ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 898
ไป๋ซูยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ละก็ งั้นก็จำเป็นจะต้องหาสิ่งที่สามารถทดแทนคนที่ชื่อเฉินเฟิงให้ได้ หรือไม่ก็ต้องมีอีกฝ่ายยินยอมที่ชดใช้ด้วยเงินตอบแทนจำนวนหนึ่ง”
ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย เฉินเฟิงก็มีแค่คนเดียว ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีทางที่จะปล่อยวางกันได้เลย แล้วจะได้ผลลัพธ์ที่พอใจกันทั้งสองฝ่ายได้อย่างไรกัน
ผลลัพธ์ที่ไป๋ซูได้รับคือสายตาที่เหยียดหยามของหลงหลิน แต่ดูเหมือนเขากลับไม่แยแสอะไรเลย พูดต่อไปอีกว่า “ถ้าเผื่อว่าฉันจะยื่นเสนอเงินก้อนหนึ่งให้กับคุณปู่เฉียน เพื่อจะซื้อชีวิตของผู้ชายคนนี้ล่ะ”
ชายชรามองไปยังไป๋ซูด้วยสีหน้าหวั่นไหว ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “เจ้าหนุ่มไป๋ แกรู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรออกมา?”
ไป๋ซูก็พยักหน้าอย่างเรียบๆแล้วพูดว่า “ฉันก็ย่อมต้องรู้ตัวดี มันก็แค่ราคาค่างวดของชีวิตคนคนหนึ่งเท่านั้นเอง ฉันคิดว่าขอเพียงแค่คุณปู่เฉียนยอมขายละก็ ฉันก็จะเสนอให้ในราคาที่เหมาะสมอย่างแน่นอน”
คำพูดของไป๋ซูฟังดูแล้วช่างโอหังเหลือเกิน แม้แต่หลงหลินก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่
“เจ้าหนุ่มไป๋ คุณปู่เฉียนคิดว่าตัวเองดีต่อแกก็ไม่ใช่น้อยเลยนะ แต่ทำไมแกถึงทำกับปู่ได้ขนาดนี้” ชายชราพูดตำหนิ
แต่ว่าไป๋ซูกลับพูดอย่างไม่แยแสว่า “งั้นก็คงเพราะว่าฉันแช่ไป๋ล่ะมั้ง! ฉันคิดอยากจะทำอะไรก็ต้องได้ทำอย่างนั้น ไม่มีใครสามารถห้ามฉันได้ รวมทั้งคุณปู่เฉียนด้วย”
ชายชราโกรธเคืองมาก มองไปยังไป๋ซู แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
ที่ไป๋ซูพูดมาก็ไม่ผิด เพียงเพราะว่าเขาแซ่ไป๋ เขาจึงไม่ต้องเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
มองดูท่าทางที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กันทั้งสองฝ่ายแล้ว หลงหลินก็รู้ตัวว่าไม่ควรจะพูดอะไรออกไปอีก ส่วนไป๋ซูนั้นถ้ายอมช่วยเหลือเธอในการช่วยให้เฉินเฟิงออกมาได้ เธอก็ย่อมรู้สึกซาบซึ้งอย่างหาที่สุดไม่ได้
ดูไปแล้วชายชรารู้สึกไม่ใส่ใจเท่าไรนัก สถานการณ์ที่หักมุมเช่นนี้ ทำให้เขาไม่สามารถที่จะปรับตัวรับมือได้
ไป๋ซูกลับยิ้มแล้วพูดว่า “คุณปู่เฉียนค่อยๆคิดไตร่ตรองไปก่อนก็ได้นะ ฉันคิดว่าพี่สาวทั้งสองก็น่าจะไม่รีบเร่งนักหรอก”
เขามองดูยังพี่น้องสองสาวตระกูลฉาง แล้วพูดต่อไปอีกว่า “แต่ให้ดีก็หวังว่ารีบตัดสินใจให้ชัดเจนจะดีกว่านะ สำหรับเงื่อนไขที่จะเสนอออกมาอย่างไรนั้น ฉันคิดว่าในใจของคุณปู่เฉียนก็น่าจะคิดคำนวณออกมาได้แล้วล่ะ”
ไป๋ซูลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปยังสองสาวพี่น้อง “พวกเรากลับไปก่อนดีกว่า ให้เวลาคุณปู่เฉียนคิดตัดสินใจหน่อยนะ”
คำพูดของเขานี้เป็นการพูดกับสองสาวพี่น้อง หลงหลินคิดดูแล้ว ก็จูงมือเฟิ่งซีเดินตามหลังไป๋ซูออกไป
