ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 858
เฉินเฟิงเดินไปยังข้างเตียง ด้วยความที่เขาไม่ได้คิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องใหญ่อะไร ดังนั้นเขาจึงพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจอะไรมากนัก : “ถ้าหากว่าคุณไม่ถือสาอะไรก็มานอนบนเตียงด้วยกันหนึ่งคืนก่อนแล้วกัน อีกอย่างผมก็ไม่ใช่คนประเภทนั้นด้วย แต่ถ้าหากว่าคุณถือสา อย่างนั้นก็ดึงผ้าห่มจากเตียงไปนอนบนพื้นแทนแล้วกัน”
เมื่อพูดจบ เขาก็ไม่รอให้เซียงหลันบอกว่าตัวเองเลือกยังไง เขาก็ขึ้นไปเปิดผ้าห่มแล้วนอนลงไปบนเตียง พร้อมทั้งยังเหลือที่ว่างครึ่งหนึ่งไว้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินเฟิงก็ได้ยินเสียงของเซียงหลัน เธอเดินมายังข้างเตียงโดยไม่ได้ดึงผ้าห่มลงไป เพียงแต่นอนลงไปบนเตียงเท่านั้น
เฉินเฟิงสามารถรับรู้ถึงความตื่นเต้นของเธอ และนั่นเป็นเรื่องที่เฉินเฟิงคิดไม่ถึงเลยจริงๆ เพราะทั้งที่ตอนกลางวันเธอยังพยายามเข้ามาใกล้ชิดกับเขาแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับมีความหวาดกลัวแทนเสียอย่างนั้น
แต่อย่างว่าเฉินเฟิงไม่ได้ทำอะไร เพียงนิ่งเงียบตลอดทั้งคืน
ถึงแม้ว่าในห้องจะมีการเปิดฮีตเตอร์เอาไว้ แต่ด้วยหน้าต่างที่แตกไปทำให้มีลมหนาวพัดเข้ามาด้านในอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงทำให้ในเช้าวันถัดมาทั้งสองคนก็ได้กอดกันแน่นเพื่อมอบความอบอุ่นให้แก่กันและกัน
หลังจากที่เซียงหลันตื่นขึ้นมา เฉินเฟิงก็ยังไม่ได้ทำอะไรเธออย่างที่เขาได้พูดเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะกอดอยู่ด้วยกัน แต่เมื่อเทียบกับเรื่องอื่นแล้ว เธอกลับไม่ได้ถือสาเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก แต่ทว่าไม่รู้ว่าสีหน้าของเธอในตอนนี้คือความดีใจหรือทุกข์ใจ
เมื่อเธอลุกขึ้นจึงทำให้เฉินเฟิงสะดุ้งตื่นขึ้นมา เฉินเฟิงเหลียวมองไปที่เธอ
เพราะว่าตื่นมาในตอนเช้าแบบนี้เลยทำให้ผมของเซียงหลันมีความยุ่งเล็กน้อย และด้วยเพราะว่าตอนนี้เธออยู่ในหน้าสดจึงไม่เหลือโครงหน้าจากการแต่งหน้าอันชวนหลงใหลแบบนั้นอีกแล้ว แต่นั่นก็ทำให้เธอดูไร้เดียงสาขึ้นมาไม่น้อยเลย
เฉินเฟิงมองไปที่เธอพร้อมกับกล่าวถาม: “บาดแผลบนตัวคุณเป็นยังไงบ้าง?สาหัสหรือเปล่า?”
เมื่อวานนี้ในตอนที่เซียงหลานเข้าก็ใช้มือซ้ายกุมอกอยู่ตลอด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอคงจะได้รับบาดเจ็บมาแน่นอน
เมื่อได้ยินเฉินเฟิงถามแบบนี้ เซียงหลันจึงส่ายหน้า: “ไม่ได้สาหัสอะไรค่ะ รักษาตัวสักสองสามวันก็คงหาย ตอนนี้ก็เช้าวันใหม่แล้ว ฉันเองก็ไม่ได้สะดวกที่จะอยู่ที่นี่ต่อด้วย เดี๋ยวฉันก็ออกไปแล้วนะคะ”
เฉินเฟิงไม่มีคำตอบกลับใดๆ เพียงแต่มองดูเซียงหลันเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน พอผ่านไปสักพัก ในตอนที่เธอเดินออกมา เธอก็ได้มีการจัดทรงผมจนเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าสีหน้ากลับยังมีความซีดเซียวดังเดิม
เซียงหลันหันไปบอกกับเฉินเฟิง
“ขอบคุณที่คุณชายให้ที่หลบภัย ตอนนี้เซียงหลันขอตัวก่อน”
