ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 811
เจี่ยว่างเหามีอายุเกือบจะครึ่งร้อยอยู่แล้วแต่กลับมีพลังความสามารถแค่ในระดับหั้วจิ้งชั้นต้น ถึงขนาดว่าในอนาคตลูกชายของเขาอาจจะแซงหน้าเขาก็เป็นไปได้
แต่ที่ฝึกฝนการต่อสู้ก็แค่สามารถนำไปใช้ป้องกันตัวได้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนชื่อเสียงเรียงนามของเขาที่ว่าเป็นกษัตริย์แห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นจะต้องพูดถึงในมุมที่เขาควบคุมเศรษฐกิจทั่วทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือเกือบจะทั้งหมด
ตั้งแต่ทรัพยากรไปจนถึงการดำรงชีวิต การศึกษาไปจนถึงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในทุก ๆ ด้านและทุก ๆ ประเภท โดยที่ในกรอบโครงสร้างของอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือแต่ไหนแต่ไรไม่เคยปราศจากเงาของเจี่ยว่างเหาเลย
หลังจากหมดยุคเวลาของการลงทุนเพื่อขยายอุตสาหกรรมแล้ว เจี่ยว่างเหาเริ่มที่จะแสวงหาโอกาสการร่วมทุนการเงินในอนาคต โดยเวลาผ่านไปไม่ถึงสิบปี ทรัพย์สินก็เพิ่มพูนขึ้นเกือบที่จะขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเอเชียแล้ว
เงินของเขาอยู่ในตลาดหุ้นและในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งไม่ว่าในที่แห่งใดที่เงินสามารถทำให้เงินงอกเงยขึ้นมาได้ เขาก็ไปทดลองดูทั้งนั้น
ดังนั้นการเริ่มต้นก่อร่างสร้างตัวขึ้นจากศูนย์ โดยใช้เวลายี่สิบสามสิบปี เขาก็สามารถที่จะก่อตั้งอาณาจักรของตนเองได้แล้ว
โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขาก็คือ “กษัตริย์” ตัวจริงเสียงจริงที่เหมาะสมผู้นั้น
แต่ต่อให้มาอยู่บนสถานะตำแหน่งที่สูงศักดิ์แล้ว เขาก็ยังคงวางตัวเรียบง่ายธรรมดา อย่างน้อยเขาก็เพียงแค่พัฒนาขยายความรุ่งเรืองในพื้นที่ภาคตะวันออกแห่งนี้ โดยไม่เคยคิดที่จะยื่นมือก้าวก่ายออกไปจากสถานที่แห่งนี้
เพราะเขาทราบดีว่าโลกใบนี้เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือโลกหล้าย่อมมีคนที่เก่งกว่า
แต่กลับมีบางคนที่ไม่ได้คิดเช่นนี้ ซึ่งเจี่ยตงอาจจะเป็นหนึ่งคนในนั้น แต่ก็คงไม่ใช่เพียงคนเดียว
เจี่ยว่างเหามีน้องชายลูกผู้น้องคนหนึ่ง ชื่อว่าเจี่ยว่างเล่ ตอนนี้เขาก็เป็นผู้ที่ครอบครองทรัพย์สินจำนวนมากคนหนึ่งในตระกูลเจี่ยเช่นกัน โดยใครคนหนึ่งในตระกูลได้ดี ญาติพี่น้องก็พลอยได้ดีตามไปด้วย ซึ่งเจี่ยว่างเล่ไม่จำเป็นที่จะต้องมีปัญญาความสามารถอะไร แต่เขาก็สามารถที่จะครอบครองทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากที่คนอื่นทั่วไปไม่มีทางที่จะแสวงหามาได้ตลอดชีวิต
