ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 852
ถึงแม้เฉินเฟิงจะมองเห็นว่ามีความผิดปกติ แต่เมื่อคิดแล้วเขาก็ยังคงเดินตรงไปยังข้างๆ ลำโพงที่ส่งเสียงออกมา
แต่ทว่าบริเวณรถนั้นกลับไม่ได้มีคนเฝ้า ซึ่งกระแสไฟของลำโพงนั้นได้มาจากรถ เมื่อยิ่งเดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่เสียงดนตรีก็ยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ เฉินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเดินเข้าไป
จากนั้นเขาก็เข้าไปดึงสายจ่ายไฟของลำโพงนั้นออกโดยตรง แต่เนื่องด้วยบริเวณนั้นยังมีลำโพงตัวอื่นอีกสองตัวจึงทำให้เสียงดนตรียังคงส่งเสียงดังเดิม
เฉินเฟิงยืนอยู่ตรงนั้นรออยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับไม่มีใครเข้ามาหยุดการกระทำของเขาเลย ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขาเกิดข้อสงสัยมากขึ้นว่าหากเขาปิดลำโพงจนหมดทุกตัวแล้วจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เมื่อคิดได้อย่างนี้เขาก็มุ่งหน้าไปยังรถอีกสองคัน
กระทั่งเขาดึงสายไฟของลำโพงในรถคันสุดท้ายเรียบร้อย เสียงดนตรีตรงกลางทุ่งก็หยุดลงทันที และเมื่อไม่มีเสียงดนตรีกลุ่มคนที่กำลังเต้นรำอยู่ตรงนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขายังคงไม่หยุดท่าทางการเคลื่อนไหวของมือลงเลย
พวกเขาเหมือนกับกลุ่มเด็กน้อยที่กำลังทำท่าทีแปลกประหลาดอะไรบางอยู่เสียอย่างนั้น
ดูท่าแล้วเสียงดนตรีจะไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ อีกทั้งในตอนที่ไม่มีเสียงดนตรีก็ไม่คนสงสัยเลยว่าใครเป็นคนที่ปิดเสียงด้วย
เฉินเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะต่อสายลำโพงให้กับพวกเขาใหม่อีกครั้ง เมื่อเสียงดนตรีดังขึ้นอีกครั้ง ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นก็เริ่มกลับมาโยกย้ายตามท่วงทำนองดนตรี ราวกับว่าทุกคนต่างก็ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเยี่ยมเสียอย่างนั้น เพราะพวกเขาสามารถเคลื่อนไหวตามท่วงทำนองได้อย่างแม่นยำ
และถ้าสาเหตุของเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากเสียงดนตรี อย่างนั้นมันเกิดมาจากอะไรกันแน่ แล้วใครที่เป็นคนจัดเตรียมดนตรีพวกนี้
เฉินเฟิงคิดไปพลางเดินกลับไปอยู่ข้างกายหลี่จื่อเยว่อีกครั้ง
เพราะเขาเริ่มทนไม่ได้ที่เห็นหลี่จื่อเยว่ไปเคลียคลอใกล้ชิดกับคนแปลกหน้าพร้อมกับโยกย้ายสะโพกของตัวเองไปมาอย่างนั้น
เขาเดินเข้าไปดึงตัวหลี่จื่อเยว่ให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง แล้วพาเธอเต้นไปตามจังหวะพร้อมกัน
แม้จะเกิดความหึงหวงที่แสนแปลกประหลาดนี้ขึ้น แต่เฉินเฟิงกลับไม่อยากจะรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร และเพียงแค่ได้กลิ่นจางๆ จากตัวของหลี่จื่อเยว่ ในใจของเขาก็สงบลงไปอย่างน่าประหลาด
และก็เป็นแบบนี้จนผ่านไปเป็นเวลานาน เฉินเฟิงได้กลิ่นอะไรบางอย่าง แต่เขาในเวลานี้เหมือนจะหลงใหลอยู่กับความงดงามอันแสนนุ่มนวลข้างกายของเขาไปโดยสมบูรณ์แล้ว และไม่ได้คิดถึงการตามหาสาเหตุของเรื่องนี้อีก
กระทั่งแสงอาทิตย์กระทบลงบนหน้าของเขา วันใหม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
เฉินเฟิงลืมตาตื่น แต่กลับไม่ได้มีความตกใจเหมือนครั้งก่อน เขาเพียงแต่ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
ส่วนหลี่จื่อเยว่ที่อยู่ข้างๆ เขานั้นยังคงหลับสนิทอยู่ โดยรอบๆ นั้นยังคงเห็นหนุ่มสาวนอนหลับใหลกันอยู่เช่นเคย ในขณะที่กองไฟได้มอดไปตั้งนานจนกลายเป็นเพียงกองขี้เถ้าไปแล้ว
