ลูกเขยมังกร - บทที่ 922 ติดกับดัก
“ประตูเหล็กของที่นี่ก็นับเป็นประตูที่มีการออกแบบกลไกขึ้นมาโดยเฉพาะเช่นกัน ถ้าไม่ใช่คนสนิทชิดเชื้อของตระกูลโจว ก็จะไม่รู้วิธีเปิดเด็ดขาด” โจวฟ่างกล่าวแนะนำ
ทางด้านเฉินเฟิงเพียงแต่พยักหน้าเข้าใจโดยไม่พูดกล่าวสิ่งใด
จากนั้นก็เดินตามโจวฟ่างเข้าไปด้านใน
ภายในห้องลับนี้มีการติดตั้งหลอดไฟเอาไว้อยู่แล้ว ดังนั้นโจวฟ่างจึงสัมผัสไปยังบริเวณด้านข้างเพื่อเปิดไฟ
ที่นี่นับว่าเป็นสถานที่หลบภัยที่มีความครบครันอย่างมาก มีทั้งทีวีที่ใช้สำหรับดับคลายความอุดอู้ พร้อมทั้งอาหารและน้ำที่ถูกจัดเรียงไว้ตรงมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งมากเพียงพอสำหรับคนจำนวนนับสิบใช้ประทังชีวิตนานนับเดือนเลยทีเดียว
“คุณชายเฉิน คุณนั่งรอตรงนี้ก่อนนะครับ ผมจะเข้าหยิบของมาให้ดู” โจวฟ่างหันไปพูดกับเฉินเฟิง
เฉินเฟิงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปนั่งลงยังโซฟาตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ภายในห้อง ที่นี่ไม่ว่าอะไรก็มีหมด ชั้นวางที่อยู่ข้างๆ มีหนังสือนิยายหลายเล่มตั้งอยู่ ดูแล้วพวกเขาจะมีการคิดวิเคราะห์ที่รอบคอบมากจริงๆ
เฉินเฟิงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วเปิดอ่านไปสองหน้า แต่ทว่าไม่รู้เพราะเหตุอะไรโจวฟ่างถึงยังไม่ออกมาเสียที
“โจวฟ่าง!” เฉินเฟิงตะโกนเรียกเข้าไปด้านใน
แต่แล้วกลับไม่มีการตอบกลับใดๆ ทั้งสิ้น เฉินเฟิงเริ่มรู้สึกแปลกใจ พร้อมทั้งกังวลในตัวโจวฟ่างขึ้นมา จึงเดินเข้าไปในห้องที่เขาเพิ่งเข้าไปเมื่อสักครู่นี้ แต่ว่าภายในห้องกลับไม่เห็นร่างของโจวฟ่างอีกแล้ว
สัญญาณเตือนอันตรายในตัวของเฉินเฟิงเกิดขึ้นทันที ทันใดนั้นเองเขาก็รีบวิ่งไปยังประตูทางเข้าที่เพิ่งเข้ามาเมื่อสักครู่นี้ แต่ประตูเหล็กนั้นกำลังปิดลงด้วยความรวดเร็ว
และในตอนที่เขากำลังจะหนีออกไปนั้น เสียงล็อกของเครื่องจักรก็ดังขึ้นมา
ประตูใหญ่ถูกปิดลงอย่างสนิท เฉินเฟิงถึงกับจ้องเขม็ง จนถึงตอนนี้เขายังคงไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรโจวฟ่างถึงต้องทำแบบนี้
แต่ต่อให้จะคิดมากแค่ไหนก็ไม่มีหนทางที่จะทำให้เขาหนีออกไปจากที่นี่ได้ รอให้หาทางออกไปได้ก่อนแล้วค่อยไปถามหาเหตุผลดีกว่า
แต่ประตูเหล็กหนาทึบบานนี้กลับไม่ส่วนไหนที่ดูเหมือนจะมีรูกุญแจอะไรแบบนี้ หรือที่สำหรับเปิดปิดอยู่เลย ดูเป็นเหมือนเพียงแผ่นเหล็กที่ถูกฝังไว้กับผนังจนเรียบเข้ากันไปหมด ราวกับว่าการจะหาทางออกจากตรงนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
