ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 896
อะซานถูกจ้องมองด้วยสายตาเช่นนี้ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ แต่ว่าเมื่อเห็นแขนขาของเฉินเฟิงถูกมัดเอาไว้แล้ว ในใจเขาก็แอบด่าตัวเอง
จากนั้นก็ดึงเอาแส้ที่อยู่ด้านข้างออกมา แล้วฟาดใส่ร่างของเฉินเฟิงอย่างไม่หยุดยั้ง ส่วนชายชราดูเหมือนกำลังดื่มด่ำชื่นชมกับฉากนี้มาก เขาก็นั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง คอยชมดูท่าทางที่เจ็บปวดของเฉินเฟิงด้วยความสะใจ
จนกระทั่งเฉินเฟิงสลบไปเพราะร่างกายที่อ่อนแอทนรับต่อไปไม่ไหว อะซานจึงได้หยุดลง
“วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน อย่าให้เขาตายไปก่อนล่ะ” ชายชราพูดจบก็หันหลังเดินจากไป
อะซานเดินอยู่ข้างหลังก็พยักหน้าตอบรับ
ส่วนหลงหลินที่อยู่ด้านบนนั้นในที่สุดก็ค่อยๆตื่นขึ้นมาแล้ว เธอมองเห็นเฟิ่งซีอยู่ตรงหน้าเธอ ดูเหมือนกำลังย้อนนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้าที่ตัวเองจะสลบไป
คืนนั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมากะทันหัน ก็นอนไม่หลับอีกแล้ว จึงเดินไปที่ห้องหนังสือเพื่อฆ่าเวลา นึกไม่ถึงว่าระหว่างทางถูกคนวางยาสลบ เรื่องราวจากนั้นเธอก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
แต่ว่าตอนนี้เห็นตัวเองนอนอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคยเลย ข้างกายยังเป็นน้องสาวของตัวเองอีกด้วย จึงทำให้เธอยิ่งเป็นกังวล จึงถามว่า “พวกเราตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอ?”
เฟิ่งซีเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตามที่ตัวเองได้เห็นมาให้ฟังทั้งหมด เมื่อได้ยินเรื่องราวที่เฉินเฟิงฆ่าคนตายแล้ว หลงหลินก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่นตกใจ
แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นเฉินเฟิงแล้ว เธอก็ถามอีกว่า “แล้วเฉินเฟิงล่ะ?”
เฟิ่งซีส่ายหน้า “พวกเขาไม่ยอมบอกฉัน แต่แน่นอนที่ต้องถูกพวกเขาจับตัวไปแล้ว”
เฟิ่งซีนึกถึงคนพวกนั้นที่ตัวเองเห็นก่อนที่จะสลบไป พวกนั้นหลายคนรุมล้อมกระทืบเฉินเฟิงอย่างไม่หยุดยั้ง แต่แทบจะไม่ได้ยินเสียงร้องของเฉินเฟิงเลย
หลงหลินก็ลุกขึ้นนั่งแล้วพูดว่า “พาฉันไปหาคุณท่านเฉียนคนนั้นหน่อยสิ”
เมื่อออกจากประตูห้องไป พี่น้องสองสาวก็เดินตรงไปยังห้องอาหาร แต่ว่าตอนนี้มีเพียงแค่ไอ้หนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ปากประตูทางเข้า
ดูไปแล้วอายุของเขาก็ประมาณไม่เกิน20ปี นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่นั่นอย่างเงียบสงบ เมื่อได้ยินมีคนเดินเข้ามา เขาจึงเงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มให้กับสองสาวพี่น้องแล้วพูดว่า “พี่สาวทั้งสองทำไมไม่นอนพักต่ออีกหน่อยล่ะ”
แสดงออกถึงรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นออกมา แต่ผลที่ได้รับกลับเป็นสายตาที่เยือกเย็นของหลงหลิน
“คุณท่านเฉียนล่ะ?” หลงหลินถามด้วยความเย็นชา
ชายหนุ่มตอบว่า “ดูเหมือนว่าคุณปู่เฉียนจะออกไปข้างนอกแล้ว พวกคุณหาเขามีเรื่องอะไรเหรอ? ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร พูดกับฉันก็ได้นะ ฉันสามารถช่วยแก้ปัญหาให้พวกคุณได้นะ”
ชายหนุ่มคนนี้ดูไปแล้วท่าทางมีน้ำใจดี เขาน่าจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
หลงหลินจึงไม่อยากเสียเวลากับเขามากนัก ได้แต่พูดด้วยเสียงเยือกเย็นเหมือนเดิมว่า “รอให้คุณท่านเฉียนกลับมาแล้วช่วยบอกพวกเราด้วย”
ดูเหมือนว่าตัวเองต้องมาอยู่ในที่นี้อย่างกะทันหัน แล้วก็ไม่สามารถช่วยเฉินเฟิงออกมาได้ ทั้งสองคนจึงได้แต่กลับไปรอที่ห้องต่อไป
ชายหนุ่มคนนั้นวางหนังสือลงทันทีแล้ววิ่งตามไป มาถึงตรงหน้าของพี่น้องสองสาวตระกูลฉาง
หลงหลินมองเขาด้วยท่าทีรังเกียจ ถามว่า “แล้วคุณจะทำอะไรอีกล่ะ?”
