ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 900
เฟิ่งซีรีบถามว่า “งั้นคุณต้องการอะไรกันแน่ จึงจะยอมช่วยพวกเราพาเฉินเฟิงกลับมาได้”
ในใจของหลงหลินกลับนึกถึงเรื่องที่น่าจะเป็นไปได้แล้ว แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดออกมา
ไป๋ซูยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครั้งแรกที่ได้พบเห็นพวกคุณทั้งสอง ทำให้รู้สึกตกตะลึงกับความงามของพวกคุณทั้งสอง ในใจคิดอยากจะใกล้ชิดพวกคุณทั้งสองขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
แต่ก็ไม่รู้เป็นเพราะอะไร พวกคุณทั้งสองดูเหมือนจะมีอคติกับฉันอยากมากเลย มักจะแสดงท่าทางที่เย็นชา ทำให้ฉันรู้สึกปวดใจ ฉันรู้ตัวว่าตัวเองก็เป็นคนที่ไม่เลวคนหนึ่ง แต่กลับไม่มีทางที่จะเป็นเพื่อนกับพวกคุณทั้งสองได้เลยแม้แต่นิดเดียว”
หลงหลินก็ได้แต่มองดูไป๋ซูด้วยความเย็นชา ส่วนเฟิ่งซีกลับรู้สึกละอายใจกับท่าทางของตัวเองที่แสดงต่อเขา
ไป๋ซูก็พูดต่อไปอีกว่า “ฉันยินดีที่จะช่วยเหลือพวกคุณทั้งสอง คุณก็อาจจะคิดว่าในใจฉันอยากจะมาใกล้ชิดพวกคุณ แต่แท้จริงแล้วข้อเรียกร้องของฉันมันง่ายนิดเดียว เพียงแค่ให้พวกคุณทั้งสองปฏิบัติต่อฉันเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่งก็พอแล้ว”
เมื่อไป๋ซูพูดจบ หลงหลินกลับอึ้งไปเลย เดิมทีเธอคิดว่าไป๋ซูจะเสนอความต้องการที่มากเกินกว่าเหตุ หนำซ้ำยังต้องการให้เธอทั้งสองยอมจำนนต่อไป๋ซูในเวลาเดียวกันด้วย
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นข้อเรียกร้องที่ง่ายดายเช่นนี้
เฟิ่งซีอ้าปากค้างด้วยความมึนงง ดูเหมือนจะรู้สึกเสียใจที่ทำไม่ดีกับเขาไว้ในสองวันที่ผ่านมานี้
ไป๋ซูมองดูท่าทีของพี่น้องสองสาวแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “งั้นฉันก็ไม่รบกวนพวกคุณทั้งสองพักผ่อนแล้วนะ ถ้าพวกคุณทั้งสองยอมตกลงละก็ พรุ่งนี้ค่อยให้คำตอบฉันก็ได้”
พอพูดจบก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไป ทิ้งให้พี่น้องสองสาวยืนงงเป็นไก่ตาแตก
หลังจากที่เฟิ่งซีปิดประตูห้องแล้ว เธอก็กลับมานั่งข้างกายของหลงหลิน ถามด้วยความอยากรู้ว่า
“พี่ว่าคำพูดของเขาเชื่อถือได้รึเปล่า?”
ส่วนหลงหลินก็ชักจะตัดสินใจไม่ถูกแล้ว เธอคิดว่า หรือว่าไป๋ซูยังมีแผนตลบหลังอะไรอีก รอให้พวกเธอพี่น้องสองสาวยอมอ่อนข้อก่อน แล้วค่อยบอกความต้องการที่แท้จริงของตัวเองออกมาภายหลัง
แต่ว่าตอนนี้เห็นท่าทางที่จริงใจของไป๋ซูแล้ว หลงหลินก็อดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองทำเกินไปหรือไม่
เมื่อได้ยินเฟิ่งซีถามเช่นนั้น เธอก็ได้แต่พูดอย่างไม่มั่นใจว่า “อาจจะเป็นจริงก็ได้นะ แต่ก็อาจเป็นไปได้ที่เขาแค่จงใจที่จะใกล้ชิดพวกเรา จากนั้นก็ค่อยๆเผยความในใจของเขาออกมาภายหลังก็ได้ ถ้าเป็นจริงอย่างนั้นละก็ พวกเราก็จะต้องตกลงไปในหลุมพรางของเขา แล้วไม่มีทางหลุดรอดออกไปได้เลย”
ใบหน้าของหลงหลินแสดงความกังวลออกมา แต่กลับพูดอย่างหดหู่ว่า “แต่ยังไง ตอนนี้พวกเราก็ต้องพึ่งเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น”
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น พี่น้องสองสาวต่างมีความในใจตั้งแต่เมื่อคืนจึงนอนไม่ค่อยเต็มอิ่ม แต่ว่าเมื่อมาถึงห้องอาหารแล้วกลับเห็นไป๋ซูที่สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส พร้อมด้วยคุณท่านเฉียนที่สีหน้าค่อนข้างซึมเศร้า
พี่น้องสองสาวก็เหลือบไปมองพวกเขาแวบเดียว ก็นั่งลงบนโต๊ะอาหาร จากนั้นก็มีคนนำอาหารเช้ามาเสิร์ฟให้ทันที เป็นอาหารเช้าที่เลิศหรูมาก
หลังจากรับประทานอาหารไปสักพักแล้ว ในห้องอาหารก็ไม่มีใครพูดอะไรเลย สงบเงียบจนน่าประหลาดใจ
พี่น้องสองสาวเดิมทีคิดจะรับประทานอาหารอย่างสงบเงียบแล้วกลับไปที่ห้อง แต่ทันใดนั้นไป๋ซูก็พูดขึ้นว่า“คุณปู่เฉียนครับ ไม่ทราบว่าเรื่องที่คุยกันเมื่อวาน ปู่คิดตัดสินใจดีแล้วหรือยัง?”
