ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 667
บทที่ 667 จุดอ่อนของเฉินเฟิง
“แบบนี้นี่เอง”
เฉินเฟิงครุ่นคิด เซียวกั่วจงสอนวิชาหายใจอันลึกลับให้แก่เขาไม่เพียงแต่ช่วยให้เขาฝึกการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น อีกทั้งเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูวรยุทธก็จะแกร่งกล้ามากขึ้น
เขามีข้อสงสัยในเรื่องนี้มาโดยตลอด วันนี้ได้ฟังจากเย่หนานเทียนเขาก็เพิ่งเข้าใจความเป็นมา พลังภายในเป็นพื้นฐานของจอมยุทธ์ เหมือนดั่งรากฐานของสิ่งก่อสร้างซึ่งมีความสำคัญต่อจอมยุทธ์เป็นอย่างมาก!
“เสี่ยวเฟิง ที่ฉันพูดเมื่อกี้ไม่ได้จะปฏิเสธความสำเร็จในเส้นทางการต่อสู้ของแกนะ พรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้ของแกแข็งแกร่งมากจะบอกว่าแกคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่ที่ฉันเคยเจอมา”
เมื่อเห็นว่าเฉินเฟิงตกอยู่ในภวังค์ก็กลัวว่าคำพูดของเขาจะกระทบจิตใจอีกฝ่ายจึงเอ่ยเสริม “เหล่าทายาทของศิลปะการต่อสู้แห่งตระกูลใหญ่และอำนาจ ถึงแม้จะสามารถผ่านเข้าขั้นหั้วจิ้งได้ก่อนอายุสามสิบแต่ไม่มีใครสร้างการต่อสู้ได้ด้วยตัวเองเหมือนแกแน่นอน เท่าที่ฉันรู้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีใครสร้างการต่อสู้ได้ด้วยตัวเองก่อนอายุสามสิบเพื่อตั้งสำนักขึ้นมาใหม่! ยิ่งไปกว่านั้นกระบี่สแลชมังกรที่แกสร้างขึ้นมามีความทรงพลัง เหมาะแก่การนำมาแสดงมีอานุภาพการทำลายล้างที่น่ากลัว”
“ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ทายาทของศิลปะการต่อสู้แห่งตระกูลใหญ่และอำนาจได้ฝึกการต่อสู้ตั้งแต่เล็กจนโต กระทั่งเทความสนใจทั้งหมดไปอยู่ที่การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ นี่คือสิ่งที่ผมเทียบไม่ได้”
เมื่อได้รับการชื่นชมจากเย่หนานเทียนเฉินเฟิงก็แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน โดยการหาข้อบกพร่องของตัวเอง
“อืม นี่เป็นข้อเสียเปรียบอย่างหนึ่งของแก ทว่าหากแกได้ทุ่มฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เล็กจนโต หนทางความสำเร็จในด้านศิลปะการต่อสู้ของแกนั้นยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุดแน่นอน”
เย่หนานเทียนมีสีหน้าปลื้มใจจากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อการสนทนา โดยชี้แนะถึงข้อบกพร่องอีกอย่างของเฉินเฟิง “นอกจากเวลาในการฝึกฝนการต่อสู้ของแกน้อยแล้ว แกยังมีจุดอ่อนอีกอย่างหนึ่ง”
“ศิษย์พี่พูดมาได้เลยครับ” เฉินเฟิงน้อมรับคำแนะนำ
“นอกจากกระบี่สแลชมังกรที่แกสร้างขึ้นมาเองแล้ว แกยังได้ศิลปะการต่อสู้อีกหลากหลายอย่าง แต่แกยังเข้าไม่ถึงแก่นแท้”
เย่หนานเทียนเอ่ยอย่างเอ็นดู “กระบี่สแลชมังกรเป็นศิลปะการต่อสู้ที่แกสร้างขึ้นมาเองและก็เหมาะสมกับแกมากที่สุด แต่แกก็ไม่สามารถใช้มันในการต่อสู้ทุกครั้งได้ ไม่อย่างนั้นพอเวลาผ่านไปนานวันเข้าก็จะมีคนรู้ทัน ความทรงพลังของมันก็จะลดลง ฉันหมายความว่านอกจากกระบี่สแลชมังกรแล้วแกต้องเข้าถึงแก่นแท้ของศิลปะการต่อสู้อย่างอื่น เพื่อที่จะได้ใช้ต่อกรกับศัตรู”
