ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 881
รอจนกระทั่งทุกอย่างสิ้นสุดลง เฉินเฟิงก็วางนายท่านลงไปที่เดิมก่อนจะช่วยสวมเครื่องช่วยหายใจให้กับเขาอีกครั้ง
“แค่นี้ก็จบแล้วงั้นหรอ?สรุปแล้วนายท่านป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่?” เฉินเฟิงกล่าวถามด้วยความสงสัย
หลงหลินหันมาถลึงตาใส่เฉินเฟิง ราวกับกำลังตำหนิความอยากรู้อยากเห็นของเขา
เมื่อเห็นอย่างนั้นเฉินเฟิงจึงไม่คิดที่จะไถ่ถามเอาความอะไรอีก แต่กลายเป็นว่าหลงหลินกลับเป็นฝ่ายบอกออกมาเสียเอง : “พิษหนาวจากใจ”
ทันทีที่หลงหลินพูดจบ ทางฝั่งเฟิ่งซีก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจทันที : “เป็นไปไม่ได้หรอก อาจารย์เคยบอกว่า พิษหนาว(เป็นพิษทำให้เลือดในร่างแข็งตัวจนเสียชีวิต)แบบนี้มันสาบสูญไปหมดแล้วนี่ พี่ดูผิดไปหรือเปล่า”
เฉินเฟิงที่เดิมทีมีข้อสงสัยอยากจะถามอยู่แล้ว เมื่อได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นไปอีก
“ตอนแรกฉันก็คิดว่าตัวเองดูผิดไป แต่ว่าฉันตรวจดูไปตั้งสี่รอบแล้ว ซึ่งผลสรุปมันก็ออกมาเหมือนกันหมดเลย และถ้าหากจะต้องเลือกคำตอบใดคำตอบหนึ่งจริงๆ ฉันก็คงจะเชื่อว่ามีใครบางคนฝึกฝนเอา พิษหนาวนี้ออกมาใช้อีกครั้ง”
เฟิ่งซีถึงกับตะลึงงัน ในขณะที่ทางด้านเฉินเฟิงก็ยังคงไม่เข้าใจ : “พิษแบบนี้มันรักษาไม่หายงั้นหรอ?”
เฟิ่งซีกล่าวตอบ: “เมื่อหลายปีก่อนในตอนที่หลินชีงตี้มาหาอาจารย์ก็เป็นเพราะได้รับพิษนี้เข้าไป ซึ่งในตอนนั้นอาจารย์ได้เพียงแค่ชะลออาการกำเริบของพิษนี้บนร่างกายของหลินชีงตี้เท่านั้น โดยไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้”
เฉินเฟิงถึงกับต้องแอบตะลึง ถึงแม้จะรู้ว่าหลินชีงตี้เคยมารับการรักษาอาการป่วย แต่เขานั้นก็ไม่เคยรู้ว่ารักษาโรคอะไร คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีอาการเดียวกันกับนายท่านเชียน
“แล้วทำไมถึงต้องบอกว่ามันหายสาบสูญไปแล้วล่ะ ทั้งที่หลินชิงตี้ก็ได้รับพิษนี้เข้าไปไม่ใช่หรอ ?ซึ่งระยะเวลาจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็น่าจะยังไม่เกินยี่สิบปีด้วยซ้ำ” เฉินเฟิงถามอย่างสงสัย