แต่ว่าเมื่อสักครู่โจวฟ่างก็ไม่ได้ออกไปจากทางนี้เหมือนกัน เฉินเฟิงนั่งอยู่ตรงนั้นตลอด หากว่าโจวฟ่างแอบเดินออกไปจากตรงนี้ ไม่มีทางที่เขาจะมองไม่เห็นเด็ดขาด
เฉินเฟิงที่คิดอย่างนั้นจึงเดินเข้าไปยังห้องที่โจวฟ่างหายตัวไป
เมื่อลองกวาดสายตามองไปแล้ว ที่นี่ก็เป็นเพียงห้องนอนธรรมดาที่ไร้ซึ่งหน้าต่างห้องหนึ่งก็เท่านั้น และมีเพียงเตียงสองชั้นหลายเตียงจัดวางไว้เพื่อประหยัดพื้นที่
เขาเดินเข้าไปเคาะตามกำแพงห้องอย่างไม่ลดละ ด้วยความต้องการที่จะหาตำแหน่งของประตูลับ แต่ก็ยังเป็นเช่นเคยคือไม่มีร่องรอยใดๆ เลย
เมื่อเห็นอย่างนั้นเฉินเฟิงก็หงุดหงิดขึ้นมาพร้อมกับพลิกเตียงทั้งหมดภายในห้อง ไม่เว้นแม้แต่พื้นที่สักตารางนิ้ว แต่ว่าเขาก็ยังไม่สามารถค้นเจอประตูลับนั้นเลย
หลังจากที่ค้นหาอย่างหนักแบบนี้มาเป็นเวลากว่าหลายชั่วโมง ในที่สุดเฉินเฟิงก็รู้สึกถึงเหนื่อยล้า
เขาเดินกลับไปนั่งยังโซฟาตัวเมื่อสักครู่นี้ พร้อมกับหยิบน้ำขวดหนึ่งจากมุมห้องออกมา แต่ในตอนที่เขาเปิดฝาออกมาปรากฏว่าด้านในกลับมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
ไม่มีร่องรอยของน้ำแม้แต่นิดเดียว
ด้วยความไม่อยากจะเชื่อเขาจึงพลิกกล่องสิ่งของเหล่านั้นออก และเฉินเฟิงก็ต้องทำใจยอมรับความจริงนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของปลอมทั้งนั้น แม้แต่น้ำและอาหารล้วนเป็นของปลอมทั้งหมดด้วยเช่นกัน
ในขณะที่กำลังสิ้นหวังว่าถ้าหากไม่มีคนมาพบตัวเขา ขีดจำกัดของการจะมีชีวิตต่อไปโดยตัวคนเดียวแบบนี้ก็คงมีเพียงไม่กี่วันเท่านั้น และตอนนั้นไฟที่อยู่บนเพดานก็ดับลงอย่างกะทันหัน
บริเวณโดยรอบมืดมิดไปหมด ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ทั้งสิ้น เดียวดายราวกับตัวเองได้ตกลงไปยังหุบเหวลึก
เฉินเฟิงกลับมานั่งยังโซฟาอย่างมั่นคง โดยภายในใจไม่อาจร้อนรนอีกต่อไป
ทุกอย่างคงต้องรอดูชะตาสวรรค์แล้ว
ทางฝั่งด้านนอกในเวลานี้ โจวฟ่างเดินกลับไปยังงานเลี้ยงฉลอง ซึ่งพอดีกับทุกอย่างที่กำลังเริ่มขึ้น เขากลับเข้าไปในกลุ่มคนตระกูลโจว ราวกับว่าเมื่อสักครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น จากนั้นเขาก็ฉีกยิ้มออกมา ก่อนจะเข้าไปให้การต้อนรับแก่แขก
ในขณะที่มีคนต้องการพบกับเฉินเฟิง แต่หลังจากที่ตามหาไปรอบๆ ก็ไม่พบเขาเลย
