ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 886
พอถึงเวลาเที่ยงวัน พวกเขาก็กลับไปเยี่ยมดูอาการของหลงหลินอีกครั้ง แต่เพราะว่าหลงหลินได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นทั้งสองจึงไม่ได้รบกวนอะไรมาก เพียงแค่พูดคุยกับเธอไม่กี่คำก็ออกมา
สำหรับเรื่องการลอบสังหารนั้น เดิมทีหากว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ทุกอย่างก็คงจะง่ายกว่านี้ แต่น่าเสียดายเป็นเพราะว่าวิธีการย้อนพลังของเฉินเฟิงทำให้เขาฆ่าสองคนนั้นไป ทั้งยังตายอย่างน่าอนาถอีกต่างหาก
ในขณะที่ตระกูลเชียนเองก็ได้ตรวจสอบศพเรียบร้อยแล้ว แต่ยังคงไม่พบอะไรดังเดิม อีกทั้งสองคนนี้เหมือนจะไม่ใช่คนมีชื่อเสียงในวงการศิลปะการต่อสู้ และยิ่งดูไม่เหมือนคนที่ตระกูลเชียนไปมีความบาดหมางด้วย
ถึงอย่างนั้นตระกูลเชียนก็ไม่สามารถที่จะหยุดเพียงเท่านี้ เพราะยังไงก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าสองคนนี้เข้ามาในตระกูลเชียนได้อย่างไร และเหตุใดถึงได้ลอบเข้าไปถึงทางฝั่งของลานเล็กนั้นได้
และในท้ายที่สุดจึงได้ข้อสรุปว่าเกิดจากการละเลยในการป้องกัน เพราะตอนนี้ได้เน้นย้ำให้มีการดูแลป้องกันทางฝั่งของนายท่านเชียนเป็นเสียส่วนมาก จึงทำให้ไม่สามารถดูแลที่นี่ได้อย่างทั่วถึง
พอตกบ่าย เชียนสวนยี่ก็ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
โดยตอนนี้เฉินเฟิงยังคงไปพบเชียนสวนยี่พร้อมกับเฟิ่งซี ทว่าคราวนี้สีหน้าของเชียนสวนยี่เหมือนจะมีความลำบากใจบางอย่าง
เฟิ่งซีกล่าวถามอย่างอ่อนโยน: “เจ้าตระกูลเชียน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไร คุณพูดออกมาตามตรงเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ได้แค่กังวลใจ แต่ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะคะ ”
เฟิ่งซีกล่าวโดยคิดว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร
แต่เชียนสวนยี่กลับรีบสะบัดมือปฏิเสธ : “คุณหนูฉาง มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอก แต่เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้เคยได้ยินคุณหลงหลินพูดไว้ว่าอาการป่วยของคุณพ่อจำเป็นต้องได้รับการฝังเข็มวันละสองครั้ง และต้องทำซ้ำๆ อย่างนั้นเป็นเวลาเจ็ดวันติดต่อกัน อาการถึงจะกลับมาพักฟื้นได้ แต่เมื่อเช้านี้ยังไม่ได้ ……”