ชายชราใบหน้ามืดคล้ำมองไปยังไป๋ซูด้วยสายตาที่เยือกเย็น แต่ว่าไป๋ซูกลับไม่แยแสเลย ได้แต่ยิ้มรอคอยคำตอบจากชายชรา
“หรือว่าคุณปู่เฉียนคิดทั้งคืนแล้วยังหาทางออกกับปัญหานี้ไม่ได้เลยเหรอ? งั้นคงจะทำให้คนอื่นร้อนใจแย่เลย”
บรรยากาศในห้องเป็นเพราะการยุแยงของไป๋ซู ทำให้กลิ่นอายเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นมากขึ้นทันที พี่น้องสองสาวก็ไม่สามารถรับประทานอาหารได้อย่างปกติต่อไป มองไปยังไป๋ซูด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่ไป๋ซูกลับส่งยิ้มให้กับพวกเธอ พร้อมกับใบหน้าที่สดใสร่าเริงของเขา ทำให้เกิดความรู้สึกที่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ชายชราวางตะเกียบลงอย่างแรง “เพี๊ยก” เสียงดังก้องขึ้น ทำให้พี่น้องสองสาวสะดุ้งตกใจ
“เจ้าหนุ่มไป๋ แกรู้มั้ยว่าตอนนี้แกอยู่ที่ไหน?”
ไป๋ซูตอบอย่างเรียบๆว่า “คฤหาสน์ของตระกูลเฉียน แล้วมีปัญหาอะไรเหรอ? ถ้าคุณปู่เฉียนคิดว่าฉันไม่คู่ควรที่จะอยู่ที่นี่ละก็ งั้นฉันก็จะโทรศัพท์ไปที่บ้าน ให้พวกเขาจัดการที่นี่ให้เป็นของตระกูลไป๋เลย”
เมื่อไป๋ซูพูดจบ สีหน้าของชายชราก็เปลี่ยนสีจนดูน่าเกลียดยิ่งขึ้น
แม้แต่ข้าวปลาที่เหลือก็เลิกกินไปเลย รีบลุกขึ้นมาแล้วออกไปจากห้องอาหารทันที
หลังจากที่ชายชราจากไปแล้ว หลงหลินถามไป๋ซูด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณทำอย่างนี้กับเขา หรือว่าไม่กลัวเขาจะทำเรื่องที่ไม่ดีกับคุณบ้างเลยเหรอ?”