เฟิ่งซีตอบกลับ: “นั่นก็เป็นเพราะว่าหลินชีงตี้นั่นแหละ หลังจากที่เขาได้สอบถามอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องเงื่อนไขของการทำพิษชนิดนี้ขึ้นมา เขาก็ได้เริ่มมีการสืบหา ก่อนที่จะทำการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ และด้วยชื่อเสียงและเกียรติยศของหลินชีงตี้จึงสามารถทำให้วัตถุดิบชนิดหนึ่งที่ยากในการสกัดออกมานั้น หมดหนทางที่จะสกัดมันออกมาได้อีก และนั่นเลยเป็นสาเหตุให้พิษชนิดนี้หายสาบสูญไปอย่างกะทันหัน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนหนีรอดจากเหตุการณ์วิบัติครั้งนั้นมาได้”
เมื่อนึกถึงความน่าเกรงขามของมหาปรมาจารย์ เฉินเฟิงก็สามารถเข้าใจได้ในทันที
แต่เขาก็ไม่วายต้องถามกลับอีกครั้ง: “แต่ในเมื่อท่านปูถูสามารถควบคุมพิษชนิดนี้ได้ อย่างนั้นหลงหลินก็คงน่าจะทำได้อยู่มั้ง”
เฉินเฟิงพูดพลางหันไปมองหลงหลิน ในขณะที่หลงหลินเองก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
แต่ว่าเฟิ่งซีกลับกล่าวแย้ง: “พี่ พวกเรากลับกันเถอะ !เรื่องนี้พวกเราช่วยอะไรไม่ได้หรอก และก็ไม่ควรเข้าไปช่วยด้วย”
หลงหลินถอนหายใจออกมา: “ฉันรู้ว่าเธอกำลังกังวลเรื่องอะไร แต่ด้วยความสัมพันธ์ของนายท่านเชียนและอาจารย์ แล้วไหนจะเรื่องของหยกลายมังกรอีก เรื่องนี้พวกเราจำเป็นต้องทำจริงๆ ”
เฟิ่งซีรีบแย้งกลับอย่างร้อนรน: “แต่ว่าคนที่วางยานั่น……。”
หลงหลินขัดคำของเธอทันที: “เธอไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้พวกเราอยู่ในบ้านตระกูลเชียน ต่อให้มีคนอยากจะมาแก้แค้นอะไร นั่นมันก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพวกเรา”
เฟิ่งซีเป็นคนที่เชื่อฟังคำพูดของหลงหลินมาแต่ไหนแต่ไร และครั้งนี้ก็ไม่แตกต่างออกไป เมื่อหลงหลินพูดจบ เฟิ่งซีก็ไม่ได้พูดแย้งอะไรอีก แต่ความขุ่นเคืองที่แสดงออกมาบนใบหน้า กลับทำให้เห็นถึงการต่อต้านที่ไร้เสียงภายในจิตใจของเธอ
ทางด้านเฉินเฟิงที่เห็นสีหน้าของหลงหลินนิ่งขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงยิ่งไม่กล้าจะพูดอะไรไปมากกว่านั้น
ทางสามคนออกมาจากในนั้น โดยมีเชียนสวนยี่กำลังเฝ้าดูแลอยู่ด้านนอก
เมื่อเห็นทางสามคนเดินออกมา เชียนสวนยี่ก็รีบเดินเข้าไปหาทั้งสามทันที
เดิมทีเขาเป็นคนที่มองสง่าผ่าเผยอย่างมาก แต่ว่าเพราะความร้อนรนในตอนนี้ จึงทำให้ภาพลักษณ์ของเขาลดลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีใครมาชี้ว่าอะไรเขาได้ เขาเดินเข้ามาพร้อมกับคำถาม: “คุณหนูฉาง ตอนนี้คุณพ่อเป็นยังไงบ้างครับ ?”