หลังจากเดินพ้นจากประตูมาแล้ว หลงหลินถามอย่างสงสัยว่า “ไป๋ซู ตระกูลไป๋? เป็นตระกูลไป๋แบบไหนกันแน่ ถึงกับอาศัยคำพูดเพียงคำเดียวแค่นี้ก็ทำให้อีกฝ่ายยอมปล่อยตัวคนได้แล้ว”
ไป๋ซูหัวเราะแล้วพูดว่า “เป็นเพียงตระกูลที่ไม่ค่อยได้เรื่องตระกูลหนึ่งเท่านั้นเอง ตอนนี้ในวงการการต่อสู้ทั่วไปก็แทบจะไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อนเลย”
“คุณไม่อยากจะพูด ก็ช่างมันเถอะ” หลงหลินก็คิดเสียว่าคำพูดของเขาเป็นเพียงคำแก้ตัวเท่านั้นเอง ถ้าหากอาศัยคำพูดนี้เพียงคำเดียวก็สามารถกดดันชายชราในห้องนี้ได้แล้วละก็ ตระกูลไป๋นี้คงไม่ใช่กระจอกอย่างที่ไป๋ซูพูดอย่างแน่นอน
“ถ้าคุณคิดเช่นนี้ละก็ งั้นแล้วแต่จะคิดก็แล้วกัน ฉันก็คงไม่มีอะไรที่จะพูดมากอีกแล้ว” ไป๋ซูก็ยังไม่ยอมเปิดเผยออกมาเหมือนเดิม
หลังจากที่ไป๋ซูพาพี่น้องสองสาวตระกูลฉางกลับไปส่งที่ห้องของพวกเธอแล้ว ตัวเขาเองก็เดินเข้าไปในห้องโถงตามลำพัง
ตอนนี้ภายในนั้นไม่มีใครสักคนเลย เขาเดินเข้าไปตรงกลางห้องโถง ยืนอยู่ตามลำพังสักพักใหญ่ ก็มีคนเดินเข้ามาหาเขา
ถ้าหากชายชราคนนั้นอยู่ที่นี่ด้วยละก็ จะต้องรู้สึกเซอร์ไพรส์อย่างแน่นอนที่เห็นว่าอะซานทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้
อะซานเดินมาถึงข้างกายไป๋ซู แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “ผู้ชายที่ชื่อเฉินเฟิงคนนั้นตอนนี้ก็อยู่ในห้องใต้ดินแล้ว”
ไป๋ซูพยักหน้า “พาฉันไปสิ”
อะซานตอบรับว่า “ได้ครับ”
ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวของตระกูลเฉียนก็ตาม แต่กุญแจในคุกห้องใต้ดินทั้งหมดล้วนอยู่ในการดูแลของอะซานทั้งนั้น เมื่อพาไป๋ซูเดินลงไปตามทางข้างล่าง ก็จึงไม่พบเห็นมีอะไรกีดขวางเลย
ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงคุกใต้ดินที่มืดมิดห้องนั้นที่เฉินเฟิงถูกกักขังอยู่
อะซานเปิดประตูให้กับไป๋ซู เฉินเฟิงที่อยู่ในห้องนั้นก็ยังคงอยู่ในสภาพที่สลบไสล
อะซานถามว่า “ต้องการปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาไหม?”
ไป๋ซูก็ยังไม่ได้ตอบ เดินมาตรงหน้าเฉินเฟิง แล้วสำรวจดูเฉินเฟิงอย่างละเอียดถี่ถ้วน
สภาพของเฉินเฟิงตอนนี้ดูย่ำแย่มาก หายใจรวยริน ราวกับว่าจะขาดใจตายได้ทุกเวลา
แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจมากก็คือ ต่อให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้แล้ว ตอนนี้เฉินเฟิงยังไม่ตายเลย
ไป๋ซูถามว่า “เกิดเรื่องอะไรกับเขากันแน่?”
ดังนั้นอะซานจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเฉินเฟิงกับตระกูลเฉียนอย่างละเอียดให้ฟังทั้งหมด
หลังจากฟังจบแล้ว ไป๋ซูก็หัวเราะขึ้นมา “นึกไม่ถึงเลยว่าไอ้หมอนี่จะดุดันถึงขนาดนี้เชียว แม้แต่คุณชายเจ๋ก็ยังกล้าสังหารเลย รู้ไหมว่าที่มาที่ไปของเขามาจากไหนกัน?”
อะซานตอบว่า “ตรวจสอบมาแล้วรู้ว่า ไอ้หมอนี่มาจากทางซูหนาน ได้ข่าวว่าน่าจะมาจากตระกูลใหญ่ทางแถบซูหนานตระกูลหนึ่ง”
“ตระกูลใหญ่เหรอ?”