ดูเหมือนว่าเป็นเพราะหลงหลินเป็นฝ่ายที่เริ่มพูดกับไป๋ซูก่อน สีหน้าของไป๋ซูแสดงถึงความดีใจออกมา “คุณหลงหลินหมายถึงอะไร จะฆ่าฉันงั้นเหรอ? ฉันเชื่อว่าคุณปู่เฉียนคงไม่กล้าถึงเพียงนี้หรอก เขาเป็นคนที่ฉลาดมาก ต้องคิดคำนวณอย่างละเอียดรอบคอบไว้แล้ว”
หลงหลินก็ย่อมไม่เข้าใจถึงเกมการต่อสู้ระหว่างพวกเขาสองคน จึงได้แต่นิ่งเฉยไม่พูดอะไรอีก
ส่วนไป๋ซูเชิญชวนด้วยความมีน้ำใจว่า “ถ้าพวกคุณทั้งสองมีเวลาว่างละก็ ทิวทัศน์บริเวณรอบๆนี้สวยงามไม่เลวทีเดียว ฉันอาสาพาพวกคุณออกไปเที่ยวชมรอบๆได้นะ เชื่อว่าอย่างน้อยก็ช่วยผ่อนคลายความกลัดกลุ้มในใจของพวกคุณได้บ้าง”
เฟิ่งซีมองไปยังหลงหลิน ตัวเองก็ตัดสินใจไม่ถูก
หลงหลินคิดดูแล้ว ถ้าเป็นแค่เพื่อนกันแล้ว ก็แทบจะไม่ต้องหวาดระแวงกันอีกแล้ว จึงพยักหน้าตอบตกลงไป
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว พี่น้องสองสาวมองเห็นรถเบนซ์สปอร์ตเปิดประทุนที่จอดอยู่ข้างหน้า รู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูก
ส่วนไป๋ซูนั่งอยู่ในรถแล้วตะโกนเรียกเธอทั้งสอง“ที่นี่หารถที่ดีกว่านี้ไม่ได้จริงๆ คงต้องลำบากพวกคุณทั้งสองแล้ว ถึงแม้ฉันก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะว่าบางทีก็เร่งความเร็วไม่ค่อยขึ้น แต่พวกเราแค่ใช้แทนการเดินแก้ขัดไปเท่านั้นเอง คงไม่มีผลกระทบอะไรมาก”
ถึงแม้รู้มาก่อนแล้วว่าไป๋ซูเป็นคุณชายตระกูลร่ำรวยก็ตาม แต่ตอนนี้มาเห็นรถสปอร์ตหรูมาจอดอยู่ตรงหน้า แล้วยังให้พวกเธอเข้าไปนั่งอีกจึงดูเก้ๆกังๆไปบ้าง
ไป๋ซูถามด้วยความแปลกใจว่า “ทำไมเหรอ? พวกคุณทั้งสองไม่ค่อยชอบใช่มั๊ยล่ะ? หรือจะให้ฉันไปเปลี่ยนรถอีกคันมาก็ได้นะ ในโรงรถก็ยังมีเบนท์ลี่ย์สีดำอีกคันหนึ่ง
หลงหลินรีบโบกมือแล้วพูดว่า“ไม่ใช่ คุณไม่ต้องไปเปลี่ยนหรอก”
ไป๋ซูก็ส่งยิ้มให้กับพวกเธอ
หลงหลินก็รู้ว่าในใจเฟิ่งซีคิดอะไรอยู่ จึงหันไปบอกเธอว่า “ไปเถอะ ก็แค่นั่งรถไปด้วยกันครั้งเดียวเอง ก็ถือเสียว่าเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง”
เฟิ่งซีจึงเดินตามหลงหลินเข้าไปนั่งในรถเบนซ์คันนี้
เสน่ห์ของรถเปิดประทุนก็อยู่ที่ความรู้สึกที่พลิ้วไปกับสายลมเช่นนั้น มักจะทำให้คนเราเกิดจินตนาการที่อยากจะโบยบินไปสู่ท้องฟ้า ไป๋ซูขับรถเร็วมาก ภายใต้ความเร็วเช่นนั้น ใบหน้าที่ปะทะกับสายลม มันช่างเย็นสบายสดชื่น ราวกับอิสรภาพที่หลุดพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น
แสงแดดที่อบอุ่นสาดส่องลงมาบนร่างกาย มันช่างแสนอบอุ่นอะไรเช่นนั้น
สิ่งที่ดีที่สุดที่ฟ้าประทานมาให้นั่นก็คือธรรมชาติที่อยู่ที่นี่
ระหว่างทางก็วิ่งแซงรถคันอื่นไปคันแล้วคันเล่าอย่างต่อเนื่อง มักจะมีสายตาที่ชื่นชมของผู้คนไม่น้อยที่มองมา และแล้วก็ขับไปยังที่ที่ไกลแสนไกลออกไป
สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็มาจอดอยู่ตรงหน้าทะเลสาบที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ดูราวกับเป็นทะเลกว้างไกลที่ไร้ขอบเขต มองไม่เห็นสุดขอบปลายทาง
ไป๋ซูยืนพิงอยู่ข้างรถ ไขว้ขาทั้งสองไว้ พูดอย่างสบายใจว่า “ถ้าเมื่อไหร่ที่มีเรื่องอะไรว้าวุ่นใจ ฉันก็จะมาที่นี่ มองดูทะเลสาบที่กว้างใหญ่ไพศาล ก็เหมือนกับเอาความทุกข์โยนทิ้งไปกับทะเลสาบนี้ไป ในใจก็รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก”
เฟิ่งซีมองไปรอบๆด้วยความอย่างรู้ พืชน้ำขึ้นงอกงามอุดมสมบูรณ์ ฝูงนกต่างบินร่อนไปมาอย่างอิสรเสรี ทุกสิ่งทุกอย่างช่างสงบเงียบเสียจริง