ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 661
บทที่ 661 เกี่ยวข้องกับศิษย์พี่
“มีเหตุผลสามข้อ เหตุผลข้อที่หนึ่ง เกี่ยวข้องกับตัวคุณเอง ก่อนหน้านี้คุณก็พูดแล้วว่า การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกในครั้งนี้ วงการศิลปะการต่อสู้ ของแต่ละประเทศทั่วโลก ล้วนส่งตัวแทนที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศตนมาร่วมแข่งขัน ดังนั้นการแข่งขันในครั้งนี้ จะต้องได้รับการให้ความสำคัญจากทุกประเทศทั่วโลก หากคุณสามารถแสดงฝีมือในการแข่งขันที่โดดเด่น นี่จะเป็นโอกาสในการสร้างชื่อเสียงที่ดีที่สุดของคุณ”
“เหตุผลข้อที่สอง เกี่ยวข้องกับวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ยของเรา การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกในหลายครั้งก่อน คะแนนของวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ยไม่ได้ดีขนาดนี้ มีหลายครั้ง ตัวแทนของวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ย ไม่เข้ารอบหนึ่งในแปดด้วยซ้ำ ดังนั้นครั้งนี้ ผมอยากให้คุณเป็นตัวแทนวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ย สร้างชื่อเสียงที่ดีสักครั้ง เพื่อลบล้างความอับอายในครั้งก่อน” ก่วนหนานเทียนพูดขึ้นด้วยเสียงเครียด
เฉินเฟิงพยักหัว แล้วพูดว่า “เหตุผลข้อที่สามล่ะ?”
“เหตุผลข้อที่สาม เกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ของคุณ” ก่วนหนานเทียนมองดูเฉินเฟิง พร้อมพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า
“เกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ของผม?”
ได้ยินคำว่าศิษย์พี่สองคำนี้ เฉินเฟิงนิ่งอึ้ง ศิษย์พี่กลายเป็นคนพิการไปแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ?? ทำไมเขาถึงยังเข้ามาเกี่ยวข้องกับ การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกได้อย่างไร?
ก่วนหนานเทียนไม่แปลกใจกับท่าทีของเฉินเฟิง เขามองดูเฉินเฟิงพร้อมพูดขึ้นว่า “คุณน่าจะรู้ ตอนนั้นศิษย์พี่ของคุณถูกทำให้พิการอย่างไร?”
“รู้ครับ” เฉินเฟิงพยักหัวอย่างหนักแน่น และพูดว่า “ตอนนั้นศิษย์พี่ถูกกลุ่มผู้แข็งแกร่งอันดับเทพรุมทำร้าย จากนั่นก็ทุบขาทั้งคู่ของเขาพิการ”
“ท่านประมุขก่วน ความหมายของคุณคือ การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกในครั้งนี้ จะมีผู้แข็งแกร่งอันดับเทพ ที่ร่วมรุมทำร้ายศิษย์พี่ในตอนนั้นลงแข่งขันด้วยหรือ?” เฉินเฟิงถามขึ้นอย่างสงสัย สำหรับศิษย์พี่เย่หนานเทียน ที่จริงเขาไม่ได้รู้จักอะไรมาก เพราะตั้งแต่ที่เขาเห็นศิษย์พี่ ศิษย์พี่ก็นั่งอยู่บนรถเข็นตลอดแล้ว
เขาก็ถามศิษย์พี่แล้วหลายครั้ง เกี่ยวกับสาเหตุที่เขาต้องมานั่งรถเข็น แต่ทุกครั้ง ศิษย์พี่ก็ไม่ยอมบอกเขา สุดท้ายเขาไปรู้มาจากคนอื่น ตอนที่ศิษย์พี่อายุได้ยี่สิบกว่า ได้ถูกผู้แข็งแกร่งอันดับเทพกลุ่มหนึ่งรุมทำร้าย ถูกตัดขาทั้งคู่ขาด จึงต้องมานั่งบนรถเข็น
“พวกเขาไม่เข้าร่วม” แล้วสิ่งที่เฉินเฟิงไม่คาดคิดก็คือ ก่วนหนานเทียนส่ายหัว