แต่เขากลับยังไม่พอเพียง
ภายในห้องโถงบรรพบุรุษตระกูลเจี่ย
ทุกคนของตระกูลเจี่ยที่เพิ่งกราบไหว้บรรพบุรุษเสร็จและกำลังเตรียมที่จะแยกย้าย เจี่ยตงได้ถูกลุงลูกผู้น้องเรียกตัวเอาไว้
ทั้งสองคนมาอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโถง เจี่ยว่างเล่พูดขึ้นว่า
“ได้ยินว่าช่วงก่อนหน้านี้นายไปที่ยันเจียง ได้เรื่องได้ราวอะไรมาบ้างล่ะ? ”
เจี่ยตงมองไปที่เจี่ยว่างเล่ด้วยท่าทางที่สงสัย เขาไม่ทราบว่าทำไมลุงลูกผู้น้องคนนี้ถึงได้ทราบการเดินทางไปไหนมาไหนของตนเอง แต่ก็ยังคงตอบกลับตามความจริงว่า
“ก็แค่ได้ไปรู้จักกับเพื่อนใหม่ไม่กี่คน! ”
“คุณชายของตระกูลเฉินใช่ไหม? ”
เจี่ยตงตกตะลึงมากยิ่งขึ้น ทำไมถึงขนาดว่าไปรู้จักกับใครก็ยังทราบอีกด้วย
“ในเมื่อลุงลูกผู้น้องก็ทราบอยู่แล้ว ยังจะต้องมาถามข้าอีกทำไมล่ะ? ”
เจี่ยว่างเล่ยิ้มและพูดขึ้นว่า
“ข้าเองก็ไม่ได้อยากที่จะเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของนายหรอก แต่มีบางเรื่องที่พูดคุยกับพ่อของนายไม่ได้ โดยคิดไม่ถึงว่านายกลับมีความตั้งใจ ดังนั้นข้าจึงให้ความสนใจนายมากขึ้นก็เท่านั้น”
“คุณลุง หมายความว่าอย่างไร? ”
“แน่นอนว่าต้องการที่จะทำให้อิทธิพลของตระกูลเจี่ยแผ่ขยายออกไปมากขึ้น ไม่ว่าอย่างไรภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็เป็นเพียงแค่ดินแดนตอนใน หากไม่มีแนวแถบชายฝั่งทะเล แม้แต่โลกใบนี้ก็คงจะไม่สมบูรณ์”
เจี่ยตงเข้าใจในความหมายและพูดตอบไปว่า
“ลุงลูกผู้น้องก้าวหน้าพัฒนาไปตามกาลเวลาจริง ๆ โดยในยุคสมัยนี้เปรียบได้ว่าหากไม่มีการพัฒนาก้าวหน้าก็จะเป็นการก้าวถอยหลัง ซึ่งหากยังยึดติดอยู่กับธุรกิจเดิม ๆ ของตน อีกไม่นานก็คงจะถูกคนอื่นควบรวมเอาได้โดยง่าย”
เจี่ยว่างเล่กำลังคิดที่จะพูดอะไรเพิ่มเติม แต่พอดีมีคนอื่นเดินเข้ามา เจี่ยว่างเล่จึงได้หยุดลง โดยเขาได้พูดกับเจี่ยตงว่า
“ครั้งหน้าข้าจะนัดคุยรายละเอียดกับนายอีกครั้ง และจะแนะนำพวกเพื่อน ๆ ให้นายได้รู้จัก”
โดยที่พวกเพื่อน ๆ เหล่านี้ก็รวมไปถึงหนุ่มน้อยกับวัยรุ่นสองคนนั้นด้วย
ห้องวีไอพีขนาดใหญ่ที่สุดในโรงแรมที่หรูหราที่สุดแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เจี่ยว่างเล่กำลังถือแก้วเหล้า เพื่อคารวะเหล้ากับเพื่อนเจ็ดแปดคนรอบข้าง
“วันนี้ทุกท่านได้ให้เกียรติข้าเจี่ยว่างเล่ ข้ารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ข้าขอคารวะทุกท่านหนึ่งแก้ว”