หลงหลินตอบกลับอย่างสงบนิ่ง: “ก่อนหน้านี้ฉันเคยได้บอกเอาไว้แล้วว่าฉันจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่ว่าตอนนี้ยังไม่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ดังนั้นอีกหลายวันจากนี้คงต้องรบกวนบ้านของคุณอีกเยอะเลย”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เชียนสวนยี่ก็รู้สึกพึงพอใจไม่น้อย เพราะอย่างน้อยคำตอบที่ได้ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้หนทางรักษา หรือว่าเป็นคำพูดที่ต้องรอพระประสงค์ของสวรรค์อะไรพวกนี้
เขาจึงรีบกล่าวขอบคุณทันที: “ขอบคุณทั้งสองอย่างมาก ที่ยินยอมอยู่ที่นี่เพื่อรักษาอาการป่วยของคุณพ่อ ส่วนในเรื่องของที่พักได้มีการจัดเตรียมไว้แล้วครับ”
จากนั้นเชียนสวนยี่ก็พาทั้งสามคนมายังพักยังลานเล็กสำหรับแขก โดยเป็นทีเดียวกับครั้งที่แล้วที่เฉินเฟิงได้มาพัก ซึ่งเป็นกระท่อมไม้ไผ่หลังหนึ่ง
แต่ทว่าครั้งนี้เป็นพวกเขาสามคนมาพักด้วยกัน
“ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ผมคงจะไม่รบกวนการพักผ่อนของพวกคุณสามคนแล้ว ไว้วันพรุ่งนี้ผมค่อยกลับมาหาพวกคุณอีกที”
รอจนกระทั่งเขาจากไป ทางด้านเฟิ่งซีก็ไม่มีอะไรสงสัยอีกแล้ว เพราะหากดูจากความพึงพอใจของเธอในตอนที่กลับเข้ามาอีกครั้งนั้น คาดว่าเธอคงน่าจะได้ออกเดินสำรวจป่าไผ่ที่อยู่ด้านนอกนี้ไปหนึ่งรอบแล้ว
ส่วนหลงหลินก็ไม่ได้สนใจอะไรกับการกระทำของเธอ เพียงเดินเข้าไปในห้องตัวเอง และถึงแม้จะเป็นการเดินสำรวจง่ายๆ แต่ดูเหมือนว่าจะเสียแรงไปไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะตอนนี้เธอดูท่าจะเหนื่อยล้าเอามากๆ
ทางด้านเฉินเฟิงเดินเข้าไปหาเฟิ่งซีแล้วพูดด้วยความห่วงใย: “คุณไม่จำเป็นต้องกังวลขนาดนั้นหรอก ที่นี่ยังมีผมอยู่ด้วยไม่ใช่หรือไง ผมจะดูแลความปลอดภัยของพวกคุณสองพี่น้องเอง”
เฟิ่งซีเหลือบหันไปมองเฉินเฟิง ราวกับว่าคำพูดนี้ของเขาจะทำให้อารมณ์ของเธอดีขึ้นมา แต่เธอก็ยังแย้งกลับอย่างไม่สบอารมณ์ : “หากอยู่ในสถานการณ์จริง คุณจะทำอะไรได้”
เฉินเฟิงที่ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ ก่อนจะตอบกลับ: “จะยังไงผมก็เป็นคนในแดนระดับสูง แล้วผมจะไม่มีประโยชน์ได้อย่างไร ขอเพียงไม่ใช่คนจากแดนมหาปรมาจารย์ ผมก็กล้ามั่นใจได้เลยว่ามีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นแหละที่สามารถล้มผมได้”
เฟิ่งซีถึงกับต้องส่งเสียงเยาะเย้ยออกมา : “ถ้าหากว่าคุณต่อสู้เก่งขนาดนั้น ทำไมถึงได้ถูกพวกเราช่วยเอาไว้ล่ะ ต่อให้วิชาต่อสู้จะเก่งกาจขนาดไหน บางครั้งมันก็ไร้ประโยชน์ เพราะคนที่ต้องการจะทำร้ายคุณ พวกเขามักจะสามารถหาหนทางที่จะทำร้ายคุณจนได้”
เฉินเฟิงขมุบขมิบริมฝีปาก โดยไม่รู้ว่าจะเถียงกลับอย่างไรดี จากนั้นเขาจึงได้เพียงตอบกลับไปอย่างไร้ยางอายเท่านั้น: “ต่อให้พวกเขาอยากจะทำร้ายพวกคุณ ผมก็จะเข้าไปบังหน้าพวกคุณเอาไว้ คอยเป็นเกาะกำบังรับอาวุธเหล่านั้นแทนกับพวกคุณ ”