คำพูดนี้ยากที่จะเอ่ยปากพูดออกมาได้ เชียนสวนยี่ที่เห็นสีหน้าของเฟิ่งซีพวกเขาทั้งสองต่างไม่สู้ดีมากนัก จึงรีบพูดต่อทันที : “ตอนนี้ผมเข้าใจดีว่าการที่พวกคุณสองพี่น้องต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้เป็นความผิดของตระกูลเชียน ทั้งการมาร้องขอแบบนี้อีกครั้งยังถือเป็นเรื่องไร้ยางอายอีกต่างหาก แต่เพราะว่าผมไม่มีทางเลือกจริงๆ แต่หากว่าคุณเฟิ่งซีบอกว่าสามารถชะลอการรักษาไปได้อีกวันสองวัน ผมก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาร้องขอในตอนนี้ ”
เขาพูดด้วยความสุภาพและเกรงใจอย่างมาก จนทำให้เฉินเฟิงที่ได้ฟังก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในใจ พร้อมกับจะขับไล่เขากลับไป แต่คิดไม่ถึงว่าเฟิ่งซีจะห้ามเขาเอาไว้เสียก่อน : “เจ้าตระกูลเชียน เรื่องมันแบบอย่างนั้นจริงๆ จำเป็นต้องให้การฝังเข็มติดต่อกันเป็นเวลาเจ็ดวัน ถ้าหากว่าทิ้งไว้แบบนี้ความพยายามก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่าทันที แต่เพราะว่าพี่สาวได้รับบาดเจ็บเลยทำให้ฉันมีความสับสน ไม่อย่างนั้นเมื่อเช้านี้ก็คงจะไปแล้ว ถึงอย่างนั้นถือว่าโชคดีที่ยังไม่หมดวัน แค่รีบให้การรักษาชดเชยก็ยังทันอยู่ รบกวนท่านเจ้าบ้านรอสักครู่ ฉันไปเตรียมตัวแล้วจะรีบตามคุณไปทันที ”
เชียนสวนยี่โน้มตัวลงพร้อมกล่าว: “ไม่กล้าๆ ตอนนี้ตระกูลเชียนของเราไม่ได้ให้การดูแลพวกคุณได้ดีเท่าที่ควร กลับยังมาร้องขอทั้งสองท่านแบบนี้อีก รอให้เรื่องนี้สิ้นสุดแล้วตระกูลเชียนของเราจะตอบแทนพวกคุณอย่างดีที่สุดเลยครับ ”
เฉินเฟิงที่ได้ยินเดิมทีอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เพราะอันที่จริงสภาพของเฟิ่งซีในตอนนี้นั้นไม่ได้สู้ดีมากนัก หากรั้นที่จะฝังเข็มต่อไป ก็ไม่รู้ว่าเธอจะอดทนได้หรือเปล่า แต่เฉินเฟิงที่รู้จักนิสัยของพวกเธอสองพี่น้อง คำพูดที่อยากจะพูดออกมาจึงต้องกลืนกลับไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินเฟิงก็สะพายกล่องยาพร้อมกับเดินตามหลังเฟิ่งซีไปยังห้องรักษาตัวของนายท่านเชียนอีกครั้ง
หลังจากที่เชียนสวนยี่กล่าวขอบคุณไปหลายรอบ เขาที่รู้เรื่องความเคยชินของพี่น้องตระกูลฉางเป็นอย่างดี จึงได้เดินออกมาจากที่นั่น
จากนั้นรอจนภายในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคน เฉินเฟิงจึงค่อยกล่าวถามขึ้นมา : “ตอนนี้ไม่มีหลงหลินแล้ว คุณสามารถทำได้หรอ?”
เฟิ่งซียกมือขึ้นมาตีเฉินเฟิงหนึ่งที ก่อนจะต่อว่าด้วยความเคือง : “คุณกำลังดูถูกฉันอยู่ใช่ไหมล่ะ คุณคิดว่าฉันนั้นด้อยกว่าพี่มากเลยใช่ไหม ?”