เมื่อเขาดื่มหมด พวกคนอื่น ๆ ก็รีบยกเหล้าดื่มตามทันที
โดยผู้ที่สามารถมานั่งอยู่ที่นี่ได้นั้นต่างก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ต่างก็เป็นกลุ่มคนที่เจี่ยว่างเล่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
พวกเขาเหล่านั้นมีทั้งข้าราชการระดับสูง วงศ์ตระกูลบูโด นักธุรกิจใหญ่ แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่างก็เป็นผู้นำในแต่ละขอบเขตสาขาของพวกเขา
แต่จะมีคนหนึ่งที่ยกเว้นไว้ นั่นก็คือเจี่ยตงที่นั่งอยู่ข้างกายของเขา ซึ่งก็คือคุณชายแห่งตระกูลเจี่ย
ในจำนวนเพื่อนเจ็ดแปดคนนั้น หนุ่มน้อยกับวัยรุ่นดูเหมือนว่าจะมีคุณวุฒิประสบการณ์ที่น้อยที่สุด ดังนั้นจึงนั่งกันอยู่ที่บริเวณด้านหลัง อยู่ห่างจากเจี่ยตงไปไกลที่สุด
แต่เมื่อดื่มเหล้ากันครบวงสามรอบแล้ว เจี่ยว่างเล่ก็ได้พาตัวเจี่ยตงมายังเบื้องหน้าของพี่น้องคู่นี้
“เสี่ยวตง พี่น้องคู่นี้นายรู้จักแล้วเหรอยัง? ”
เจี่ยตงไม่รู้จักอย่างแน่นอน จึงได้ส่ายศีรษะ
เจี่ยว่างเล่ยิ้มและพูดขึ้นว่า
“อย่างนั้นนายคงน่าเสียใจมากจริง ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี้หากว่าไม่รู้จักวีรบุรุษอายุน้อยสองคนนี้แห่งสำนักเทียนซานแล้ว โลกใบนี้คงจะขาดเรื่องราวความสนุกสนานไปมากเลยทีเดียว”
เจี่ยตงเกิดความสงสัย แต่ในเมื่อลุงลูกผู้น้องของตนแนะนำให้รู้จัก เขาก็คงจะไม่มองข้ามไปอย่างแน่นอน และได้แนะนำตนเองอย่างสุภาพ
“ฉันชื่อเจี่ยตง ไม่ทราบว่าพี่น้องทั้งสองมีนามว่าอย่างไร”
วัยรุ่นทั้งสองจำได้ว่าเจี่ยตงก็คือผู้ที่ได้ช่วยเหลือคนในผับเมื่อวันก่อนนั้น แต่เห็นว่าเจี่ยตงจำพวกเขาไม่ได้ จึงได้แนะนำตนเองขึ้น
“เน่เฉิน”
“เน่เจิ้ง”
เจี่ยตงก็ทำความเคารพกลับ และตอนนี้เจี่ยว่างเล่ก็ได้แนะนำขึ้นอีกครั้ง
“แม้ว่านายจะฝึกฝนการต่อสู้ แต่หากพูดถึงสำนักเทียนซานแล้ว ข้าแน่ใจได้ว่านายคงยังไม่คุ้นเคยอย่างแน่นอน”
เจี่ยตงพูดขึ้นอย่างสุภาพว่า
“หวังว่าคุณลุงจะให้คำแนะนำ หรือว่าสำนักเทียนซานนี้จะมีอะไรที่พิเศษ”
“ใต้หล้านี้มีมหาปรมาจารย์อยู่เท่าไหร่กัน ก็คงไม่น่าจะเกินจำนวนนิ้วของทั้งสองมือ แต่นายรู้ไหมว่าแค่สำนักเทียนซานแห่งเดียวนี้ก็มีมหาปรมาจารย์อยู่ถึงสองท่านเลยทีเดียว โดยในวงการศิลปะการต่อสู้นี้ ไม่เคยมีมาก่อน ทว่าไม่เพียงเท่านี้ หากมีเพียงมหาปรมาจารย์สองท่านนี้ ก็ยังสามารถเรียกได้ว่าเป็นสำนักระดับแนวหน้า แต่เมื่อดูจากลูกศิษย์ของสำนักเทียนซานแล้ว เต็มไปด้วยยอดฝีมือ ที่เก่งกาจมากมาย ซึ่งสองพี่น้องที่อยู่เบื้องหน้าของนายนี้อายุน้อยกว่านายมาก แต่ว่าฝีมือการต่อสู้เหนือกว่านายหลายเท่านัก”