เฟิ่งซีได้แต่มองเฉินเฟิงอย่างอึ้งตะลึง ราวกับคิดไม่ถึงว่าเฉินเฟิงจะพูดประโยคแบบนี้ออกมาได้
แต่นั่นก็สามารถทำให้เธอหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เพราะที่จริงแล้วระหว่างพวกเธอกับเฉินเฟิงเหมือนจะไม่ได้มีความสนิทสนมกันถึงขนาดนั้น
แต่ก็เป็นเพราะเฉินเฟิง จึงทำให้สกัดซี่ได้คลายความกังวลใจเมื่อสักครู่นี้ไป ทั้งอารมณ์ของเธอก็ผ่อนคลายลงไม่น้อยเลย ก่อนที่เธอจะกวาดตาใส่เฉินเฟิง : “หึ คนกะล่อนปลิ้นปล้อน แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีแน่นอน ไปแล้วดีกว่า”
เมื่อด่าจบ เธอก็วิ่งหนีไปทันที เหลือเพียงเฉินเฟิงที่ยืนงงคนเดียวอยู่ตรงนั้น
จนในวันถัดมา ปรากฏว่าเชียนสวนยี่ได้มายังลานเล็กนี้ตั้งแต่เช้าเลย ก่อนจะกล่าวถามทั้งสามคนว่านอนหลับพักผ่อนกันสบายหรือไม่ พร้อมถามเรื่องอื่นๆ อีกเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยพาทั้งสามไปทานอาหารเช้า
ในระหว่างทางเชียนสวนยี่ก็พูดขึ้น: “วันนี้ผมไม่สามารถอยู่ดูแลพวกคุณทั้งสามแล้ว ในบ้านมีเรื่องบางอย่างที่ผมต้องไปจัดการ แต่ว่าผมได้จัดเตรียมคนที่จะมาอยู่ดูแลเป็นเพื่อนพวกคุณเอาไว้แล้ว ฉะนั้นพวกคุณไม่ต้องกังวลใจไป หากว่ามีเรื่องอะไรก็สามารถสั่งเขาได้เลย เขาจะช่วยเหลือพวกคุณอย่างเต็มที่แน่นอน”
แน่นอนว่าหลงหลินไม่มีความเห็นอะไรอยู่แล้ว จึงทำเพียงพยักหน้าเข้าใจ ส่วนเฉินเฟิงและเฟิ่งซีต่างก็ว่าตามสิ่งที่หลงหลินบอก ดังนั้นจึงยิ่งไม่มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลังจากที่ทั้งสามทานอาหารเรียบร้อยแล้ว เชียนสวนยี่ก็ได้พาเขาคนนั้นมาเจอพวกเขา และเมื่อแนะนำตัวก็ปรากฏว่าเขาเป็นหลานชายคนหนึ่งของเชียนสวนยี่ และเหมือนว่าจะเป็นรุ่นเดียวกันกับเชียนหนิงด้วย ซึ่งมีชื่อว่าเชียนชิว เขามีใบหน้าหล่อเหลาดูดี รูปร่างสูงยาวเข่าดี เป็นเหมือนร่างโคลนนิ่งอีกคนของเชียนสวนยี่ที่ดูสง่าผ่าเผยแบบนั้นเลย
แต่หลังจากที่เชียนสวนยี่จากไป เชียนชิวคนนี้ก็เหมือนจะมีความกระฉับกระเฉงขึ้นมา และความกระตือรือร้นที่เขามีต่อสองพี่น้องตระกูลฉางนั้นก็หาอะไรมาเทียบไม่ได้เลย
“พี่สาวทั้งสอง ถ้าหากว่ามีเรื่องอะไรให้ช่วยสามารถเรียกผมได้ทันทีเลยนะครับ คุณลุงบอกกับผมแล้วว่าขอเพียงแค่พวกคุณพูดมา ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ต้องทำให้ดีที่สุด”
ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าในสายตาของเขาจะไม่มีเฉินเฟิงเลย
ไม่คิดเลยว่าเสน่ห์ของสองพี่น้องตระกูลฉางจะไม่มีใครสามารถต้านทานไว้ได้เลยจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าเสียดาย เพราะว่าสองพี่น้องตระกูลฉางดูเหมือนว่าจะไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อยเลย