ถึงแม้ฝ่ามือนั้นจะไม่ทำให้เขารู้สึกอะไร แต่เฉินเฟิงกลับขยับร่างกายของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว เขารู้ว่าคำพูดนี้ทำให้เฟิ่งซีไม่พอใจ จึงรีบร้องขอการอภัยทันที: “เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน ผมแค่เห็นว่าร่างกายของคุณไม่ค่อยแข็งแรง เลยกลัวว่าคุณจะเหนื่อยเท่านั้น”
แต่เฟิ่งซียังคงพูดเสียดสีใส่เฉินเฟิง: “ใจของคุณคิดอะไรล้วนถูกเขียนไว้บนหน้าของคุณหมดแล้ว ซึ่งคุณหน่ะคิดว่าฉันด้อยกว่าพี่มากเลยล่ะ ”
เฉินเฟิงยังคงส่ายหน้าราวกับเด็กหลงทางคนหนึ่ง เฟิ่งซีที่เห็นอย่างนั้นจึงรู้สึกตลกขึ้นมา ก่อนที่จะหัวเราะออกมา พร้อมกับพูดต่อ : “อันที่จริงตอนเด็ก ฉันไม่ได้มีอะไรด้อยไปกว่าพี่เลยสักนิด อาจารย์คอยสังเกตพวกเราอย่างเข้มงวด แถมแค่ดูแวบเดียวก็รู้ว่าฉันทำได้ดีกว่าพี่สาวแล้ว ถึงขนาดที่อาจารย์ยังชมฉันอีกด้วย ”
เฉินเฟิงได้ยินอย่างนั้นจึงถามกลับด้วยความสงสัย: “ทำไมดูแล้วคุณถึงไม่ได้มีความชำนาญเหมือนพี่สาวคุณเลยล่ะ”
เฟิ่งซีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม: “เพราะว่าฉันเห็นพี่สาวที่พยายามตั้งใจอย่างมาก แต่บางครั้งกลับทำได้ไม่ดีเท่าฉันสักที แถมอาจารย์ยังไม่ชมเชยเธอเลย จนเธอต้องมาแอบร้องไห้อยู่ด้านหลังฉันอยู่ตลอด ดังนั้นฉันเลยคิดว่าหากฉันแอบอู้งาน แล้วให้พี่ได้รับคำชมเชยจากอาจารย์ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว จากนั้นพอเกิดความเคยชินจึงได้พบว่าหลังจากที่แอบอู้บ่อยๆ ก็ทำให้ไม่อยากที่จะพยายามอีกแล้ว ส่วนเรื่องหลังจากนั้นก็อย่างที่คุณรู้นั่นแหละ 。”
เฉินเฟิงถึงกับรู้สึกขำกับเหตุผลนี้ พร้อมกับพูดต่อ: “คุณก็แค่หาเหตุผลที่จะอู้งานนั่นแหละ”
ทั้งสองพูดไปหัวเราะไป แต่นึกได้ว่าวันนี้ยังต้องฝังเข็มให้กับนายท่านเชียนขึ้นมาเสียก่อน
ทางด้านเฉินเฟิงยังคงรับหน้าที่เดิมที่เคยทำ โดยการช่วยพยุงตัวนายท่านเชียนขึ้นมา จากนั้นจึงให้เฟิ่งซีเป็นคนฝังเข็ม
ซึ่งเมื่อเทียบกับความรวดเร็วและความชำนาญของหลงหลินแล้ว เฟิ่งซีนั้นมีความเชื่องช้ากว่ามาก จากเดิมทีที่หลงหลินใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงก็เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อตกมาเป็นหน้าที่ของเฟิ่งซีเธอที่เพิ่งฝังเข็มไปได้เพียงครึ่งเดียว บริเวณหน้าผากของเธอก็มีเหงื่อไหลออกมาอย่างต่อเนื่องแล้ว พร้อมทั้งสีหน้าก็ดูเจ็บปวด
เฉินเฟิงที่เห็นอย่างนั้นจึงรู้สึกเป็นห่วง และทำได้เพียงกล่าวถามด้วยเสียงเบาๆ : “คุณยังไหวหรือเปล่า?”
