วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ - ตอนที่ 1200 เธอไม่ต้องการครอบครัวนี้อีกแล้วเหรอ
“คุณต้องทำขนาดนี้ด้วยเหรอครับ” ใจของโม่จื่อเฉินเจ็บปวด…
“ฉันไม่อยากให้ครอบครัวของฉันสูบเลือดสูบเนื้อคุณค่ะ” เชียนหลานเอ่ยยืนกราน ก่อนจะยื่นมือขวาออกมา “ฉันจะเป็นอิสระจากครอบครัวของฉัน อวยพรให้ฉันโชคดีด้วยนะคะ”
โม่จื่อเฉินสูดหายใจลึกก่อนพยักหน้ารับในท้ายที่สุดขณะที่จับมือเชียนหลาน “ถ้าต่อไปคุณมีเรื่องลำบาก อย่าลังเลที่จะมาหาผมนะครับ”
“ฉันไม่อยากทำให้คุณลำบากค่ะ…” พูดจบ เชียนหลานเดินจากไปให้เร็วที่สุด หากเธออยู่นานไปกว่านี้เธอกลัวว่าตัวเองจะรู้สึกเสียดาย
เธอรู้ว่าโม่จื่อเฉินเป็นผู้ชายที่ดี แต่ประเด็นคือเธอยังไม่เข้าใจครอบครัวของตัวเองดีต่างหาก
หลังจากโม่จื่อเฉินมา เธอก็ทรุดตัวลงบนพื้น ร้องไห้ออกมาครู่ใหญ่ หากแต่เธอเองได้ย้ำเตือนตัวเองว่านับตั้งแต่วันนี้ เธอจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อปฏิเสธการเข้ามายุ่งเกี่ยวของคนในครอบครัวในชีวิตของเธอ เธอจะทำให้พวกเขาให้เกียรติและมีชีวิตเป็นของตัวเอง
ไม่เช่นนั้นเธอจะไม่มีวันคบหากับใครอีก
…
ทันทีที่เชียนหลานกลับมาถึงบ้าน คุณนายเชียนรีบเข้ามาถามเธอ “ลูกควรไปทานมื้อเย็นที่ไฮแอทรีเจนซีไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปล่ะ แล้วพ่อหนุ่มคนนั้นอยู่ไหน”
“วันนี้หนูจะไม่ไปและไม่มีทางไปค่ะ” เชียนหลานตอบด้วยความจริงจัง “เพราะแม่กับคนในครอบครัวที่เหลือทำให้หนูขยะแขยงไงละคะ”
“เชียนหลาน พูดอย่างนั้นได้ยังไงกัน เราแค่ต้องการให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้นเอง”
“เลิกพูดอย่างนั้นสักทีค่ะ” เชียนหลานตะคอก “แล้วโม่จื่อเฉินกับหนูก็เลิกกันแล้วด้วย สิ่งที่แม่หวังเป็นจริงแล้วไงคะ หนูจะไม่ไปเจอเขาอีก”
“เชียนหลาน…”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หนูกลับห้องก่อนแล้วกันนะคะ” ว่าจบ เชียนหลานเดินปึงปังผ่านคนในครอบครัวไป และกลับไปที่ห้องด้วยความเกรี้ยวกราด
คุณนายเชียนกับสมาชิกครอบครัวที่เหลือได้แต่ถอนหายใจ “เด็กคนนั้นไม่รู้ว่าเราคิดอะไรเพื่อเธออยู่”
“เธอไม่รู้ประสาอะไรเลย”
เชียนหลานยิ้มเยาะเมื่อได้คำพูดเหล่านี้และตัดสินใจเด็ดขาดว่าเธอจะจากบ้านหลังนี้ไป
เช้าวันถัดมา เชียนหลานไปยื่นลาออกที่โรงเรียน อย่างไรก็ตามในจังหวะที่เธอเดินออกมา โม่จื่อเฉินเดินผ่านเธอมาพร้อมหนังสือในมือ
โม่จื่อเฉินทำราวกับเธอเป็นคนแปลกหน้า เขาเดินผ่านไปโดยไม่ชะงักฝีเท้าแม้แต่น้อย
ในเมื่อพวกเขายุติความสัมพันธ์กันแล้ว มันก็ต้องทำให้จบอย่างชัดเจน ไม่มีประโยชน์จะแสดงความเจ็บปวดให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่
เชียนหลานเจ็บอยู่ในอก แต่เธอก็เข้มแข็งขึ้นมากเช่นกัน
