ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 831
ตอนนี้ชิงจือไม่สามารถนึกขึ้นมาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำ แต่เธอยังคงยืนยันกับเฉินเฟิง
“ถ้าฉันได้เห็นหน้าของเขา ฉันจะต้องจำได้แน่นอน”
ในความคิดของเฉินเฟิง บางทีอาจจะเป็นไปได้ ทว่าเขาไม่คิดว่าเรื่องราวจะแก้ไขได้ง่ายดายขนาดนั้น เพราะตอนนี้พวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย
จนสุดท้ายกระทั่งเซวี่ยผิงนึกถึงเรื่องของพวกเขาได้ คนในความลับคนนั้นก็ไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลย
บางทีเขาคงจะขโมยยาถอนพิษไม่ได้ ดังนั้นจึงรู้ตัวว่าต่อให้เขามาก็คงจะพาตัวชิงจือพวกเขาสองคนออกไปไม่ได้อยู่ดี
เฉินเฟิงคนแบกขึ้นไป ในขณะที่เขาคิดเรื่องนี้อยู่
เมื่อเข้ามาพบเซวี่ยผิงที่ตอนนี้กำลังอยู่บนขั้นบันได
“วันนั้นผมไปคิดมาแล้ว บางทีที่คุณพูดอาจจะถูกก็ได้ ถ้าหากว่ารอให้เธอตายก่อนแล้วค่อยเป็นมหาปรมาจารย์ สำหรับผมแล้วก็คงจะเกิดปัญหายุ่งยากตามมาแน่นอน”
เมื่อเห็นเฉินเฟิงถูกพาตัวเข้ามาเขาก็พูดกับเฉินเฟิงทันที
“ถ้าหากผมฆ่าเธอ คนที่อยู่เบื้องหลังก็ต้องมาตามล่าผมในสักวัน ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่มีทางที่จะเอาชนะพวกเขาได้แน่นอน และวันนั้นก็คงจะเป็นวันตายของผม ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผมไม่ต้องการ วันๆ ได้กินอาหารอย่างเต็มอิ่มดื่มเหล้าอย่างอิ่มเอมก็ดีกว่าตั้งเยอะ ดังนั้นผมจะต้องทำให้การเดิมพันนี้เปลี่ยนให้มีโอกาสชนะมากยิ่งขึ้น” เขาพูดไปพลางหัวเราะออกมา
เฉินเฟิงไม่เข้าใจว่าเขาต้องการทำอะไรกันแน่เพื่อที่จะทำให้เขามีโอกาสชนะมากกว่าเดิม และนั่นมันน่าสงสัยอย่างมาก
ในขณะที่เซวี่ยผิงกำลังหัวเราะ เฉินเฟิงก็สังเกตเห็นชายท่าทางพิลึกยืนอยู่ข้างๆ ของเขา
เขาเป็นคนรูปร่างผอมสูง ตัวเขาสวมเศษผ้าที่ปกคลุมตัวเพียงน้อยนิด ราวกับเป็นชายยาจกไร้ความพิถีพิถัน
ซึ่งในตอนที่เฉินเฟิงจ้องมองเขา เขาเองก็ตวาดสายตาสังเกตเห็นเฉินเฟิงพอดี
แต่เพียงไม่นานเขาก็หันไปสนใจในตัวของชิงจือแทน
“ถ้าหากสามารถกลั่นเลือดของเธอมา จะต้องทำให้คุณแข็งแกร่งมากขึ้นแน่นอน” ชายร่างผอมสูงกล่าวกับเซวี่ยผิง
เฉินเฟิงถึงกับรู้สึกขยะขะแยง เพียงเพื่อพละกำลังพวกเขาถึงกับยอมทำเรื่องแบบนี้ เพียงแค่มีความคิดแบบนี้ก็ไร้ซึ่งความเป็นคนไปแล้ว
ตอนนี้เฉินเฟิงที่เข้าใจความหมายของการเพิ่มโอกาสชนะของเซวี่ยผิง หันไปพูดกับเซวี่ยผิงด้วยความหงุดหงิดขึ้นมา
“คุณต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้ยอมเชื่อคำพูดไร้สาระพวกนี้”
แต่เซี่ยผิงกลับไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น
“แล้วมันจะเป็นอะไรไปเล่า ยังไงเธอก็ต้องตาย อย่างนั้นก่อนที่เธอจะตายฉันแค่อยากได้เลือดของเธอก็เท่านั้น ถ้าหากไม่มีประโยชน์อะไร ผมก็ไม่ได้มีส่วนเสียอะไรนี่”
นี่มันปีศาจ จะต้องเป็นความคิดของปีศาจแน่ๆ
“จริงด้วย พวกเราเอาแต่พูดคุยเรื่องของเธอ ผมว่าสำหรับคุณแล้วพวกเรายังต้องมาพิจารณากันเสียหน่อยแล้ว”
แม้แต่ตัวเฉินเฟิงก็ยังลืมปัญหาเล็กๆ น้อยๆ นี้ไปซะแล้ว นับตั้งแต่เริ่มเขาเองเป็นเชลยที่ถูกจับมาด้วยเหมือนกัน
“หึ นี่พวกคุณก็คิดที่จะดื่มเลือดของผมด้วยงั้นสิ ?” เฉินเฟิงถามอย่างไม่สบอารมณ์
ชายร่าผอมสูงคนนั้นเดินมาตรงหน้าเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณให้ค่าตัวเองมากเกินไปแล้ว”
เฉินเฟิงคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันนี้ที่หั้วจิ้งชั้นสูงสุดอย่างเขาจะถูกหัวเราะเยาะแบบนี้
“ถึงแม้จะเป็นการกลั่นเลือด แต่พวกเราก็มีการใช้วัตถุดิบชั้นสูง รอจนยาเหล่านั้นมีการพัฒนาจนเต็มที่แล้ว ความสามารถของเราก็จะเพิ่มขึ้นมาด้วยแน่นอน ซึ่งการจะก้าวหน้าสู่การเป็นมหาปรมาจารย์ก็ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้”
เฉินเฟิงถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ “หากพูดแบบนี้ แสดงว่าคุณเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่คุณเพ้อคิดไปเอง”
ราวกับว่าเฉินเฟิงพูดแทงจี้จุด เขาคนนั้นถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที
“แก แกมันปากดีนักนะ รอให้ถึงเวลา รอให้แกถูกทรมานจนกลายเป็นศพเดินได้เมื่อไหร่แกก็จะไม่มีปากได้พูดคำพูดพวกนี้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นฉันไม่ถือสาหรอกที่แกจะพูดมากหน่อย”
เฉินเฟิงตกใจอย่างมาก เขาไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะเลือกใช้วิธีการทรมานเขาให้กลายเป็นศพเดินได้
วิธีการสกปรกน่ารังเกียจแบบนี้เขาเคยได้ยินมาก่อน แต่ยังไม่เคยได้พบเห็นเลยสักครั้ง ที่จริงแล้วสมองของคนเรามันเบาะบางมากนัก ดังนั้นจึงถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในส่วนของเปลือกสมองของคนล้วนมีหน้าที่การทำงานของตัวเองทั้งนั้น ถ้าหากว่ามีการไปกระตุ้นส่วนใดส่วนหนึ่งเข้านั่นอาจจะทำให้คนคนนั้นสูญเสียสติไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงรักษาสัญชาตญาณความเป็นคนอยู่
และความหมายทั่วไปของเหล่าซากศพเดินได้ล้วนมีความโหดร้ายที่บริสุทธิ์แบบนี้
ถ้าหากเป็นไปตามที่พูดนี้ วิธีการที่พวกเขาจะทำต่อชิงจือนั้นเหมือนจะโหดร้ายกว่านี้เป็นหลายเท่าเลย
“ผมยังไม่เคยลิ้มรสของการเป็นศพเดินได้มาก่อน เรื่องแบบนี้คงจะน่าตื่นเต้นน่าดู” เฉินเฟิงยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย
ซึ่งนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายเกิดความไม่พอใจอย่างมาก จนถึงกับพูดออกมาด้วยความเคร่งขรึม
“ฉันจะใช้วิธีการลงโทษที่ทรมานที่สุดกับร่างกายของแก ให้แกได้กลายเป็นศพเดินได้ที่น่าหวาดกลัวที่สุด แกจะเจ็บปวดจนต้องกัดลิ้นตัวเอง จากนั้นในตอนที่แกไร้ซึ่งสติแล้วค่อยกินมันลงไป”
สิ่งที่เขาพูดออกมาดูแล้วน่าหวาดกลัวอย่างมาก แต่สิ่งที่เฉินเฟิงกลัวมากที่สุดไม่ใช่ความเจ็บปวด เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีความเจ็บใดเทียบเท่ากับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นหลังจากการวิธีย้อนพลังเพื่อเสริมกำลังแล้ว
“ทางที่ดีคุณควรจะคำนวณวิธีการของตัวเองไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นหากถึงเวลาแล้วผมไม่ขมวดคิ้วเลยแม้แต่น้อย คุณจะขายหน้าเอาได้” เฉินเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม จนทำให้อีกฝ่ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“ดี งั้นแกก็ตั้งตารอไว้ซะ” หลังจากที่พูดประโยคนี้เสร็จ เขาก็เดินกลับไปอยู่ข้างหลังของเซวี่ยผิง
เซวี่ยผิงราวกับว่ากำลังมีความสุขที่เห็นเฉินเฟิงทำเป็นปากดีอยู่ตรงนั้น แต่ตอนนี้คนของเขาถูกเฉินเฟิงรังแก เขาจะต้องปลอบใจเขาสักหน่อย
“เอาล่ะ รอให้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมจะส่งเขาไปให้คุณ คุณจะทำยังไงกับเขาก็เชิญตามสบาย แต่ตอนนี้มาจัดการยัยผู้หญิงนั่นก่อนเถอะ !”