เมื่อไปถามคนจากตระกูลไป๋ กลับปรากฏว่าไม่มีใครรู้เลย และดูเหมือนว่าคนสุดท้ายที่ได้เห็นเฉินเฟิงจะเป็นโจวจื่อเอ๋อและไป๋ซู
แต่ทั้งสองคนได้เห็นเขาก็ตอนที่เขาขอตัวออกจากพวกเขาไป และพูดเพียงว่าจะไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น ส่วนหลังจากนั้นเขาไปที่ไหนแล้วนั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย
สุดท้ายไป๋ซิงได้เพียงยอมแพ้เท่านั้น โดยที่เขาไม่คิดเลยว่าเฉินเฟิงจะถูกคนอื่นกักขังตัวเอาไว้
แต่ว่าเรื่องนี้กลับไปกระตุกความสนใจของโจวจื่อเอ๋อเข้าอย่างจัง
เธอแสร้งถามไป๋ซิงอย่างเรื่อยเปื่อย: “พี่ไป๋ซิง ตอนไหนที่คุณสังเกตได้ว่าคุณชายเฉินไม่อยู่แล้วงั้นหรอคะ”
ไป๋ซิงนึกคิด ก่อนจะพูดออกมา: “น่าจะหลังจากที่แยกทางกับพวกคุณสองคนได้ไม่นาน ตอนแรกผมกะว่าจะไปชวนเขาดื่มเหล้าสักหน่อย แต่ไม่ว่าหายังไงก็ไม่เจอตัวสักที”
ไป๋ซิงได้เพียงกล่าวปลอบตัวเอง: “บางทีคงเป็นเพราะว่าคุณชายเฉินไม่ชื่นชอบเรื่องคึกคักวุ่นวายแบบนี้ ดังนั้นจึงได้กลับไปก่อนแล้วล่ะ”
แต่โจวจื่อเอ๋อกลับไม่ได้คิดอย่างนั้น ในตอนนั้นที่เธอส่งสัญญาณให้กับเฉินเฟิง เธอมั่นใจเลยว่าเฉินเฟิงจะต้องเข้าใจแน่นอน
และเฉินเฟิงก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าจะรีบกลับไปเร็วขนาดนี้
แต่โจวจื่อเอ๋อกลับไม่ได้บอกความคิดของตัวเองให้กับไป๋ซิง เธอเพียงตอบกลับเขาไปว่า : “ที่แท้คุณชายเฉินก็เป็นคนที่ไม่ชอบความคึกคักวุ่นวายแบบนี้นี่เอง ฉันมองดูเขาแล้วก็นึกว่าจะชอบเสียอีก”
ไป๋ซิงทำได้เพียงยิ้มรับเท่านั้น
เมื่อปลีกตัวออกมาจากสองพี่น้องตระกูลไป๋ โจวจื่อเอ๋อก็เกิดความหวั่นใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของเฉินเฟิงขึ้นมา
เฉินเฟิงเป็นความหวังที่เธอเพิ่งจะค้นพบ แต่ตอนนี้ความหวังนี้ของเธอเหมือนจะเกิดปัญหาขึ้นแล้ว เรื่องนี้ไม่ว่าสำหรับใครก็ล้วนไม่ใช่เรื่องน่ายินดี
เธอเดินมุ่งหน้าไปยังลานหลัง พร้อมกับวิเคราะห์ถึงสาเหตุการหายตัวไปของเฉินเฟิง
เรื่องนี้เกิดขึ้นในบ้านตระกูลโจว อย่างนั้นมีความเป็นไปได้อย่างมากที่เฉินเฟิงจะยังอยู่ในบ้านตระกูลโจว ซึ่งนี่ก็เป็นลังสังหรณ์ของตัวเธอเอง หลังจากที่เธอลองไตร่ตรองว่าในบ้านตระกูลนี้มีพื้นที่มากมายและเพียงพอที่จะใช้ซ่อนคนเอาไว้ได้
ความคิดแรกที่เธอนึกขึ้นได้คือเฉินเฟิงอาจถูกทำร้ายแน่นอน แต่เมื่อนึกได้ว่าเฉินเฟิงนั้นมีวิชาการต่อสู้ที่เก่งกาจ ความเป็นไปได้นี้ก็ดับลงไปทันที
และถ้าหากต้องการลอบทำร้ายเฉินเฟิง อย่างนั้นก็ควรที่จะมีเสียงการต่อสู้ดังขึ้น ซึ่งแบบนั้นไม่มีทางที่จะไม่ถูกคนอื่นพบเห็นเด็ดขาด