ทว่าอย่างน้อยก็ยังเป็นอีกคืนที่ผ่านไปโดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจึงทำให้เฉินเฟิงเกิดความโล่งใจอย่างมาก
แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะนึกยังไงก็นึกไม่ออกสักที เพราะแม้แต่สาเหตุที่ตัวเองหมดสติไปได้อย่างไรเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ยิ่งอย่าคิดที่จะไปหาตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังเลย
หลังจากที่หลี่จื่อเยว่ลุกขึ้น ความทรงจำของเธอก็ยิ่งกลับมาชัดเจนอีกครั้งราวกับว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้กำลังโลดแล่นอยู่ตรงหน้าของตัวเอง และนั่นยิ่งทำให้สีหน้าขอเธอปรากฏความอายและความงุนงงมากขึ้น
“เธอจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ได้หรือเปล่า?” เฉินเฟิงถาม
หลี่จื่อเยว่พยักหน้า: “แต่รู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวหนูเลยค่ะ แบบนั้น ……มันน่า……ละอายจริงๆ ”
ตอนนี้ใบหน้าของเธอแดงก่ำเป็นอย่างมาก
เฉินเฟิงสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าในตอนนั้นไม่มีทางเป็นความรู้สึกนึกคิดของเธอ แต่กลับไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้เป็นแบบนี้ รวมทั้งอาการชักกระตุกเหมือนลงแดงจากการขาดยาแบบนั้น จนถึงตอนนี้เขาเองก็ยังคงไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไหร่
ไม่ใช่ว่าเฉินเฟิงไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้ แต่ถ้าหากยอมแพ้ไปซะแบบนี้ หลี่จื่อเยว่อาจจะต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตแน่นอน ซึ่งนั่นทำให้เขาทนรับไม่ได้ พลางหันไปมองหลี่จื่อเยว่ที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พลางพูดกับเธอ
“พวกเราคงต้องอยู่ที่นี่สักพักแล้วหล่ะ?”
“ทำไมหรอคะ?พวกเราจะไม่ไปพี่ชิงจือแล้วหรอคะ?” หลี่จื่อเยว่ถามโดยยังไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเอง
เฉินเฟิงเพียงตอบกลับอย่างขอไปทีเท่านั้น: “เพราะว่ามีเรื่องบางอย่างที่ฉันจะต้องจัดการที่นี่ แค่เชื่อฟังฉันก็พอแล้ว พวกเราไปยังตำบลใกล้ๆ ที่นี่เพื่อเตรียมตัวกันก่อนแล้วกัน ตอนเย็นค่อยกลับมาใหม่ ”
ทางด้านหลี่จื่อเยว่ที่นึกถึงเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ก็อยากที่จะปฏิเสธ เพราะเธอคิดว่าเรื่องแบบนี้สำหรับผู้หญิงแบบเธอแล้วถือเป็นเรื่องที่ดูย่ำแย่อย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมในใจของเธอถึงมีความคาดหวังบางอย่างเกิดขึ้น
เมื่อไปยังตำบล ทั้งกินพร้อมทั้งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างก็ดูผ่อนคลายขึ้นมา รอจนบ่ายสามกว่า เฉินเฟิงก็พาหลี่จื่อเยว่กลับมาที่สถานที่จัดงานรอบกองไฟอีกครั้ง
และดูเหมือนว่าคนที่มาที่นี่จะไม่ใช่กลุ่มคนเดิมๆซ้ำๆ อย่างเช่นชายร่างบางที่เฉินเฟิงได้เจอเมื่อคืนนี้ วันนี้เฉินเฟิงกลับไม่ได้เห็นเขาอีกเลย ทั้งยังมีอีกหลายคนที่เหมือนเพิ่มเข้ามา ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นคนที่มาใหม่หรือเปล่า
แต่จำนวนของผู้คนที่นี่ยังคงไม่ต่ำกว่าร้อยคนอยู่ดี
ครั้งนี้เฉินเฟิงไม่อาจละทิ้งรายละเอียดของทุกอย่างได้อีก ดังนั้นตั้งแต่เริ่มจนจบเขาจึงคอยตั้งหน้าตั้งตาสังเกตสิ่งที่จะเกิดขึ้นกลางทุ่งนั้นอย่างไม่ละสายตาเลย
กระทั่งในตอนที่พระอาทิตย์ใกล้จะตก ก็มีคนขนฟืนลงมาจากรถขนส่งคันหนึ่ง ซึ่งนั่นคงจะเป็นฟืนที่ใช้ในการจุดเพลิง เฉินเฟิงเห็นอย่างนั้นจึงเดินเข้าไปดู ก่อนจะขัดขวางเขาที่กำลังขนฟืนลงมา
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองเฉินเฟิงพร้อมกับถาม: “คุณจะทำอะไรนะ?”