เพื่อเป็นอิสระจากพ่อแม่ของเธอ เธอเดินหน้าสมัครเป็นทหารโดยไม่ให้พ่อแม่ตัวเองรู้ ตอนที่คุณนายเชียนรู้เข้า เชียนหลานก็ได้ผ่านบททดสอบทุกอย่างและการตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว
คุณนายเชียนอึ้งไปไม่น้อย เธอคาดไม่ถึงว่าลูกสาวตัวเองจะไม่มีเหตุผลขนาดนี้ แต่เพื่อเข้าเป็นทหาร เชียนหลานถึงกับตัดผมโดยไม่ได้ปรึกษากับครอบครัว
ก่อนจะเข้าร่วมการฝึกฝนคัดตัว เชียนหลานเก็บสัมภาระอยู่ที่บ้าน คุณนายเชียนเข้ามาในห้องของเธอพร้อมกับเชียนฮุ่ยก่อนเอ่ย “เชียนหลาน…ทำไมลูกไม่ขอให้พ่อเอาชื่อลูกออกจากกองทัพล่ะ อย่าไปเลยนะ”
“ถ้าแม่บอกให้พ่อทำอย่างนั้น หนูจะไปร้องเรียนเรื่องของพ่อค่ะ” เชียนหลานเอ่ยอย่างดื้อดึง “การเข้าร่วมกองทัพเป็นการตัดสินใจของหนู แม่ไม่มีสิทธิ์มาพูดเรื่องนี้ค่ะ”
“ผู้หญิงจะเข้าร่วมกองทัพไปทำไมกันล่ะ”
“เพราะว่าหนูไม่อยากเห็นหน้าแม่ไงคะ” เชียนหลานหัวเราะ “นอกจากการเป็นทหาร หนูไม่มีทางเลือกอื่นนี่”
“เชียนหลาน!” คุณนายเชียนเริ่มหัวเสีย “แม่แค่ทำเพื่อผลประโยชน์ของลูกเองนะ”
“เราคุยเรื่องนี้กันมานานมากแล้วนะคะ ไม่มีประโยชน์จะพูดเรื่องนี้ต่อไปหรอกค่ะ” เชียนหลานเอ่ยขณะปิดตู้เสื้อผ้า “แม่คะ หนูขอให้แม่มีสุขขภาพแข็งแรงนะคะ พี่คะ หวังว่าพี่จะมีลูกเร็วๆ นี้นะคะ”
คุณนายเชียนออกอาการหงุดหงิด ทว่าไม่อาจทำสิ่งใดได้ เชียนหลานหัวแข็งขึ้นมากและเธอไม่สามารถจัดการได้แต่อย่างใด
เชียนหลานถือกระเป๋าสัมภาระและเตรียมออกจากบ้านไป หากแต่ในจังหวะที่เธอลงมาชั้นล่างก็บังเอิญพบกับสวีฉุนเฮ่า
เธอไม่ได้ปริปากออกมาสักคำขณะไม่หยุดเท้าเดินออกประตูไป อย่างไรก็ตามสวีฉุนเฮ่าได้เรียกเธอไว้ “เธอไม่ต้องการครอบครัวนี้อีกแล้วเหรอ
“ให้พี่ไปส่งเธอนะ” ทว่าเชียนหลานโบกมือและเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมา
เธอต้องเจ็บปวดมากเพียงไหนถึงได้เด็ดเดี่ยวขนาดนี้กัน
ไม่มีใครเข้าใจว่าเธอรู้สึกอย่างไร เจ็บปวดมากเพียงไหน แต่เธอเพียงต้องการมีชีวิตเป็นของตัวเอง มันเป็นคำขอที่มากไปหรือ
ไม่ว่าตระกูลเชียนจะรั้งเธอไว้แค่ไหน เธอก็จะทำตามการตัดสินใจของเธอ เธอไม่อาจใช้ชิวิตที่เหลืออยู่ตามความคิดของคนอื่นได้
มันเป็นสิ่งเดียวที่เชียนหลานต้องการ
เธอจึงทุ่มเทตัวเองกับการฝึกฝนจนแทบปิดกั้นจากโลกภายนอก เธอต้องสร้างทั้งปณิธานที่แข็งแกร่งและความเชื่อที่แน่วแน่มากกว่านี้
…
คืนนั้นระหว่างปฏิบัติภารกิจ เพื่อนร่วมงานของโม่จื่อเฉินถามขึ้น “นายรู้หรือเปล่าว่าผู้หญิงที่นายเคยคบด้วยเข้าไปเป็นทหารแล้ว”
โม่จื่อเฉินพยักหน้า “อืม ได้ยิน”
“บ้าไปแล้ว! ฉันไม่เคยเจอคุณหนูที่เด็ดเดี่ยวขนาดนี้เลย เพียงเพื่อเป็นอิสระจากครอบครัว เธอถึงกับส่งตัวเองไปที่ที่ลำบากที่สุดในโลก!” ชายหนุ่มหัวเราะ “แล้วนาย น้องชายที่รักของฉัน น่าสงสารจังเลย ความสัมพันธ์ของนายมันสั้นซะเหลือเกิน!”