“งั้น…”
“แต่ลูกศิษย์ของพวกเขาเข้าร่วม” ไม่รอให้เฉินเฟิงเอ่ยปากถาม ก่วนหนานเทียนก็พูดเสริมขึ้น
ครั้งนี้ สีหน้าเฉินเฟิงเคร่งขรึมลง แม้แต่บนร่างกาย ก็แสดงให้เห็นถึงเจตนาฆ่า
“ท่านประมุขก่วน สามารถเอารายชื่อผู้แข็งแกร่งอันดับเทพ ที่ทำร้ายศิษย์พี่ผมในตอนนั้นให้ผมได้ไหม” เฉินเฟิงพูดขึ้นด้วยเสียงเยือกเย็น ในฐานะที่เป็นศิษย์น้องของเย่หนานเทียน เขากับเย่หนานเทียน ก็เหมือนมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด
อีกอย่าง ตอนนั้นตอนที่เขาหนีจากยันเจียงไปชางโจว เย่หนานเทียนก็ช่วยหนุนหลังอยู่ไม่น้อย หากไม่มีเย่หนานเทียน เมื่อสามปีก่อน เขาคงตายอยู่ในมือของตระกูลเฉินแล้ว
ตอนนี้รู้จากก่วนหนานเทียนว่า ลูกน้องของผู้แข็งแกร่งอันดับเทพพวกนั้นจะลงแข่งขัน เขาจะนิ่งอยู่เฉยไม่ได้แน่
“คุณตัดสินใจที่จะลงแข่งการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกครั้งนี้แล้วหรือ?” ”ก่วนหนานเทียนพูดขึ้น
“ครับ” เฉินเฟิงพยักหัว “ผมตัดสินใจจะเข้าร่วมครับ”
“ที่จริงผมอยากที่จะแก้แค้นแทนศิษย์พี่มาตลอดอยู่แล้ว แต่เพราะความสามารถของผมมีไม่พอมาตลอด”
“แต่การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกในครั้งนี้ กลับเป็นโอกาสที่ดีของผม ผมตัดสินใจที่จะลงมือกับลูกศิษย์ของศัตรูพวกนั้นก่อน เอากำไรมาให้ศิษย์พี่ของผมบ้าง”
“หากไม่เกิดปัญหาอะไร ลูกน้องของคนพวกนั้นต่างก็เข้าร่วม ส่วนสามารถปรากฏอยู่บนสนามการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลก หรือไม่นั้น ค่อนข้างพูดยาก” ก่วนหนานเทียนถอนหายใจ เขาเห็นว่า ตอนนั้นที่เย่หนานเทียนถูกผู้แข็งแกร่งอันดับเทพรุมทำร้ายจนพิการ กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ เป็นสิ่งที่ทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิตของเย่หนานเทียน และเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ย เพราะเย่หนานเทียนในตอนนั้น ได้มาถึงดินแดนครึ่งมหาปรมาจารย์แล้ว เขาอัจฉริยะเหมือนกับเฉินเฟิงในตอนนี้
“ทำไมหรือ?” เฉินเฟิงไม่เข้าใจ
“เหมือนดั่งที่คุณพูดก่อนหน้านี้ ตระกูลนักสู้ที่ไม่ยุ่งในทางโลก สำนักต่างๆ กับอำนาจเร้นลับสูงสุดพวกนั้น ล้วนจะส่งทายาทมาแข่งขันศิลปะการต่อสู้ในครั้งนี้ และจนถึงตอนนี้ ตามกฎของการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลก แต่ละประเทศสามารถส่งตัวแทนได้แค่คนเดียว ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่จะได้เข้าร่วมแข่งขันจึงสำคัญมาก ลูกศิษย์ของคนที่ทำร้ายศิษย์พี่ของคนพวกนั้น ไม่รู้ว่าจะสามารถได้เป็นตัวแทนไหมนั้น ค่อนข้างพูดยาก” ก่วนหนานเทียนพูดอธิบาย แล้วก็พูดเสริมขึ้นอีกว่า “แต่สามารถแน่ใจได้ก็คือ ลูกศิษย์ของศัตรูศิษย์พี่ของคุณบางส่วนพวกนั้น จะปรากฏอยู่บนสนามแข่งแน่ อย่างเช่นออกัสตัสหัวหน้าสภามืดอันดับเทพที่หนึ่ง ลูกศิษย์ของเขาจะต้องสามารถได้ร่วมแข่งขันแน่”
“แบบนี้ดีที่สุด” สายตาเฉินเฟิงหดหรี่ลง แววตาเป็นประกาย เขาคิดไม่ถึงว่า หนึ่งในคนที่รุมทำร้ายศิษย์พี่ ยังมีที่เป็นถึงอันดับเทพอันดับหนึ่ง เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกแบบนี้
ความสามารถของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแบบนี้ ยังไงฝีมือก็ไม่ด้อยกว่ามหาปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้บางส่วน ในขณะเดียวกัน ความสามารถของลูกน้องพวกเขา ก็ไม่มีทางด้อยไปกว่ากัน
หากสามารถฆ่าลูกน้องของพวกเขาบนเวที การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกได้ จะเป็นการทำให้พวกเขาปวดใจไปเนิ่นนาน
“ใช่” หากเป็นทายาทที่แข็งแกร่งที่สุด ของพระพุทธเจ้าแห่งศาสนาพุทธภาคตะวันตก สำนักกระบี่เทียนซาน ทายาทตระกูลจี กับทายาทราชาดาบ คุณยังต้องแข่งขันกับพวกเขาเพื่อไปเป็นตัวแทนเพียงคนเดียว ทุกประเทศมีโควต้าเพียงแค่คนเดียว ทางด้านหวาเซี่ย ก็ไม่สามารถที่จะระบุให้เป็นเฉินเฟิงได้เลย
“หากแม้แต่รายชื่อนี้ก็เอามาไม่ได้ ผมยังจะมีสิทธิ์อะไรที่จะไปเอากำไรกับแก้แค้นให้กับศิษย์พี่ของผม?” เฉินเฟิงได้ยินแล้ว ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความมั่นใจ กับใบหน้าที่เรียบเฉย
ก่วนหนานเทียนอึ้งไป วินาทีนี้ เขาเหมือนเห็นเฉินเฟิงเป็นเหมือนกับเงาเย่หนานเทียนในตอนนั้น…
อาหารหางโจวเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมอาหารภาคใต้ของเมืองเจ้อเจียง เป็นอาหารประเภทที่สำคัญของภาคใต้ของเมืองเจ้อเจียง รสเค็มเป็นหลัก ค่อนข้างหวานนำ “จืด” เป็นคุณลักษณะเชิงสัญลักษณ์ของอาหารหางโจว ตอนเที่ยงเฉินเฟิงมาตามตำแหน่งที่เสี้ยเมิ่งเหยาส่งมาให้ จนมาถึงร้านอาหารร้านหนึ่งที่มีชื่อว่าอาหารหางโจว
ร้านอาหารตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าทะเลสาบตะวันตก อยู่ตรงสี่แยกถนนเล็กๆเส้นหนึ่ง เป็นตึกเก่าสองชั้น ป้ายร้านก็เก่ามาก ทั้งร้านอาหารเต็มไปด้วยความเก่าแก่
ความจริงแล้ว ร้านนี้อยู่มากกว่าสามสิบปีแล้ว ถูกคนเก่าแก่ทะเลสาบตะวันตกขนานนามว่า เป็นร้านอาหารที่อร่อยที่สุดในหางโจว จำกัดปริมาณและเวลาทุกวัน แต่ลูกค้าก็มีเยอะมาก อย่าว่าแต่ไปไม่ทันมื้ออาหาร ต่อให้ไปสายเพียงนิดเดียวก็อาจจะไม่ทันได้ทาน
“มีคนต่อแถวเยอะขนาดนี้ อาหารของร้านนี้น่าจะไม่เลว คุณหาเจอร้านอาหารร้านนี้ได้ยังไง?” เฉินเฟิงกับเสี้ยเมิ่งเหยานั่งอยู่ตรงด้านหน้าโต๊ะหนึ่ง มองดูผู้คนที่รออยู่หน้าประตูแล้วถามขึ้นอย่างสงสัย
“ร้านอาหารใหญ่กินบรรยากาศ ร้านอาหารเล็กกินรสชาติ ช่างสมกับที่พูด ร้านอาหารร้านนี้เห็นบอกว่าเป็นร้านอาหารที่อร่อยที่สุดในทะเลสาบตะวันตก เปิดมาตั้งนานหลายปีแต่ก็ไม่ได้ขยายสาขา แม้แต่บ้านเก่าหลังเดิมก็ยังไม่เปลี่ยน” เสี้ยเมิ่งเหยาพูดแนะนำร้านอาหารหางโจวก่อน แล้วค่อยตอบคำถามของเฉินเฟิงว่า “หลายสิบปีก่อน ฉันมาทานที่นี่กับพ่อแม่ครั้งหนึ่ง เป็นความทรงจำที่ลึกซึ้ง ตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่มาทะเลสาบตะวันตก ก็จะต้องมาทานที่นี่สักมื้อ”
“เป็นแบบนี้นี่เอง” เฉินเฟิงได้ยินแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่า คุณก็เป็นนักกินคนหนึ่ง”