“ฟืนพวกนี้ใครเป็นคนสั่งให้ส่งมาหรอครับ?” เฉินเฟิงใช้มือข้างหนึ่งดึงเขาแขนของอีกฝ่ายที่กำลังขนฟืน
“เรื่องนี้ผมจะไปรู้ได้ยังไง มีคนให้เงินผม ผมก็แค่ส่งของเท่านั้น แถมยังไม่ได้เป็นของอันตรายอะไรด้วย ”
เฉินเฟิงมองเขาพลางคิดว่าเขาไม่น่าจะพูดโกหก ดังนั้นจึงถามอีกครั้ง: “อย่างนั้นแสดงว่าคุณมาส่งฟืนที่นี่ทุกวันเลยหรอครับ?”
ชายคนนั้นพยักหน้าตอบรับ: “ที่นี่คึกคักแบบนี้ทุกวันเลย ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วล่ะ ผมเองยังคิดไม่ตกเลยว่าทำไมคนพวกนี้ยังเล่นสนุกแบบนี้ได้อีก”
เฉินเฟิงถึงกับตกใจ คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว
“แล้วที่นี่ไม่เคยมีเรื่องแปลกประหลาดอะไรเกิดขึ้นเลยหรอครับ ?”
“เรื่องแปลกประหลาด?คนพวกนี้มาเล่นสนุกอยู่ที่นี่ ยังแปลกประหลาดไม่พออีกงั้นหรอ ?” เขาตอบกลับอย่างไม่ได้คิดมากอะไร
“ผมหมายถึงว่ามีคนหายตัวไปหรือได้รับบาดเจ็บพวกนี้?”
ชายคนนั้นส่ายหน้า: “ เรื่องแบบนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นนะ ไม่พูดกับคุณแล้ว ผมยังต้องขนฟืนพวกนี้ไปไว้ตรงกลางนั้น ”
เฉินเฟิงพูด: “ผมจะช่วยคุณแล้วกัน”
เขาลูบฟืนเหล่านั้นทีละอันๆ แต่ไม้พวกนี้ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกับไม้ทั่วไปเลยสักนิด ดังนั้นเขาจึงได้เพียงถามอีกครั้ง : “ฟืนพวกนี้ คุณไปเอามาจากไหนหรอครับ ?”
“ก็ไปเอามาจากโรงเลื่อยไม้ใกล้ๆ ที่นี่แหละ มีอะไรหรือเปล่า เรื่องที่นี่ไม่ใช่พวกคุณที่เป็นคนจัดขึ้นมาเองหรอกหรอ?”
เฉินเฟิงไม่ได้พูดตอบใดๆ เพียงแต่ส่งเสียง” อืม” ออกมาคำเดียว เพื่อเป็นการยอมรับ
แต่ถึงยังไงเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาอยู่แล้ว
เมื่อฟืนถูกขนไปยังกลางทุ่ง ชายคนนั้นก็เฝ้ารอจนถึงเวลาหกโมงเย็นถึงค่อยราดน้ำมันลงไปก่อนจะจุดไฟขึ้นมา
ทว่าเขากลับไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อเหมือนกับคนอื่นๆ เพราะหลังจากที่เขาจุดไฟเรียบร้อยก็จากไป
และหลังจากนั้นกลุ่มคนที่อยู่ที่นี่ก็เริ่มครึกครื้นขึ้นมา ทางด้านหลี่จื่อเยว่ยังคงมีการตอบสนองเหมือนที่เคยเป็น เฉินเฟิงจึงทำได้เพียงต้องเข้าไปในนั้นกับเธออีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น
หลังจากที่ผ่านประสบการณ์มาถึงสองครั้ง เฉินเฟิงจึงคิดว่าความเป็นไปได้ของสาเหตุที่ทำให้หมดสติไปนั้นคือกลิ่นที่ถูกปล่อยออกมาหลังจากนั้น
แต่ว่าเขายังคงไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร กระทั่งเขาได้สูดกลิ่นนั้นเข้าไป เขาก็หลงระเริงไปกับความบ้าคลั่งนั้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวซะแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ยังไม่มีจุดไหนที่ดูน่าสงสัยเลย จนเขาคิดว่าตัวเองได้สติคืนมาแล้ว แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเขายังคงหมดสติอยู่ตรงนั้นอยู่ดี
เมื่อคิดยังไงก็ไม่เข้าใจสักที เฉินเฟิงจึงทำได้เพียงแต่ต้องกลับไปวิเคราะห์อีกรอบเท่านั้น บางทีอาจจะมีบทสรุปที่ต่างไปก็ได้