“สำหรับจอมยุทธ์ทั่วไปเมื่อเทียบกับอัจฉริยะในรุ่นเดียวกันแกถือว่าเข้าถึงแก่นแท้ของศิลปะการต่อสู้แต่ละแขนงแล้ว แต่เมื่อเทียบกับมหาปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้หรือเจ้าสำนัก แกยังห่างจากคำว่าเข้าถึงแก่นแท้อีกไกลนัก”
เย่หนานเทียนอธิบายอย่างใจเย็น ก่อนเอ่ยแสดงความคิดเห็น “ฉันแนะนำว่าบนหนทางศิลปะการต่อสู้ของแกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นอกจากแกจะต้องฝึกกระบี่สแลชมังกรที่ตัวเองสร้างขึ้นให้ดีแล้ว เลือกการต่อสู้แขนงอื่นอีกสองสามแขนงฝึกฝนควบคู่ไปด้วยจะได้เข้าใจและเข้าถึงแก่นแท้อย่างแท้จริง ไม่ใช่รู้แค่ผิวเผินเหมือนในตอนนี้”
“ครับศิษย์พี่”
เฉินเฟิงพยักหน้ารับ ราวกับสะดุ้งตื่นจากฝัน
คำแนะนำของเย่หนานเทียนราวกับเสียงที่ปลุกเขาตื่นจากฝัน
ถึงแม้หลายวันก่อนเขาจะเพิ่งฆ่าจิ่งเถิงในสงครามแห่งความเป็นความตาย ทว่าในระหว่างการไตร่ตรองเขาก็พบว่าตอนที่จิ่งเถิงใช้วิชาเฉพาะของตระกูลจิ่ง โดยเฉพาะตอนที่ใช้หยินหยางฆ่า นอกจากใช้กระบี่สแลชมังกรแล้วเขาก็ไม่มีศิลปะการต่อสู้แขนงอื่นมาใช้ต่อกรกับศัตรู
พูดอีกอย่างก็คือหากเขาไม่มีกระบี่สแลชมังกรที่สร้างขึ้นเอง คนที่ถูกฆ่าในวันนั้นคือเขาไม่ใช่จิ่งเถิง!
นี่คือเสียงระฆังที่เตือนสติเขา!
ดังที่เย่หนานเทียนกล่าว คู่ต่อสู้ที่เขาเจอก่อนหน้านี้ล้วนธรรมดา เขาใช้การต่อสู้แขนงต่างๆก็รับมือได้โดยง่าย ทว่าเมื่อปะทะกับทายาทของศิลปะการต่อสู้แห่งตระกูลใหญ่และจอมยุทธ์ชั้นสูง ศิลปะการต่อสู้เหล่านั้นก็ไร้ประโยชน์
ทว่าเมื่อศึกษาหาสาเหตุไม่ใช่เพราะศิลปะการต่อสู้เหล่านั้นไม่แกร่งพอ เพียงแค่เขาเข้าไม่ถึงแก่นแท้จึงไม่ได้แสดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของศิลปะการต่อสู้เหล่านั้นออกมา
ครืด~”
ในขณะที่เฉินเฟิงกำลังครุ่นคิด เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
เมื่อเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นก็ทำให้เฉินเฟิงหลุดออกจากภวังค์ เขาหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหินมาดูก่อนจะพบว่าเป็นสายจากก่วนหนานเทียน เขาจึงกดรับสายทันที “สวัสดีครับท่านประมุขก่วน”
“เสี่ยวเฟิง นายยังอยู่ที่ยันเจียงใช่ไหม?” ก่วนหนานเทียนเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“ครับท่านประมุขก่วน ผมอยู่กับศิษย์พี่ของผม” เฉินเฟิงเอ่ยตอบตามความจริง
“อย่างนั้นก็ดี”
ก่วนหนานเทียนได้ยินดังนั้นก็โล่งอกไปก่อนเอ่ย “เป็นอย่างที่ฉันคาดเดาไว้จริงๆ ทายาทของสำนักกระบี่เทียนซาน ศาสนาพุทธภาคตะวันตก ตระกูลจีและหวังอีเตาล้วนเข้าร่วมชิงโควต้าของการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกในครั้งนี้ เมื่อกี้อู่จื่อโจวโทรมาหาฉันบอกว่าทั้งสี่คนนั้นจะมาถึงยันเจียงในวันนี้หรือไม่ก็พรุ่งนี้ ให้ฉันมาบอกนายให้รีบมาที่ยันเจียง สหพันธ์บูโดจะเลือกหนึ่งคนจากในบรรดาพวกนาย เพื่อเป็นตัวแทนของวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ยไปเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลก”
“จะคัดเลือกยังไงครับ? แข่งกันเองหรือ?”