“แม้แต่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างนี้ยังทำให้นายหุบปากไม่ได้เลยสินะ!” โม่จื่อเฉินว่าเข้าให้
“แต่ว่าฉันเข้าใจได้นะว่าทำไมนายถึงสนใจในตัวเธอน่ะ มี พี่สาว คนหนึ่งที่นายโตมาด้วยกันไม่ใช่เหรอ ผ่านมาหลายปีนายก็ยังรู้สึกอะไรกับเธอด้วยซ้ำ”
“เชียนหลานแค่ดูอ่อนแอภายนอกเท่านั้นแหละ จริงๆ แล้วจิตใจเธอแข็งแกร่งมาก” โม่จื่อเฉินถอนหายใจ
“ช่างมันเถอะ ไม่ว่าเธอจะแข็งแกร่งแค่ไหน เธอก็ไม่ได้เป็นของนายอีกแล้ว ด้วยหน้าที่การงานของเรา…มีสิทธิ์อะไรไปมีแฟนกับเขากันล่ะ”
โม่จื่อเฉินนิ่งเงียบ มีเพียงเวลาที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ถังหนิงบอกให้โม่จื่อเฉินกลับบ้านมาเพื่อเข้าร่วมงานครบรอบของไห่รุ่ย
ความจริงแล้ว มันเป็นเพียงข้ออ้างที่จะเจอลูกชายของเธอเท่านั้น
โม่จื่อเฉินรู้ว่าการโผล่หน้าออกมาครู่เดียวคงเพียงพอแล้ว อย่างไรเสียการเก็บตัวเงียบเป็นสิ่งสำคัญกับความปลอดภัยของเขา เขาจึงกลับไฮแอรีเจนซีก่อนงานเริ่ม
ตอนนั้นถังหนิงกับเพื่อนของเธอได้มารวมตัวกันที่บ้าน
“จื่อเฉินมาแล้ว”
โม่จื่อเฉินเข้าไปหาผู้หญิงทั้งสามคนและทักทายพวกเธออย่างอ่อนน้อม “น้าหลง น้าหลิน แม่”
“ทำไมอยู่ๆ ถึงได้กลับมาล่ะ” ถังหนิงจับมือเขาไว้ทันที
“ผมพอมีเวลาว่างน่ะครับ…” โม่จื่อเฉินตอบ “คุยกันต่อเถอะครับ ผมจะไปเปลี่ยนชุดที่ห้อง”
“อย่านานนักล่ะ” ถังหนิงเอ่ย หลังจากเขาหันออกไป เหล่าคุณน้าก็เริ่มคุยกัน
“จื่อเฉินสอนหนังสือห่างจากบ้าน คุณไม่เป็นห่วงเขาบ้างเหรอ” หลงเจี่ยถาม “ดูเขาสิ เขาซูบลงไปตั้งเยอะ”
“ฉันอาจจะเป็นห่วงเขา แต่มันก็เป็นชีวิตของเขา เขามีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเองนี่นา” ถังหนิงตอบ
“ใครจะเชื่อว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของโม่ถิงกับถังหนิงผู้เก่งกาจจะเป็นแค่คุณครูธรรมดาที่โรงเรียนกัน มันไม่เรื่องไม่คาดฝันเลยละ”
“แค่เขามีความสุขก็พอแล้วละ”
โม่จื่อเฉินพิงตัวกับกำแพงและฟังแม่ตัวเองปกป้องและสนับสนุนเขา
ในโลกนี้คงไม่มีใครเข้าใจเขาได้ดีไปกว่าถังหนิงอีกแล้ว
เขาพลันรู้สึกซาบซึ้งแต่ก็ปวดใจขึ้นมากะทันหัน
เขาไม่อยากเห็นแม่ตัวเองแก่ตัวลงและจากโลกใบนี้ไปในวันใดวันหนึ่ง…
(ถึงแม้ว่าตอนนี้ถังหนิงจะดูไม่ต่างกับเมื่อครั้งอายุสามสิบก็ตาม…)