จากนั้นโจวจื่อเอ๋อจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเฉินเฟิงอาจจะถูกขังไว้ในสถานที่ที่ไม่สามารถหนีออกมา และยังเป็นการถูกหลอกจากคนตระกูลโจวให้เข้าไปอีกด้วย
และคนที่เพียงพอจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างน้อยต้องเป็นคนตระกูลโจวที่เฉินเฟิงเคยพบหน้าแล้ว อีกทั้งคนตระกูลโจวคนนี้จะต้องเป็นคนที่มีน้ำหนักความน่าเชื่อถือที่มากพออีกด้วย ไม่อย่างนั้นไม่มีทางจะทำให้เฉินเฟิงยอมตามไปด้วยตัวเองแน่นอน
หลังจากที่โจวจื่อเอ๋อตัดเอาตัวเองออกแล้ว ก็จะเหลือเพียงอีกสี่คนเท่านั้น ซึ่งก็คือสี่คนที่นั่งประชุมด้วยกันในวันนั้น
หัวหน้าครอบครัวโจวสุน คุณปู่สาม คุณลุงสี่โจวฟ่าง และลุงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องอย่างโจวหลิน
แต่ในตอนที่เฉินเฟิงหายตัวไป หัวหน้าครอบครัวและลุงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนก็อยู่ในห้องโถงใหญ่คอยต้อนรับแขกอยู่ตลอด และไม่ได้ออกไปไหนเลย
ส่วนคุณปู่สามนั้นไม่ชื่นชอบงานคึกคักวุ่นวายแบบนี้อยู่แล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ออกมาแน่นอน ส่วนคุณลุงสี่นั้น เธอคิดไปคิดมา ถึงแม้ว่าสุดท้ายเขาจะอยู่ในงานเลี้ยง แต่กลับมีช่วงเวลาหนึ่งที่เขาหายไป ซึ่งนั่นเป็นข้อสงสัยที่ไม่อาจตัดออกไปได้เลย
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น เธอก็เดินมาถึงลานหลังแล้ว
สถานที่ในตระกูลโจวที่สามารถกักขังใครคนหนึ่งได้โดยไม่ให้คนข้างนอกจับได้ ก็มีเพียงแค่ที่นี่อย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วเท่านั้น
ทว่าถึงแม้ว่าโจวจื่อเอ๋อจะรู้จักสถานที่แห่งนี้ แต่ว่าก็ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าไปด้านในนั้นเลยสักครั้ง เพราะเธอยังไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปด้านใน
เมื่อมาถึงห้องหนังสือ แล้วมองไปยังตู้หนังสือที่มีหนังสือมากมายจัดวางอยู่ เธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเริ่มลงมือค้นหาอย่างช้าๆ
ที่นี่มีระบบกลไกติดตั้งอยู่ และเธอเคยเห็นคนหายตัวเข้าไปด้านในนี้จนผ่านไปเป็นเวลานานกว่าเธอจะสังเกตเห็นห้องลับนี้ แต่เธอกลับไม่รู้ว่ากลไกของที่นี่คืออะไร
และในตอนที่เฉินเฟิงกำลังค้นหาทางออกจากด้านในห้องลับ ขณะเดียวกันโจวจื่อเอ๋อก็กำลังอยู่ตรงนี้ค้นหาวิธีการในการเข้าไปด้านในอยู่