เฟิ่งซีไม่พูดอะไร เพียงแต่หาจุดฝังเข็มอย่างเงียบๆ เท่านั้น
ทางด้านเฉินเฟิงที่เห็นอย่างนั้นจึงเอื้อมมือไปดึงกระดาษทิชชู่ที่อยู่ข้างๆมา แล้วยื่นมือขึ้นไปช่วยเช็ดเหงื่อที่อาบโชกบนใบหน้าของเฟิ่งซี
แต่หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว เฟิ่งซียังคงมีบางจุดที่ยังไม่ได้ลงมือ จนด้านนอกประตูมีเสียงฝีเท้าเดินไปมาดังทะลุเข้ามา ตอนนี้พวกเขาคงจะรู้สึกว่าครั้งนี้ต่างไปจากเดิมเพราะว่าเกิดเรื่องผิดปกติอะไรหรือเปล่า อย่างไรเสียคนที่นอนอยู่บนเตียงนี้ก็เป็นนายท่านของพวกเขา
เฉินเฟิงมองไปยังเฟิ่งซีก็รู้ได้ทันทีว่าเธอเองก็มีความรำคาญใจเช่นกัน ถึงแม้เขาจะคอยช่วยเช็ดเหงื่อให้เธออยู่ตลอด แต่เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว การสูญเสียน้ำไปแบบนี้ทำให้เฉินเฟิงกลัวว่าเฟิ่งซีจะเป็นลมลงไปตรงนี้ พร้อมกับรู้สึกปวดใจกับการกระทำนี้ของเธออย่างมาก
แต่เฉินเฟิงก็รู้ดีว่าไม่สามารถให้เธอหยุดในเวลาแบบนี้ได้ เพราะในช่วงเวลาสำคัญของการฝังเข็มแบบนี้ เข็มเพียงไม่กี่เข็มนั้นล้วนมีความสัมพันธ์กับความพยายามก่อนหน้านี้ว่าจะสูญเปล่าหรือไม่ และถ้าหากเกิดความล้มเหลวในครั้งนี้ เฉินเฟิงกลัวว่าเฟิ่งซีคงจะไม่ได้แค่หมดสติไปเพราะขาดน้ำอย่างเดียว แต่กำลังใจของเธอจะหมดไปพร้อมกับจิตใจที่อ่อนล้าด้วย
ในใจของเขาอยากที่จะไปไล่คนที่อยู่ด้านนอกให้ไปไกลๆ ไม่ให้พวกเขารบกวนเฟิ่งซีอีก แต่เขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกมาเพราะกลัวจะไปทำลายสมาธิของเฟิ่งซี
ซึ่งในตอนที่เฉินเฟิงกำลังกังวลใจ เฟิ่งซีก็เรียกเขาด้วยเสียงที่สั่นเทา : “เฉินเฟิง!”
เฉินเฟิงรีบตอบกลับโดยทันที: “ผมอยู่นี่!”
“ฉันอาจจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้ฝึกฝนการรักษาอาการป่วยหนักแบบนี้ ทักษะของฉันสนิมเกรอะหมดแล้ว ”
เฉินเฟิงรีบตอบกลับอย่างร้อนรน: “งั้นจะทำยังไงดี ถ้าหากเป็นไปได้ ให้ผมเป็นคนจัดการไม่กี่เข็มสุดท้ายนี้ก็ได้”
แต่เฟิ่งซีกลับส่ายหน้า: “คุณไม่เข้าใจวิธีการ ทั้งน้ำหนักมือ จุดฝังเข็ม คุณไม่มีทางสัมผัสมันได้แน่นอน และหากฝังเข็มมั่วซั่วไปก็จะยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเท่านั้น ”
เฉินเฟิงจ้องมองเฟิ่งซี ในเมื่อเธอพูดแบบนี้แสดงว่าเธอจะต้องมีวิธีการอยู่แล้ว
จากนั้นเฟิ่งซีจึงพูดอีกครั้ง: “คุณลองคิดหาวิธีให้ฉันมีสติมากกว่านี้หน่อย ฉันจะได้ฝังเข็มสามเข็มสุดท้ายนี้ลงไปเสียที ”
ถึงแม้เธอจะพูดแบบนี้ แต่ตอนนี้เฉินเฟิงกลับไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อให้เธอได้สติกลับมา จะให้ตบหน้าเธอสักทีหรือสาดน้ำสักถังใส่เธอดีล่ะ แต่ดูเหมือนว่าจะทำแบบนี้ไม่ได้