ดูเหมือนว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นจะกลายเป็นฉากที่น่าสยดสยองอย่างมาก เฉินเฟิงหันมองไปยังชิงจือ แต่เธอยังคงความเย็นชาอยู่อย่างนั้น เมื่อรับรู้ได้ว่าเฉินเฟิงกำลังมองมายังตัวเอง เธอทำเพียงแค่มองเฉินเฟิงด้วยสายตาที่เฉยเมยเท่านั้น ราวกับว่าไม่ได้สนใจว่าตัวเองกำลังจะได้พบกับความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่เซวี่ยผิงกำลังพูดคุยบางอย่างกับชายคนนั้น คนที่อยู่ด้านหลังเฉินเฟิงก็ขนอุปกรณ์จำนวนหนึ่งเข้ามา
เฉินเฟิงมองเห็นอุปกรณ์การแพทย์หน้าตาประหลาดชุดหนึ่ง มันมีขวดปิดผนึกขนาดใหญ่หนึ่งขวด พร้อมกับโต๊ะยืดขวดปิดผนึก รวมทั้งสิ่งของอย่างอื่นอีกหลายชิ้น เฉินเฟิงเดาได้ทันทีเลยว่าของเหล่านี้นำมาใช้สำหรับกลั่นเลือดจากตัวชิงจือ
เมื่อได้เห็นอุปกรณ์เหล่านั้นถูกนำเข้ามา ชายร่างผอมสูงคนนั้นก็เดินเข้าไปพร้อมกับยิ้มชอบใจ
เขาหยิบเอาเข็มดูดเลือดที่มีฝาปิดเอาไว้ออกมา เข็มดูดเลือดนั้นมีความหนาอย่างมาก พร้อมกับมีสายยางขนาดใหญ่และยาวติดมาด้วย เฉินเฟิงคิดได้ทันทีเลยว่าอีกเดี๋ยวเลือดของชิงจือจะถูกดูดจากเข็มดูดเลือดนี้แล้วส่งไปเก็บยังขวดปิดผนึกนั้นแน่นอน ภาพเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองแบบนี้ เฉินเฟิงไม่อาจที่จะทนมองดูต่อไปได้อีกแล้ว
“พวกคุณจะต้องตกนรกเพราะสิ่งนี้”
เฉินเฟิงพูดอย่างโกรธเคือง แต่เซวี่ยผิงกลับหัวเราะออกมา
“แต่นั่นล้วนเป็นเรื่องหลังความตาย แล้วนรกนั้นมีอยู่จริงหรือเปล่าก็ยังไม่มีใครรู้เลย ตอนนี้ผมเลยไม่คิดว่าจะต้องไปกังวลกับเรื่องนั้น”
ในตอนที่เขาพูด ชายร่างผอมสูงก็เดินถือเข็มดูดเลือดเดินเข้าไปหาชิงจือ
เมื่อเทียบกับเฉินเฟิงแล้ว ตอนนี้ชิงจือนั้นเยือกเย็นจนดูน่ากลัว ราวกับว่าคนที่ต้องเผชิญกับเรื่องเหล่าไม่ใช่ตัวเธอเสียอย่างนั้น
เขายิ่งเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ เฉินเฟิงจ้องมองเขา จนต้องปิดตาลงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เขากลัวแล้ว นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกถึงความกลัว ในตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเน่หวาเฟิง เขาเพียงคิดว่าอยากจะหนีไปให้พ้นเท่านั้น แต่ไม่ได้หวาดกลัวเลย เพราะฉะนั้นความโหดเหี้ยมจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ใจคนเกิดความหวาดกลัวมากที่สุด