เมื่อได้ยินข่าวนี้เฉินเฟิงก็ไม่ได้ประหลาดใจจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ส่วนรายละเอียดที่ว่าจะคัดเลือกยังไงอู่จื่อโจวยังไม่ได้บอกฉันต้องรอข่าวจากทางสหพันธ์บูโดก่อน เอาแบบนี้ดีกว่า วันนี้นายมาหาฉัน ฉันจะพานายไปสหพันธ์บูโด” ก่วนหนานเทียนเอ่ย
“ครับท่านประมุขก่วน”
เฉินเฟิงตอบรับจากนั้นรอก่วนหนานเทียนกดวางสายก่อนจึงจะเก็บโทรศัพท์
“เสี่ยวเฟิง หากนายต้องปะทะกับทายาทของหวังอีเตา ให้ระวังตัวด้วยแล้วก็ไม่ต้องออมมือ” เมื่อเห็นว่าเฉินเฟิงเก็บมือถือแล้วเย่หนานเทียนจึงเอ่ยเตือนขึ้นมา
ถึงแม้จะกลายเป็นคนพิการไปแล้วทว่าความสามารถในการได้ยินนั้นเหนือกว่าคนทั่วไปอยู่มาก เขาจึงได้ยินบทสนทนาระหว่างเฉินเฟิงและก่วนหนานเทียนอย่างชัดเจน
“ทำไมครับ?” เฉินเฟิงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ตอนนั้นฉันเลือกต่อสู้กับทายาทของห้าอำนาจทรงอิทธิพล ชนะเพียงแค่หวังอีเตา อีกสี่คนที่เหลือแพ้หมด และหลังจากที่ฉันเอาชนะหวังอีเตาได้ หวังอีเตาไม่พอใจที่พ่ายแพ้จึงเลือกที่จะแอบโจมตี เขาจึงโดนฉันฟันแขนขาดไปข้างหนึ่ง”
เย่หนานเทียนอธิบายช้าๆ “วิชาดาบของตระกูลหวังนั้นเหี้ยมโหด กระหายเลือด คนที่ฝึกฝนส่วนมากจะกลายเป็นคนใจแคบ เจ้าคิดเจ้าแค้น หากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาต้องให้ลูกศิษย์ของเขาใช้โอกาสในครั้งนี้ลบล้างความอัปยศในครั้งนั้น!”
“ลูกศิษย์คนนั้นของหวังอีเตาหากอยากตาย ผมก็ไม่ถือสาที่จะทำให้เขาสมหวัง!”
ม่านตาของเฉินเฟิงหดแคบลง แววตาปรากฏความเหี้ยมโหด
เพื่อวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ย ศิษย์พี่ต้องกลายเป็นคนพิการ หากมีคนต้องการซ้ำเติมศิษย์พี่ เขาไม่ถือสาหากต้องให้บทเรียนแก่อีกฝ่าย!
“ฉันไปเป็นเพื่อนแกเอง”
เย่หนานเทียนพยักหน้า ตัดสินใจจะไปสหพันธ์บูโดเป็นเพื่อนเฉินเฟิง
การต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ยรุ่นเยาวชนกำลังจะเริ่มต้นขึ้น!
ช่วงเช้าวันที่ต่อมา ก่วนหนานเทียนก็มาถึงที่พักของเย่หนานเทียน
ในฐานะประมุขของสหพันธ์บูโด เย่หนานเทียนไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับก่วนหนานเทียน เพราะว่าเขาคือสักขีพยานตอนที่เย่หนานเทียนตกต่ำ
หลังจากที่เย่หนานเทียนถูกผู้แข็งแกร่งอันดับเทพลอบทำร้ายจนพิการ ก่วนหนานเทียนก็รีบมาเยี่ยมเยียนเย่หนานเทียนทันที และตอนหลังก็มาเยี่ยมเยียนอีกหลายครั้งเพราะเกรงว่าเย่หนานเทียนจะทำใจไม่ได้ สุดท้ายเขาก็พบว่าเขาคิดมากไปเอง เพราะว่าเย่หนานเทียนเข้มแข็งกว่าที่เขาคิดไว้มาก ไม่เพียงแต่ทำใจได้อย่างรวดเร็วเท่านั้นเขายังแสดงความสามารถที่เหลืออยู่ในกองทัพและวงการศิลปะการต่อสู้ต่อไป!
“ท่านประมุขก่วน พวกเขามาถึงกันแล้วหรือ?” ภายในลานบ้านของอาคารสองชั้น เฉินเฟิงเข็นรถเข็นของเย่หนานเทียนออกไปด้านนอกพร้อมกับก่วนหนานเทียน
พวกเขากำลังจะมุ่งหน้าไปยังสหพันธ์บูโด