เมื่อพูดจบเธอก็เดินไปทางประตู
เฉินเฟิงรู้ว่าหากเธอออกจากประตูนี้ไป และหากได้เจอกับตู๋กูหยุนอีกครั้งเธอก็คงจะหนีไม่พ้นแน่นอน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างเธอกับตู๋กูหยุน แต่เมื่อดูจากท่าทีของตู๋กูหยุนเมื่อคืนนี้แล้ว เซียงหลันไม่มีทางถูกปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน
เสียงเปิดประตูดังขึ้น หากว่าตอนนี้เฉินเฟิงกล่าวรั้งให้เธออยู่ต่อ เซียงหลันคงจะตอบรับแน่นอน แต่กระทั่งเสียงประตูถูกปิดลงอีกครั้ง เฉินเฟิงกลับไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
เพราะอย่างที่เขาเคยบอก เรื่องของเซียงหลันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเขานั่นเอง
หลังจากรอให้เซียงหลันจากไป เฉินเฟิงก็ลุกขึ้นเดินไปยังห้องพักของหลี่จื่อเยว่
เพราะตั้งแต่ได้เจอกับสถานการณ์เมื่อวานนี้ เฉินเฟิงจึงกลัวว่าเธอจะมีความทรงจำที่ไม่ดีบางอย่าง แต่ทันทีที่หลี่จื่อเยว่เปิดประตูออกมาแล้วได้เห็นหน้าของเฉินเฟิง เธอก็บ่นพึมพำพร้อมกับมองเฉินเฟิงด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจมากนัก : “คุณทำอะไรกันคะเนี่ย ถึงได้มาปลุกหนูตั้งแต่เช้าเลย คนกำลังนอนหลับสบายเลย”
ตอนนี้เจ็ดโมงเช้าแล้ว แต่หลี่จื่อเยว่กลับยังมีท่าทีเหมือนคนที่ยังตื่นไม่เต็มตาแบบนั้น เธอเกาหัวของตัวเองด้วยความง่วงนอน ซึ่งทำให้ผมที่เดิมทีมีความยุ่งอยู่แล้วยิ่งยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก
เฉินเฟิงที่เห็นอย่างนั้นก็พูดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์: “ยัยเด็กไร้ยางอาย”
ถึงแม้เขาจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ยังปล่อยให้หลี่จื่อเยว่กลับไปนอนพักต่อ
ในขณะที่เขาเดินเข้าไปในเมืองเพื่อที่จะดูว่ายังมีของอะไรที่ต้องซื้อเพิ่มเติมอีก
ตอนนี้ภายในเมืองเต็มไปด้วยความคึกคัก ตรงบริเวณสวนสาธารณะมีเหล่าคุณลุงคุณป้ามาออกกำลังกายที่นี่ บางคนรำดาบ บางคนโหนบาร์ ในขณะที่บางคนก็กำลังยืดเส้นยืดสายอยู่ แต่ละคนถึงแม้จะมีอายุเยอะแล้ว แต่ร่างกายกลับมีสุขภาพที่แข็งแรงยิ่งกว่าวัยรุ่นหลายคนเสียอีก
เฉินเฟิงเป็นคนชอบเพลิดเพลินกับความเรียบง่ายแบบนี้อย่างมาก ดังนั้นเขาจึงนั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งในสวนสาธารณะแห่งนี้ พลางมองไปยังสวนสาธารณะที่กำลังครึกครื้น
แต่ทว่าแม้แต่การได้พักผ่อนหย่อนใจเพียงเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ของเขาก็มักจะมีใครบางคนมาทำลายอยู่ตลอด
ชายสวมผ้าปิดปากและหมวกคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งข้างๆ เฉินเฟิง เดิมทีเฉินเฟิงไม่ได้สนใจเขา แต่ว่าอีกฝ่ายกลับเอ่ยปากพูดกับเขา
“ท่านเฝิง มีคนฝากจอหมายมาให้คุณ”
เฉินเฟิงที่เพิ่งได้ยินก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะเข้าใจว่าที่อีกฝ่ายเข้ามาก็เพราะต้องการคุยกับเขา แต่ว่าเฉินเฟิงได้พูดชื่อปลอมนี้ต่อหน้าเซียงหลันคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนที่เซียงหลันส่งมา
“มีเรื่องอะไร?”
เพราะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้ใครรู้ตัวตนของเขา ดังนั้นเฉินเฟิงจึงพยายามกดเสียงพูดให้ต่ำลง
“แต่ก่อนที่ผมจะมอบจดหมายให้กับคุณ เขาคนนั้นให้ผมถามคำถามหนึ่งกับท่านเฝิงก่อน”
เฉินเฟิงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่ชื่นชอบเรื่องยุ่งยากแบบนี้สักเท่าไหร่เลยจริงๆ
ส่วนทางด้านเซียงหลันที่หลังจากแยกกับเฉินเฟิง เธอก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะไป และถ้าหากให้กลับไปที่คฤหาสน์กล่างป่านั้น ก็คงจะต้องถูกตู๋กูหยุนจับได้แน่นอน ดังนั้นเธอจึงคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะเดินทางไปหาเพื่อนคนหนึ่ง
ซึ่งที่นั่นไม่ได้ไกลจากโรงแรมที่เฉินเฟิงพักอยู่มากนัก แต่ว่าเธอกลับไม่กล้าที่จะออกไปเรียกรถที่หน้าประตูใหญ่อย่างเปิดเผย ดังนั้นจึงใช้วิธีการปีนออกมาจากหน้าต่างห้องน้ำในชั้นหนึ่งของโรงแรมแห่งนี้แทน เมื่อออกมาเห็นว่ารอบๆ นั้นไม่มีใคร เธอถึงค่อยเดินไปยังถนนใหญ่ก่อนจะโบกรถแท็กซี่คันหนึ่ง
ภายในบ้านของเพื่อนเธอ หญิงสาวที่มีอายุวัยเดียวกับเซียงหลัน เธอกำลังยิ้มจางๆ พร้อมกับรินเหล้าเบย์ลี่ส์สองแก้วแล้วเดินมายังเซียงหลัน
“ตอนนี้ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ เลยต้องมาซ่อนตัวอยู่กับเธอที่นี่ รอให้เรื่องวุ่นวายนี้จบลงแล้ว ฉันจะไปทันที”
หญิงสาวคนนั้นมีผมดกดำเงางาม ดวงตาสุกใส ริมฝีปากอวบอิ่มพร้อมฟันที่เรียงสวย เธอหันมาพูดกับเซียงหลัน : “ระหว่างเธอกับฉันยังมีอะไรที่ต้องเกรงใจอีกเล่า ฉันไม่ได้ถือสาอะไรสักหน่อย เธออยากจะพักที่นี่นานแค่ไหนก็ได้เลย”
หลังจากที่ส่งแก้วเหล้าให้กับเซียงหลัน เธอก็นั่งลงบนโซฟาที่อยู่ข้างๆ เซียงหลัน ก่อนจะจิบเหล้าเข้าไป พลางกล่าวไถ่ถาม: “แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงได้ทำให้เธอมีสภาพน่าอนาถขนาดนี้ได้”
สีหน้าของเซียงหลันหมองลงทันที เมื่อคิดถึงเรื่องที่ตัวเองได้เจอแล้วมันก็ทำให้เธอรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที ก่อนจะตอบกลับด้วยอารมณ์หงุดหงิด: “ทำอะไรไม่ได้ ก็ดันไปมีเรื่องกับคนที่ไม่ควรด้วย”
หญิงผมดำคนนั้นกลับหัวเราะออกมา: “คนสมบูรณ์แบบอย่างเธอ ยังสามารถเจอกับคนที่ไม่ควรไปมีเรื่องได้ด้วยงั้นหรอ ถ้าดูตามกลุ่มคนที่เธอได้พบปะด้วยก็ไม่เห็นมีคนไหนเลยที่เธอจะไปมีเรื่องด้วยได้เลย แล้วตอนนี้มันอะไรกันแน่ที่บังคับให้เธอตกมาอยู่ในสภาพนี้ได้”
“อย่ามาหัวเราะฉันสิ ถ้าฉันมีดีขนาดที่เธอบอก คงจะไม่มีทางถูกบีบบังคับจนต้องมาหลบอยู่ที่นี่หรอก แต่ฉันเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าอีกฝ่ายบอกจะพลิกหน้าก็พลิกจากหน้ามือกลายเป็นหลังมือแบบนี้เลย แต่การมาถึงขั้นนี้ได้ก็เป็นเพราะฉันที่หาเรื่องใส่ตัวเองทั้งนั้น ตอนนี้สิ่งต้องคิดคือหลังจากนี้จะหนีจากเขายังไงดีกว่า”
เมื่อพูดจบเซียงหลันก็เอนตัวเข้าไปในอ้อมอกของอีกฝ่าย ก่อนจะนอนลงไปบนตักของเธอพร้อมกับถอนหายใจออกมายาวๆ
“ยังโชคดีที่เธอยอมรับฉันเข้ามา”
หญิงสาวคนนั้นหัวเราะเบาๆ : “ฉันไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้นเหมือนเธอหรอกนะ ถ้าหากว่าอีกฝ่ายตามมาถึงที่นี่ สิ่งแรกเลยคือฉันจะส่งตัวเธอออกไป”
เซียงหลันที่ได้ยินแบบนั้น จึงแสร้งทำเป็นโกรธทันที: “เธอกล้าหรอ!”
หญิงสาวลูบเส้นอันเรียบลื่นของเซียงหลัน: “ฉันก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง มีหรือที่จะเหมือนเธอที่เวลาอยู่ต่อหน้าพวกคนใหญ่คนโตพวกนั้นแล้วยังสามารถจัดการตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบนั้น แต่จะว่าไปแล้ว เธอไปมีเรื่องกับใครกันแน่ คงจะไม่ใช่หมาป่าทะเลทรายอย่างตระกูลหลี่หรอกนะ”
และดูเหมือนว่าหมาป่าทะเลทรายนี้จะมีความน่าเกรงขามอย่างมาก เพราะแม้เธอที่เป็นคนพูดออกมายังมีความรู้สึกหวาดหวั่นเลย เธอมองไปยังเซียงหลันพร้อมกับกลัวว่าเซียงหลันจะพูดชื่อนั้นออกมาจริงๆ