม่รอให้เฉินเฟิงถาม คนแก่ตัวสูงก็เปิดเผยสถานะของตอนเองให้ทราบก่อนแล้ว
“สวัสดีครับ ท่านผู้อาวุโสโจว”
เฉินเฟิงรีบทักทายตอบ ในใจค่อนข้างตกใจ ชื่อของคนแก่ตรงหน้านี้ เขาเคยได้ยินมานานแล้ว
ตำแหน่งของเขาในหวาเซี่ย ไม่แพ้ตำแหน่งของเทียนจ้าวเจินเหย่ที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น
และเมื่อเทียบกับเทียนจ้าวเจินเหย่ เขาอยู่ในอันดับรายชื่อเซียนที่สูงกว่า
อันดับที่สิบเอ็ด
นี่เป็นอันดับของโจวโพ่คองที่อยู่บนรายชื่อเซียน
อีกอย่าง วรยุทธของเขาไม่ใช่หั้วจิ้งชั้นสูงสุด แต่เป็นครึ่งปรมาจารย์
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก อย่างแท้จริง
“คุณเป็นลูกชายของเฉินห้าวเทียนหรือ?” โจวโพ่คองถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เฉินเฟิงอึ้งไปเล็กน้อย แล้วก็พยักหัวเล็กน้อย แต่ว่าในใจกลับรู้สึกแปลกใจ ดูท่าทีโจวโพ่คอง เหมือนรู้จักเฉินห้าวเทียน
“ผมรู้จักพ่อของคุณ” เหมือนรู้ความคิดในใจของเฉินเฟิง โจวโพ่คองพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย
แต่เฉินเฟิงก็ยังคงเงียบ ไม่ได้พูดอะไรมาก พ่อที่เคยเห็นหน้าในตอนเด็กแค่ครั้งสองครั้ง ที่จริงเขาไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลย ดังนั้นต่อให้โจวโพ่คองที่อยู่ตรงหน้าพูดขึ้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรมากมาย เฉินเฟิงไม่แปลกใจ แต่โจวโพ่คองกลับค่อนข้างแปลกใจ เขามองดูเฉินเฟิง พร้อมถามว่า “คุณจะไม่ถามผม เกี่ยวกับเรื่องของพ่อคุณหรือ?”