ได้ยินเจี่ยว่างเล่ชื่นชมสำนักเทียนซาน เน่เฉินกับเน่เจิ้งสองพี่น้องต่างก็รู้สึกมีเกียรติ ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกที่อยู่ด้านนอกแล้วได้ยินคนอื่นชื่นชมสำนักของตนเอง
เจี่ยตงรีบถามขึ้นว่า
“นึกไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะเก่งกาจมีความสามารถถึงขนาดนี้ พี่ที่โง่เขลาขอละลาบละล้วง ขอถามหน่อยว่าพวกนายทั้งสองฝึกฝนถึงระดับขั้นไหนกันแล้ว? ”
นี่มันค่อนข้างจะกะทันหันเกินไปบ้าง แต่เน่เจิ้งนาน ๆ ทีจะได้แสดงออกบ้าง จึงรีบตอบกลับทันที
“พี่ชายอยู่ขั้นหั้วจิ้งชั้นสูงสุดแล้ว ส่วนข้าก็ถึงขั้นหั้วจิ้งชั้นสุดแล้ว”
เจี่ยตงมองไปที่พี่น้องคู่นี้อย่างตกตะลึง
โดยที่เขาตกตะลึงนั้นก็มีเหตุผลที่เหมาะสม เพราะทั้งสองคนอายุยังน้อย คนที่อายุมากหน่อยก็คงประมาณยี่สิบปีต้น ๆ ส่วนคนที่อายุน้อยกว่านั้นแม้แต่กระดูกในร่างกายก็เติบโตยังไม่สมบูรณ์ดี
แต่ระดับขั้นศิลปะการต่อสู้นั้นกลับสูงส่งลึกล้ำมากกว่าหลายคนที่ฝึกฝนอย่างลำบากเป็นเวลานานหลายปี
แน่นอนว่าสภาพร่างกายของคนเรานั้นไม่สามารถที่จะสรุปโดยชัดเจนได้
แต่ความลำเอียงจากฟ้าเบื้องบนนี้กลับไม่ได้ทำให้เจี่ยตงเกิดความอิจฉาริษยาใด ๆ
เขายังคงรักษาสภาพจิตใจของการเป็นคุณชายของกษัตริย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้เป็นอย่างดี
แต่นี่ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะพฤติกรรมที่มีคุณธรรมของเขา หากแต่เขาคิดถึงเรื่องที่มีความเป็นไปได้เรื่องหนึ่งขึ้น
“ข้าช่างเป็นกบในกะลาเสียจริง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมียอดฝีมือต่อสู้ระดับนี้ แต่ข้ากลับไม่เคยได้ทำความรู้จักสานสัมพันธ์ เป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริง ๆ ”
“หากว่าข้าได้รู้จักกับพวกนายสองคนก่อนหน้านี้ เป็นไปได้ที่พวกเราคงจะไม่…… โธ่ ช่างมันเถอะ วันนี้มีความสุข ข้าเองก็ไม่อยากที่จะพูดเรื่องที่ทำให้เสียบรรยากาศ”
แต่พูดเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง ยิ่งทำให้คนอื่นอยากจะรับฟังมากขึ้น และทำให้คนอื่นรู้สึกทรมานใจ เน่เฉินจึงได้รีบถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พี่เจี่ยตงประสบกับปัญหาเรื่องราวอะไรเหรอ? ทำไมถึงต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดขนาดนี้ด้วย”
เจี่ยตงแกว่งมือไปมาและพูดขึ้นว่า
“เป็นเรื่องที่ทำให้หมดกำลังใจ ไม่พูดถึงมันดีกว่า ไม่พูดถึงมันดีกว่า”