ชายหนุ่มคนนั้นกลับไม่แสดงท่าทีเบื่อหน่ายเลย ยังคงยิ้มให้เหมือนเดิมแล้วพูดว่า “ฉันอยากจะถามพวกคุณทั้งสองว่าหิวแล้วหรือยัง พวกคุณสลบมานานขนาดนั้นแล้ว”
ในเวลานี้เอง ท้องของเฟิ่งซีก็ร้องเสียงจ๊อกๆออกมาอย่างไม่รู้จักเวล่ำเวลา เธอหิวมานานแล้ว แต่ว่าไม่กล้าไปกินอาหารที่นี่ และไม่กล้าที่จะไปขอจากพวกเขาด้วย
หลงหลินมองเขาแล้วพูดว่า “ถ้าคุณมีของกินละก็ ช่วยส่งมาให้พวกเราที่ห้องหน่อยสิ”
อย่างน้อยก็เป็นการขอร้อง ท่าทีของหลงหลินก็อ่อนโยนลงบ้างเล็กน้อย
ชายหนุ่มยิ้มตอบตกลง
พวกเธอนั่งรออยู่ที่ห้องไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู รู้ว่าเป็นชายหนุ่มคนนั้นส่งอาหารมาให้ เฟิ่งซีจึงเปิดประตูให้คนนั้น
ชายหนุ่มก็ยกข้าวกล่องสองกล่องมาจริงๆ เขากำลังคิดจะยกเข้ามาในห้อง แต่กลับถูกเฟิ่งซีแย้งเอาไปมาก่อน จากนั้นก็ปิดประตูห้องใส่หน้าเขา
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร มองดูประตูห้องที่ปิดใส่หน้า แล้วเดินกลับไปห้องอาหารอ่านหนังสือของตัวเองต่อไป
เมื่อถึงเวลาใกล้ภพค่ำแล้ว พี่น้องสองสาวตระกูลฉางก็เดินออกมาถามอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเขาไม่อยู่
เดิมทีคิดว่าตัวเองจะไปเดินตามหาร่องรอยของเฉินเฟิงภายในคฤหาสน์หลังนี้ แต่ที่นี่มันกว้างขวางใหญ่โตมากจริงๆ นอกจากอาคารทางด้านนี้แล้ว บริเวณด้านซ้ายขวาของสวนดอกไม้ก็ยังมีอีก ถ้าหากเดินหาทีละห้องละก็ คาดว่าคงต้องเสียเวลาไปทั้งวันเลย
หลงหลินจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดเช่นนี้ แล้วรอคอยการกลับมาของชายชราต่อไป
จนกระทั่งถึงวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มคนนั้นก็ยกข้าวกล่องมาเคาะประตูห้องของพี่น้องสองสาวตระกูลฉางอีกครั้งหนึ่ง
เฟิ่งซีเปิดประตูให้เขา เดิมทีคิดจะปิดประตูใส่เขาเหมือนเดิม แต่ได้ยินของหลงหลินพูดว่า “เชิญคุณผู้ชายท่านนี้เข้ามา ฉันมีเรื่องอยากจะถามเขาหน่อย”
ถึงแม้ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาเป็นมิตร ท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ไม่มีพิษมีภัย แต่เฟิ่งซีกลับรู้สึกขัดหูขัดตา แต่ว่าในเมื่อหลงหลินพูดเช่นนี้แล้ว เธอจึงได้แต่ปล่อยให้เขาเข้ามา
เพราะว่าอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่แปลกตาเช่นนี้ พี่น้องสองสาวตระกูลฉางก็ย่อมไม่สามารถที่จะแต่งตัวให้ดูดีได้ ถึงแม้จะอยู่ในสภาพหน้าสดที่ไม่ได้แต่งอะไรเลย แต่ดูไปแล้วก็สะอาดสะอ้านสวยงามดี
หลงหลินนั่งอยู่บนขอบเตียง แล้วให้ชายหนุ่มนั่งเก้าอี้ที่อยู่ในห้อง รอให้เขานั่งลงแล้ว หลงหลินก็ถามว่า “คุณท่านเฉียนจะกลับมาเมื่อไรกันแน่?”
ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “อันนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ก่อนออกไปคุณปู่เฉียนไม่ได้บอกเอาไว้ แต่ว่าก็น่าจะจวนกลับแล้วล่ะ? เขายังพูดว่าจะมาคุยกับพวกคุณทั้งสองคนเลยนะ”
ในเมื่อยังไม่กลับมา หลงหลินก็ไม่อยากจะตอแยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แล้วถามต่อไปว่า “ฉันยังไม่รู้ว่าคุณเป็นใครในบ้านหลังนี้เลย”
ชายหนุ่มยิ้มแล้วตอบว่า “ก็ไม่ใช่คนสำคัญอะไรหรอก เพียงแต่เป็นเพื่อนที่ได้รับรับเชิญมาเป็นแขกเท่านั้นเอง”
หลงหลินไม่เชื่อ ถามอย่างสงสัยว่า “เป็นแค่เพื่อนก็สามารถตัดสินใจอะไรได้เลยเหรอ นี่ดูเหมือนว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ล่ะมั้ง?”
ชายหนุ่มก็ยิ้มอีก “ดูเหมือนว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก แต่คุณปู่เฉียนก่อนออกไปบอกให้ฉันคอยต้อนรับพวกคุณทั้งสองให้ดี ดังนั้นในที่นี้คำพูดของฉันก็น่าจะใช้ได้ดีอยู่นะ”
“แต่ว่าคุณยังไม่ได้บอกพวกเราเลยว่าคุณเป็นใคร?” หลงหลินพูด
“ขออภัย ยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย ฉันแซ่ไป๋ ชื่อตัวเดียวคือซู บังอาจขอถามชื่อเสียงเรียงนามของคุณทั้งสองด้วย”
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือสายตาที่เย็นชาของหลงหลิน “อันนี้คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”
ถึงแม้จะถูกตอบโต้เช่นนี้ก็ตาม แต่ไป๋ซูคนนี้ก็ยังไม่โกรธเคืองเช่นเดิม ได้แต่ยืนมองดูเธอทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
หลงหลินถามต่อไปอีกว่า “ที่นี่ได้กักขังคนที่พิเศษอะไรไว้บ้างหรือเปล่า?”
หลงหลินก็รู้ว่าคำถามนี้ไม่ได้คำตอบอะไรอย่างแน่นอน แต่ก็ยังอยากจะลองถามดูเผื่อว่าจะได้เบาะแสอะไรบ้าง
ก็เป็นอย่างที่เธอคิดเช่นนั้น ไป๋ซูก็ส่ายหน้า
“ฉันอยู่ที่ได้ประมาณอาทิตย์กว่าแล้ว นอกจากพวกคุณทั้งสองเข้ามาแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีกเลย”
หลงหลินไม่ได้คำตอบสำหรับสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ จึงแสดงท่าทีเยือกเย็นอีกครั้งหนึ่ง แล้วพูดว่า “คุณออกไปได้ล่ะ พวกเราจะกินข้าว”
กิริยาท่าทางของหลงหลินที่ตอบโต้เช่นนี้ หากเป็นคนที่ใจร้อนแล้วละก็ ย่อมจะต้องแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาทั้งนั้น แต่ว่าไป๋ซูกลับมีท่าทีที่ไม่ทุกข์ไม่ร้อนเช่นเดิม
หลงหลินให้เขาออกไป เขาก็ลุกขึ้นมากล่าวคำลา จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
แม้แต่เฟิ่งซีที่เห็นแล้วยังรู้สึกว่าเป็นการแสดงท่าทีที่เยือกเย็นเกินไปแล้ว รอให้ไป๋ซูจากไปแล้ว เฟิ่งซีจึงพูดขึ้นว่า “พี่ เจ้าหมอนี่ดูไปแล้วท่าทางก็ไม่เลวเหมือนกันนะ