“มันย่อมไม่มีทางที่จะเทียบกับคุณชายไป๋ได้อยู่แล้ว ได้ยินมาว่าตระกูลนั้นเพราะว่าไอ้หมอนี่ ตอนนี้ก็เกือบจะล้มละลายเต็มทีแล้ว”
ไป๋ซูพูดว่า “ช่างเถอะ ทำให้เขาฟื้นขึ้นมาก่อน ฉันอยากจะถามอะไรเขาหน่อย”
ถังน้ำที่อยู่ด้านข้างก็ยังคงมีน้ำเต็มอยู่ อะซานหิ้วมันขึ้นมาแล้วทำให้เฉินเฟิงตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เฉินเฟิงมองเห็นไอ้คนที่อยู่ตรงหน้าที่ไม่เหมือนเดิมคนหนึ่ง ถามด้วยความสงสัยว่า “แกเป็นใครอีกล่ะ?”
ไป๋ซูพูดว่า “อันนี้แกไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ถ้าแกอยากมีชีวิตอยู่ต่อละก็ ตอบคำถามของฉันมาดีๆก็แล้วกัน”
เฉินเฟิงก็ย่อมไม่พอใจที่ถูกไอ้หมอนี่มาบังคับด้วยท่าทีเหิมเกริมเช่นนี้ ได้แต่หลับตาลงเพื่อฟื้นฟูภายในจิตใจอารมณ์ของตัวเอง
เขารู้ดีว่าตัวเองตกอยู่ในน้ำมือของคนพวกนี้แล้ว มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้แต่ว่าเฉินเฟิงไม่กลัวตาย ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นห่วงอีกแล้ว แต่ก็ยังเป็นกังวลสถานการณ์ของพี่น้องสองสาวตระกูลฉางในตอนนี้
ไป๋ซูก็ไม่สนใจท่าทีของเฉินเฟิง ถามต่อไปอีกว่า “เฟิ่งซีและหลงหลินแกน่าจะรู้จักใช่มั๊ย?”
เมื่อได้ยินชื่อของพี่น้องสองสาวแล้ว เฉินเฟิงก็ลืมตาขึ้นมา “พวกเธออยู่ในกำมือแกเหรอ?”
ไป๋ซูมองดูท่าทีที่ตื่นเต้นของเฉินเฟิง หัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “สองคนนั้นก็เป็นห่วงแก ส่วนแกก็เป็นห่วงพวกเธอขนาดนี้ ดูแล้วมันช่างซาบซึ้งใจยิ่งนัก แต่เสียดายที่ว่า แกเป็นเพียงแค่เศษสวะเท่านั้น” สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้นมาทันที มองไปยังเฉินเฟิงอย่างไม่สบอารมณ์
“บอกฉันมา พวกเธอเป็นยังไงบ้างแล้ว?” เฉินเฟิงตะโกนถามไป๋ซู
ไป๋ซูก็กลับสู่ท่าทางที่เรียบง่ายเช่นเดิม แล้วพูดอย่างเรียบๆว่า “มีแต่ฉันเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายถามคำถามแก แกกับพี่น้องสองสาวนั้นมีความสัมพันธ์อะไรกัน ถ้าแกยังอยากเห็นหน้าพวกเธออีกละก็ ตอบฉันมาตรงๆ”
เฉินเฟิงก็รู้สึกเป็นห่วงหลงหลินสองคนนั้นจริงๆ แต่ไป๋ซูกลับเอาพวกเธอทั้งสองคนมาข่มขู่ตัวเอง จนเขาแทบจะไม่มีทางเลือกแล้ว
“เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์แบบเพื่อนเท่านั้นเอง แกรีบปล่อยพวกเธอไปเถอะ” เฉินเฟิงตอบอย่างจนปัญญา
ไป๋ซูหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง “ดีมาก ขอให้แกตอบคำถามฉันด้วยความจริงใจ ฉันรับประกันว่าจะช่วยแกออกไปให้ได้”
ไป๋ซูฉีกเสื้อที่ขาดรุ่งริ่งของเฉินเฟิงออกไป บาดแผลตามตัวก็เผยออกมาให้เห็น รอยแผลที่เกิดจากการฟาดของแส้นั้นเริ่มอักเสบมีเลือดปนน้ำเหลืองซึมออกมา ดูแล้วเป็นที่น่าสยดสยอง
“บาดแผลรู้สึกไม่เบาเลยนะ” แต่ว่าเขาพูดพลางมืออีกข้างหนึ่งก็กดลงไปบนบาดแผลที่ใหญ่ที่สุดตรงบริเวณหน้าอก